PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
  • ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๑๗ ศึกษาเรียนรู้แต่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ จะเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มนมโค
ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๑๗ ศึกษาเรียนรู้แต่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัต ... รูปภาพ 1
  • Title
    ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๑๗ ศึกษาเรียนรู้แต่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ จะเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มนมโค
  • เสียง
  • 11009 ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๑๗ ศึกษาเรียนรู้แต่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ จะเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มนมโค /lp-kanha/2022-06-16-04-40-14.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ชุด
ชีวิตของผู้สงบ
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • Tags
    การบวช | ประโยชน์จากการบวช
  • โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.) ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ณ  วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๑๗ ศึกษาเรียนรู้แต่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ จะเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มนมโค (บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักคำว่า “พระ” นะ ต้องรู้จักคำว่า “พระศาสนา” ธรรมะนี้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นพรหมจรรย์ ไม่มีสักกายะทิฏฐิ ไม่เอาตัวตนเป็นหลักไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งที่เป็นอัตตาธิปไตย ไม่ได้เอาคนส่วนมากที่เป็นคนพาล เป็นคนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ รวมกันเป็นประเทศ เป็นภาค เป็นส่วนท้องถิ่น แต่เอาความถูกต้องเอาธรรม ชีวิตของเราถึงดำเนินสู่มรรคผลสู่นิพพาน เรียกว่าพรหมจรรย์ เบื้องต้นก็คือศีล ๕ พัฒนาขึ้นก็ศีลที่สูงขึ้นไป เพื่อปฏิบัติให้มันกระชับขึ้นอีก อย่างศีลของพระ ๒๒๗ มาในปาฏิโมกข์ อีก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มาในพระวินัยปิฎก ทุกคนน่ะต้องพากันรู้จักคำว่า พระพุทธศาสนา ที่คนเขาบวชกันทั้งในประเทศไทยหรือว่าหลายๆ ประเทศ ส่วนใหญ่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็ 99 % เขาเรียกว่ายังเป็นผู้ที่มาบวชเอาพระศาสนาเพื่อทำมาหาฉัน หรือว่าเพื่อดำรงชีวิต เพราะว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ทุกคนรู้ว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ประเสริฐ จะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ทุกศาสนาก็คือเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มันก็ปฏิบัติไปในแนวเดียวกันนี่แหละ ถ้าเราเอาความเห็นแก่ตัวไปเป็นหลักหน่ะ ถึงจะไม่เป็นศาสนานะ ทุกคนต้องเข้าใจ ผู้ที่บวชเก่าก็ต้องเข้าใจ ผู้ที่บวชใหม่ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าจุดมุ่งหมายที่เรามาบวช ก็เพื่อที่มาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเราคือผู้ที่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร เป็นสามัญชนหรือเป็นปุถุชน ชีวิตอยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการมีแต่จะเอา ไม่ได้เป็นผู้ให้ ประพฤติผิดในกาม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยการกระทำมีสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้โดยประการทั้งหลายทั้งปวง ตั้งมั่นอยู่ในความเพลิดเพลิน อยู่ในความประมาท ทุกท่านทุกคนต้องให้เข้าใจคำว่าพระ คำว่า ศาสนา เราจะได้เอาพระพุทธเจ้าเป็นมาตรฐาน เอาธรรมวินัยเป็นมาตรฐาน ทุกท่านทุกคนเนี่ยไม่มีใครเก่งหรอก ซิกแซกไปก็ไปไม่รอด ถ้าเราเอาตัวเป็นใหญ่เอาตนเป็นใหญ่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สิ่งที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเราได้ก็คือธรรมวินัย เราต้องเข้าสู่ระบบแห่งธรรมวินัย ทุกคนมีความสุขกับการประพฤติปฏิบัติ การเสียสละ ทกคนหน่ะต้องกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับจากชั่วมาเป็นดี ก็เพราะแม้ว่าเรามีเจตนาที่เป็นโจร แต่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า โจร ๕๐๐ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ โจรห้าพันก็เป็นพระอรหันต์ได้ โจรหลายหมื่นหลายแสนหลายล้าน ก็กลับตัวกลับใจจนกลายเป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสิรฐ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมารู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีความสุข หายใจเข้าก็ชัดเจน หายใจออกก็ชัดเจน พวกที่รู้ตัวเอง ก็ต้องกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับจากชั่วให้มันกลายเป็นดี เพราะอันนี้เป็นกฏแห่งกรรม เป็นการกระทำนะ เพราะเราทุกคนเกิดมาจากปาณาติบาต พ่อแม่พาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำอะไรไปทุกอย่าง สังคมมันเป็นประชาธิปไตยในการทำอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกนะ มันเป็นสักกายะทิฏฐิ มันเป็นความเห็นแก่ตัว เป็นความยึดมั่นถือมั่น คนเราไม่มีความสุขหรอก ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์ตามสิ่งที่ไม่ถูกต้องน่ะ มีแต่จะสร้างปัญหา ความสุขความดับทุกข์ของเรา พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่ามันอยู่ที่ปัจจุบันนะ เราจะรวยเราจะจนมันก็ดับทุกข์ได้ เพราะเรารู้แจ้งซึ่งความคิดซึ่งอารมณ์อย่างนี้ เราก็มีสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย อันนี้เรียกว่าพุทธะ หรือเรียกว่า พุทโธ เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาบวชนะ ที่เราถือบรรทัดฐานแห่งความเป็นอลัชชี ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาปอย่างนี้น่ะ มันไม่ได้ เพราะคนเราส่วนใหญ่ ก็พวกที่ไม่เข้าใจศาสนามาบวชใหม่ๆ ก็ละอายต่อบาป แต่พอมาเห็นพระเก่าพาทำอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ถามว่า “ทำได้ไหม” พระเก่าก็บอกว่า “ได้ เขาทำกันอย่างนี้แหละ” อย่างนี้น่ะ มันไม่ใช่นะๆ มันไม่เกี่ยวกับวัดบ้านวัดป่าหรอก มันเกี่ยวกับความถูกต้องความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพราะการปฏิบัติมันต้องแก้ที่ตัวเรา พัฒนาที่ตัวเรา อย่าให้มันเพี้ยนไปมาก เพี้ยนไปเป็นเจ้าของรถ เจ้าของเรือ เจ้าของเงินทอง อะไรอย่างนี้ เพี้ยนไปเลื่อย เพี้ยนไปเหมือนประเทศญี่ปุ่นนะ บางนิกายก็เพี้ยนไป โกนหัวใส่กางเกง ชุดออกไปทางเทาๆ ไม่เอาจีวรเลย เอาจีวรสังฆาฏิไว้ในกระเป๋า พอมีพิธีก็ถึงจะเอามาใช้ พอเสร็จงานก็ไปกับผู้หญิงสวยๆ เลย มันเพี้ยนไป ถามเขาว่า ท่านเป็นใคร เขาก็บอกว่าเป็นคนญี่ปุ่น เขาก็บอกว่าเป็นพระ หลวงพ่อก็ถามว่า พระทำไมไม่มีจีวรเลย เขาก็เอาออกจากกระเป๋ามาให้ดู ตอนหลวงพ่อไปอินเดีย โอ๋...อย่างนี้เลย เพราะเราพากันอนุโลม มันก็ทำให้เสียหาย อย่างคณะสงฆ์ ประเทศไทยเนี่ย ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก ไม่ได้เข้าระบบของพระพุทธเจ้า ไปเข้าระบบทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ประชาชนก็รับไม่ได้ การอุปถัมภ์อุปัฏฐาก มันก็ย่อมไม่มี สมัยเมื่อ ๓๐ กว่าปี จนทุกวันนี้ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ติดกระจกมืดขับรถไปตรวจการณ์ พอไปถามก็บอกว่าไม่มีคนขับให้ เพื่อทำการสงฆ์เลย เพราะสาเหตุเราไม่ได้เข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ประชาชนเขาไม่นับถือเลื่อมใส ก็ต้องไปขับรถเอง ในเมื่อเจ้าคณะขับเอง เจ้าอาวาส พระทั่วไปก็ขับบ้าง อย่างนี้แหละ ความใจอ่อนอย่างนี้ไม่ได้ ต้องกลับเข้ามามาตรฐาน อย่างภาคเหนือนะ เอาเณรยังไม่ถึง ๗ ขวบมาบวช เพื่อรักษาศาสนา เพราะศาสนาเป็นของดี แต่เณรตัวน้อยเกิน ก็ต้องเอาข้าวเย็นไปให้ สุดท้ายความไม่ถูกต้องก็ทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนพวกนี้เป็นเจ้าคุณ ระดับสมเด็จก็มี มันเป็นเพราะความใจอ่อน อยู่ที่เราขอโอกาส มันไปอย่างนี้นะ อย่างพระเรา ก็เริ่มขับรถกัน ใหม่ๆ ก็ขับอยู่ในวัด ขับไปขับมาน้ำมันหมดก็ไปเติมที่ปั้ม ก็ลามปามไปเรื่อย กฏหมายเขาไม่ให้พระนี้เป็นนิติบุคคล ไม่ให้เป็นเจ้าของที่ดิน พระบางท่านมีที่ดินก็มีเรื่องราวมีปัญหา แต่ที่จริงท่านรับเพื่อที่จะทำเป็นวัดนั่นแหละ แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ ไม่ให้พระเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ให้พระเป็นเจ้าของรถ เจ้าของอะไรต่างๆ มีเรื่อวมีราวมีปัญหา อย่างรถหรูรถโบราณอะไรต่างๆ อย่างนี้มันไม่ได้นะ ต้องกลับมา ผู้ปกครองเดี๋ยวนี้น่าจะแก้ไขได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน พราะว่ารู้เร็วรู้ทัน ปัจจุบันนี้น่าจะแก้ไขได้ดี แต่ความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นเรื่องใหญ่นะ เจ้าอาวาส เจ้าคณะต่างๆ นี่ต้องเข้าสู้ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เข้าระบบของพระพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนเดินเอกสารอย่างเดียวเลย เหมือนกับรับจ้างเลี้ยงโคแต่ไม่ได้ดื่มนมโคนะ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ปฏิบัติในอวิชชาในความหลง ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการบวช จึงจำเป็นต้องขวนขวายในการประกอบเหตุดี นำข้อวัตรปฏิบัติในพระธรรมวินัยมาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง มิใช่เพียงแค่จำพระคัมภีร์ หรือแตกฉานในพระไตรปิฎกแต่มิได้นำมาปฏิบัติ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชย่อมไม่ได้รับผลดีอันใดแก่ตนเลย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ น ภาควา สามญฺญสฺส โหติ อปฺปมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน ธมมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ บุคคล แม้จะกล่าวธรรมที่มีประโยชน์ได้มาก แต่มิได้ประพฤติตามธรรมนั้น ก็จัดว่าเป็นผู้ประมาท ย่อมไม่มีส่วนแห่งสามัญผล เหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค คอยนับโคให้คนอื่น ไม่ได้ดื่มปัญจโครส ฝ่ายบุคคล แม้จะกล่าวธรรมที่มีโยชน์ได้น้อย แต่เป็นผู้ประพฤติตามธรรม ละราคะ โทสะ และโมหะได้เป็นผู้รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นด้วยดี ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งในโลกนี้และโลกอื่น ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล" พุทธศาสนสุภาษิตนี้มีความหมายว่า บุคคลที่สามารถจำพระธรรมคำสั่งสอนได้มาก แต่ไม่ประพฤติธรรมนั้น เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค รุ่งเช้าก็รับโคไปเลี้ยง เย็นลงก็นับโคไปส่งคืน แต่ไม่เคยได้ลิ้มรสนมโคหรือผลิตภัณฑ์จากนมโคเลย เทียบได้กับผู้รู้ธรรมมาก แสดงธรรมได้มาก มีชื่อเสียงมาก แต่หากมิได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติ ก็ย่อมไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย สามัญผล แปลตามตัวอักษรว่า ผลแห่งความเป็นสมณะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในสามัญผลสูตร อันมีตั้งแต่ผลเบื้องต่ำ เช่นเคยเป็นทาสก็พ้นจากทาส จนถึงผลขั้นสูง คือหลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล มองอีกปริยายหนึ่ง ตีความให้ใช้ได้ทั่วไปทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ สามัญผล อาจหมายถึงผลแห่งความรู้ คือไม่รู้เสียเปล่า นำเอาความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ มาปฏิบัติตามให้เกิดความดีงามขึ้นในตน มิใช่เพียงแต่รู้ธรรม กล่าวธรรมแต่ไม่ประพฤติธรรม พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เหล่าสาวกดูฝูงโค แล้วตรัสพุทธภาษิตเป็นคาถาประพันธ์หรือเป็น "โศลก" ไพเราะมาก โคมีมากให้อินเดียสมัยพุทธกาลและในปัจจุบันด้วย ไปไหนมาไหนก็จะพบโคและคนเลี้ยงโค พระพุทธองค์จึงมักทรงยกเอามาเป็น "สื่อสอนธรรม" บ่อย เช่นเปรียบฝูงโคที่ถูกนายโคบาลไล่ต้อนไปสู่ที่หากินถึงเวลาค่ำก็ต้อนกลับเข้าคอก กับชีวิตคนเราเกิดมาแล้วก็ถูกความแก่และความตายไล่ต้อนไปทุกนาที ในที่สุดก็จะ "เข้าคอก" คือตายไป ชีวิตนี้ช่างสั้นเหลือเกิน ทอดพระเนตรเห็นคนเลี้ยงโค ที่รับจ้างเลี้ยงโคให้คนอื่น รับแต่เงินค่าจ้างไปวันๆ ไม่มีโอกาสได้ดื่มกิน "ปัญจโครส" (รสน้ำโค 5 อย่างคือ นมสด นมส้ม นมใส นมข้น และเปรียง) ก็ตรัสสอนเหล่าสาวกว่า ภิกษุที่บวชมาในพระศาสนาของพระองค์บางรูป ได้แต่ท่องบ่นสาธยายพุทธวจนะ ถึงจะท่องได้เป็นคัมภีร์ๆ แต่ไม่เคยนำไปปฏิบัติเลย ก็ไม่มีโอกาสได้ "ลิ้มรส" แห่งการบวชที่แท้จริงไม่ต่างอะไรกับเด็กเลี้ยงโคให้เขาไม่มีโอกาสได้ดื่มกินปัญจโครส ฉะนั้น ในมหาโคปาลสูตรได้กล่าวไว้ ดังนี้ ๑. เป็นผู้รู้จักรูป หมายถึง นายโคบาลย่อมรู้รูปโดยการนับโคของตนว่า ร้อยหนึ่ง พันหนึ่ง หรือรู้จักสีของโคคือรู้ว่าโคของตนมีสีขาวเท่าไร สีแดงเท่าไร สีน้ำตาลเท่าไร โคด่างเท่าไรเป็นต้น เมื่อรู้โคของตนหายไปเขาย่อมทราบได้โดยเร็วและตามหาจนพบต้อนเข้าฝูง นายโคบาลที่รู้จักรูปโคโดยการนับและโดยสีอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดรักษาฝูงโคไว้ได้ เขาย่อมไม่ห่างไกลจากการบริโภคปัญจโครสฉันใด ภิกษุเป็นผู้รู้จักรูป หมายถึง ภิกษุผู้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า รูปชนิดใดชนิดหนึ่งและรูปทั้งปวงก็คือ มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 ก็ฉันนั้น อธิบายความได้ว่ารู้จักมหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 โดยอาการ 2 คือโดย การนับและโดยสมุฏฐาน มีดังต่อไปนี้ คือ 1. มหาภูตรูป 4 หมายถึงรูปใหญ่ คือ 1.1 ปฐวีธาตุ คือ สิ่งที่เป็นธรรมชาติแข็งแรงและมั่นคง 1.2 อาโปธาตุ คือ สิ่งที่เป็นธรรมชาติไหลหรือเกาะกุม 1.3 เตโชธาตุ คือ สิ่งที่เป็นธรรมชาติร้อนทำให้สุก 1.4 วาโยธาตุ คือ สิ่งที่เป็นธรรมชาติเคลื่อนไหวและรองรับ ๒. เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ หมายถึง นายโคบาลรู้จักลักษณะของโคของตนว่าโคตัวใดมี ลักษณะเช่นไร เมื่อโคพลัดหลงจึงสามารถติดตามกลับคืนได้ เขาย่อมไม่ห่างจากการ บริโภคปัญจโครส ฉันใด ส่วนภิกษุที่เป็นผู้ฉลาดลักษณะนั้น หมายถึงผู้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า คนพาลมีกรรมเป็น เครื่องหมาย บัณฑิตมีกรรมเป็นเครื่องหมาย พร้อมทั้งการเป็นผู้ฉลาดในการเลือกคบมิตร คือการงดเว้นการคบคนพาล เลือกคบหาแต่บัณฑิต เพราะการมีเพื่อนที่เป็นบัณฑิตถือว่าเป็นนิมิตอันดี ซึ่งการที่ เรารู้ถึงลักษณะของบุคคลทำให้การดำเนินชีวิตนั้นเป็นไปได้ด้วยดีมีความเจริญก้าวหน้าทั้งในชีวิตและ การงาน ย่อมทำให้รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร เป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล มีโทษหรือไม่มีโทษ โทษหนัก โทษเบา แก้ไขได้แก้ไขไม่ได้ เหตุมิใช่เหตุ ย่อมสามารถยังกัมมัฏฐานให้เจริญได้ ๓. เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขางออกเสีย หมายถึง นายโคบาลที่รู้จักเขี่ยไข่ที่เกิดขึ้นที่แผลของโค หมายความว่า แผลของโคย่อมเกิดตรงที่ถูกตอไม้ตำ หนามทิ่มแทง ลวดหนามเกี่ยวหรือแผลจากเห็บ ดูดเลือด แผลที่เกิดจากการต่อสู้กันเอง เป็นต้น ซึ่งบาดแผลเหล่านี้จะโน้มนำให้แมลงวันหัวเขียวมา หยอดไข่ไว้ที่แผลนั้น ไข่ของแมลงวันหัวเขียวเหล่านั้นเรียกว่า ไข่ขาง (หรือไข่ขัง) จึงต้องรีบรักษาไม่ ปล่อยให้แผลของโคลุกลามเป็นแผลลึกให้โคเหล่านั้นถูกความเจ็บปวดครอบงำ ดังนั้นนายโคบาลจึง ต้องแล้วใส่ยารักษาให้หายโดยไว อันตรายแห่งชีวิตของโคย่อมไม่มี เหตุนั้นเขาย่อมไม่ห่างจากการ บริโภคปัญจโครส ฉันใด ภิกษุผู้มีความเพียรพยายามไม่ให้กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ซึ่งเป็นอกุศลกรรมที่เป็นบาปอยู่ทับถม พึงละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นไปไม่ให้เกิดเนืองๆ หรือเมื่อรู้ว่า ตัณหาราคะ และความกำหนัดกำเริบ ภิกษุต้องรู้จักทำอกุศลธรรมนั้นให้ดับไป หากปล่อยไปให้จิตถูกครอบงำด้วยอาสวะกิเลส ย่อมตัดหนทางในการเข้าสู่พระนิพพาน ฉันนั้น อกุศลวิตก วิตกหรือวิตักกะ แปลว่า ความตรึก คือ ความนึกคิด ความคิดเป็นอกุศลเรียกว่า อกุศลวิตก ความคิดความตรึกนึกคิดที่เป็นอกุศลนั้น ได้แก่ 1. กามวิตก ความตรึกนึกคิดไปในทางกามหรือความนึกคิดในทางแสวงหาหรือพัว พันติดข้องในสิ่งที่สนองความอยาก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ 2. พยาบาทวิตก ความตรึกนึกคิดไปในทางพยาบาทมุ่งร้ายปองร้ายโกรธแค้น 3. วิหิงสาวิตก ความตรึกนึกคิดไปในทางเบียดเบียนหรือความนึกคิดในทางทำลาย มุ่งร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น จะเห็นได้ว่าอกุศลวิตกทั้ง 3 เป็นสิ่งที่ควรละเสีย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความทุกข์เมื่อความตรึกนึกคิดทั้ง 3 นี้บังเกิดขึ้น ย่อมทำให้อกุศลกรรมที่เป็นบาปซึ่งทับถมอยู่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง เป็นฝ่ายที่ทำให้คับแค้น ดับปัญญา ไม่เป็นไปเพื่อความดับกิเลสและกองทุกข์ พึงละเสีย พึงบรรเทาเสีย ทำให้สิ้น ไม่ให้เกิดเนืองๆ ๔. เป็นผู้คอยปิดบังแผล หมายถึง นายโคบาลเมื่อรู้ว่าโคเกิดเป็นแผลขึ้นก็รีบทำยารักษา ปิดแผลโค เพราะถ้าปล่อยไปแผลอาจติดเชื้อหรือแผลอักเสบ ซึ่งเป็นแผลที่มีการอักเสบลุกลามเป็น บริเวณกว้างซึ่งเกิดจากการติดเชื้อที่มีสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งปนเปื้อนมากในแผล ทำให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน หลังจากนั้นจะเกิดเป็นหนองหรือช้ำเลือดช้ำหนอง ซึ่งจะส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเริ่มตาย เป็นเหตุให้โคได้รับความลำบากจากบาดแผลจนกินนอนไม่ได้มีร่างกายซูบผ่ายผอมในที่สุด นายโคบาลย่อมขาดผลประโยชน์จากโค แต่เมื่อโคได้รับการรักษาโคย่อมสามารถดำรงชีพอยู่ได้ กินนอนอยู่ได้อย่างปกติก็ย่อมอยู่เป็นสุข นายโคบาลนั้นย่อมไม่ห่างจากการได้บริโภคปัญจโครสอีก ฉันใด ภิกษุที่รู้จักเป็นผู้คอยปิดบังแผลหมายถึงภิกษุผู้ที่เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรส ด้วยลิ้น ถูกต้องสิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือเอาไว้โดยนิมิต ไม่ถือไว้ โดยอนุพยัญชนะ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลมีอภิชฌาและโทมนัสเป็นต้นเค้า ย่อมไม่อาจไหลไปสู่ บุคคลผู้สำรวมอินทรีย์ได้ ฉันนั้น การปิดแผล คือการสำรวมระวังอินทรีย์และอบรมสติพร้อมทั้งปัญญาคอยระลึกรู้เท่าทัน คือ ระมัดระวังมิให้เป็นอารมณ์ความยินร้ายอันเรียกว่านำกิเลสให้ไหลเข้ามาสู่จิตใจ เมื่อมีการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในและภายนอก การปฏิบัติสำรวมในปาติโมกขสังวรศีลเป็นผู้สำรวมด้วยความสังวรถึงพร้อมด้วยอาจารและโคจร สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายและ หมายถึงธรรมเป็นเครื่องพ้นจากกองกิเลสของสัตว์โลก อุปมาในข้อนี้พระพุทธองค์ทรงเน้นให้ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สำรวมระวังในการคิดการพูด และการกระทำเพื่อปิดกั้นไม่ให้ทัศนคติในทางไม่ดี ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ๕. เป็นผู้รู้จักสุมควันไฟ หมายถึง เมื่อนายโคบาลต้อนฝูงโคเข้าคอกแล้วรู้จักสุมไฟให้ เกิดควัน เพื่อไล่ยุงและแมลงที่จะมารุมกัดกินเลือดโคของตนในเวลากลางคืน โดยเฉพาะในฤดูฝนยุง และแมลงมีมากก็จะมารบกวนโคเพื่อกัดกินเลือดโค นายโคบาลก็จะต้องสุมไฟให้โคเพื่อให้แมลงและยุงเหล่านั้นมารบกวน เมื่อโคนอนสบายเพราะไม่ถูกแมลงรบกวนก็จะไม่หลบจากที่ไปนอนในป่าหรือตามโคนต้นไม้ โคในฝูงย่อมอยู่ครบ ไม่ได้รับความเสียหาย เขาย่อมเป็นผู้ไม่ห่างไกลจากการได้บริโภคปัญจโครสอีก ฉันใด แม้ภิกษุเป็นผู้ที่รู้จักสุมควันไฟนั้น ได้แก่ภิกษุที่รู้จักแสดงธรรมตามที่ตนได้เรียนได้ ฟังมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ฉันนั้น มีอรรถาธิบายว่าภิกษุเมื่อแสดงธรรมกถา สรภัญญะ อุปสิสินนกถา (สนทนาธรรม) หรืออนุโมทนา ให้คนทั้งหลายฟัง คนทั้งหลายย่อมรู้จักภิกษุนั้น คือผู้มีคุณ (ความดี) ว่าเป็นพหูสูต คนทั้งหลายเหล่านั้นย่อมรู้จักการอุปัฏฐากสงเคราะห์ภิกษุนั้นด้วยปัจจัย ๔ ภิกษุนั้นเมื่อไม่ได้รับความลำบากด้วยปัจจัย ๔ ย่อมสามารถศึกษาเล่าเรียน บำเพ็ญวัตรปฏิบัติและเจริญกัมมัฏฐานสมณธรรม สามารถสาธยายพระพุทธพจน์แก่ชนทั้งหลายได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุนั้นย่อมมีความงอกงามไพบูลย์ ในพระธรรมวินัยนี้เพราะการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนานั้นเป็นหน้าที่สำคัญของพระสงฆ์ และนักปราชญ์ผู้ฉลาดรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนามาทุกยุคทุกสมัย บทบาทในการเผยแผ่พุทธ ธรรมนี้ทำให้พระธรรมเข้าถึงประชาชน พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่นี้จึงเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นครูบาอาจารย์ ของชาวบ้านและเป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต ทำให้พระพุทธศาสนาขยายวงกว้างไปสู่ถิ่นต่างๆ และตั้งมั่นในนานาประเทศ ๖. เป็นผู้รู้จักท่า หมายถึง นายโคบาลที่เป็นผู้รู้จักท่าน้ำที่โคจะลงไปกินน้ำ ว่าท่าเรียบ หรือไม่เรียบ เช่น ถ้าเป็นท่าน้ำที่ตลิ่งสูงชัน โคลงไปกินน้ำไม่ได้ ถ้าท่าน้ำตลิ่งเป็นโคลนเลน โคก็ลงไปกิน น้ำลำบาก ถ้าเป็นแผ่นหินขรุขระย่อมทำให้เท้าโคแตก และต้องรู้ว่าท่าน้ำนั้นมีสัตว์ร้ายหรือไม่มีสัตว์ ร้ายที่จะเป็นอันตรายต่อโคหรือไม่ แล้วรู้จักเลือกท่าน้ำที่ตลิ่งไม่สูงและไม่ชันทั้งยังเป็นดินร่วนโคลงไป กินน้ำได้ง่าย โคของเขาย่อมสามารถกินหญ้าและดื่มน้ำตามที่ต้องการ เขาย่อมเป็นผู้ไม่ห่างไกลจากการได้บริโภคปัญจโครสอีก ฉันใด ภิกษุที่เป็นผู้รู้จักท่า หมายถึง ภิกษุผู้เข้าไปหาและไต่ถามเล่าเรียนกับภิกษุทั้งหลายที่ เป็นพระเถระ ผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงพุทธวจนะ เป็นผู้ได้ฟังมามาก เป็นผู้รู้หลัก ทรงธรรมทรงวินัยทรงมาติกา ภิกษุผู้เป็นพหูสูตเหล่านั้น อันเธอได้ไต่ถาม ย่อมเปิดเผยข้อความที่ยังลี้ลับ ทำข้อความอันลึกซึ้งให้ตื้น และบรรเทาความสงสัยในธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยเหล่านั้นซึ่งยังมีเป็นอันมาก แก่เธอ ก็ฉันนั้น การขวนขวายหาเวลาไปฟังธรรม ฟังคำสั่งสอนจากผู้มีธรรมะเพื่อยกระดับจิตใจและสติปัญญาให้สูงขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบด้วยวุฒิธรรม เพราะเมื่อได้ฟังธรรมนั้นจิตน้อมเอา คุณธรรมเหล่านั้นมาเป็นกระจกสะท้อนดูตนเองว่ามีคุณธรรมนั้นหรือไม่ จะปรับปรุงคุณธรรมที่มีอยู่ให้ ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้อย่างไร เช่น เมื่อได้ฟังธรรมเรื่องความกตัญญูให้นำเรื่องนี้มาสำรวจดูใจของตนเอง ทันทีว่า มีความกตัญญูเกิดขึ้นในตนเองไหม มีมากน้อยเพียงไร เมื่อฟังธรรมแล้วสำรวจดูจะรู้ทันทีว่า ตนเองขาดอะไร จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรจึงจะดี ดังพุทธสุภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “กระจกเงาสามารถสะท้อนให้เห็นความสวยงามหรือขี้ริ้วของร่างกายเราได้ฉันใด การฟังธรรมตาม กาลย่อมสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความดีงามหรือความบกพร่องในตัวเราได้ฉันนั้น” ๗. เป็นผู้รู้จักให้ดื่ม หมายถึง ว่านายโคบาลที่ฉลาดเลี้ยงโคอยู่ในป่าตลอดวันแล้ว ย่อมต้อนฝูงโคลงไปกินน้ำที่แม่น้ำหรือที่เหมืองน้ำ เขาย่อมไม่ปล่อยให้ฝูงโคชิงกันลงไปเพื่อดื่มน้ำ แต่เขารู้จักจัดลำดับความสำคัญและความเหมาะสมโดยการต้อนให้โคตัวที่แก่กว่าฝูงให้ได้กินน้ำก่อน ถัดมาค่อยต้อนกลุ่มโคหนุ่มและโคงานลงตาม แล้วค่อยต้อนโครุ่นหนุ่มสาว ท้ายสุดค่อยปล่อยให้โคเด็กเล็กลงกินน้ำทุกตัว โดยที่ได้พิจารณาว่าโคตัวใดยังไม่ได้กินน้ำบ้าง ไม่ปล่อยให้โคในฝูงมีตัวไหนที่ยังไม่ได้กินน้ำ ทำให้ฝูงโคนั้นได้ดื่มกินและมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง เขาย่อมเป็นผู้ไม่ห่างจากการบริโภคปัญจโครส ฉันใด ภิกษุเป็นผู้รู้จักดื่ม หมายถึง ภิกษุนั้นเป็นผู้ที่เมื่อสดับพระธรรมและวินัยที่พระตถาคตเจ้าทรงให้รู้แจ้งแล้ว หรือ อันที่ผู้ใดผู้หนึ่งแสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถได้ความรู้ธรรมและความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม มีความสามารถบูรณาการอรรถธรรมนั้นให้พุทธบริษัทถือเอาเป็นกัมมัฏฐานทำให้เจริญได้ ฉันนั้น พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน คือ ความจริงที่เป็นประโยชน์ใช้แก้ทุกข์ได้และ นำไปสู่จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ๘. เป็นผู้รู้จักทาง หมายถึง นายโคบาลผู้ฉลาดย่อมรู้ว่าทางไหนปลอดภัย ทางไหนมีภัย ทางไหนมีเสือย่อมรู้ ทางไหนมีโจรย่อมรู้ จึงต้อนฝูงโคไปในทางที่ปลอดภัย ฝูงโคนั้นเมื่อมีความรู้สึกว่าปลอดภัยจึงแทะเล็มหญ้าด้วยความเป็นสุขทั้งทางกายและใจ ทำให้สามารถผลิตน้ำนมได้มาก นายโคบาลนั้นย่อมได้บริโภคปัญจโครส ฉันใด ภิกษุเป็นผู้รู้จักทางนั้นคือภิกษุผู้รู้ชัดในอัฏฐังคิกมรรค ซึ่งเป็นทางอันประเสริฐตามเป็นจริงย่อมทำให้ได้รับการเข้าถึงแห่งความเป็นผู้เข้าถึงกระแส คือพระนิพพาน ฉันนั้น ๙. เป็นผู้ฉลาดในสถานที่โคจร หมายถึง นายโคบาลเป็นผู้ฉลาดในสถานที่โคเที่ยวหากิน เช่นต้อนโคไปหากินในสถานที่หนึ่ง 5-6 วันแล้วจึงไม่ต้อนไปที่เดิมอีกเพราะหญ้านั้นย่อมหมด น้ำขุ่น ควรต้อนไปยังที่อุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ถ้าหากจะกลับมาที่เก่าควรรอเวลาให้หญ้าขึ้นเขียว น้ำใสหายขุ่น เสียก่อนอย่างน้อย 7 วัน ด้วยเว้นระยะเวลาที่สมควรนี้ฝูงโคของเขาย่อมได้กินหญ้าที่เขียวสด ดื่มน้ำที่ ใส ฝูงโคของเขาย่อมมีสุขภาพที่แข็งแรงและสมบูรณ์ เขาก็ย่อมไม่ห่างจากการบริโภคปัญจโครส ฉันใด ภิกษุที่ฉลาดในที่โคจร คือรู้จักในสติปัฏฐาน 4 คือกาย เวทนา จิต ธรรมตามความเป็นจริง หมายถึงรู้ว่า สติปัฏฐานอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ เมื่อรู้แล้วย่อมจะน้อมญาณของตนเข้าไป ในฐานที่ละเอียดสามารถให้สติปัฏฐานช่วยส่วนที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้นได้ ฉันนั้น ๑๐. เป็นผู้รีดน้ำนมให้เหลือไว้ หมายถึง เนื้อและเลือดของลูกโคพอจะเป็นไปได้(เติบโต ขึ้นได้ด้วยน้ำนม) นายโคบาลผู้ฉลาดพึงงดรีดน้ำนม 1-2 เต้าเหลือนมไว้เพียงนั้น เพื่อเหลือไว้ให้ลูกโคได้กิน เมื่อลูกโคได้กินนมย่อมมีชีวิตอยู่ได้และเติบโตเป็นสมาชิกในฝูงโคที่แข็งแรง ทำให้นายโคบาลมีจำนวนโคในฝูงเพิ่มขึ้น ฉันใด ภิกษุเป็นผู้รีดนมมีส่วนเหลือไว้ หมายถึง ภิกษุผู้ที่คฤหบดีทั้งหลายผู้มีศรัทธามาปวารณาไว้ คือเชิญภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ให้เลือกรับด้วย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ในการที่เขาปวารณาถวายภิกษุเช่นนั้น เธอพึงเป็นผู้รู้จักประมาณเพื่อจะรับปัจจัย 4 เหล่านั้น พึงรู้ความสามารถของทายก พึงรู้ความสามารถของไทยธรรม พึงรู้กำลังของตน ไม่ให้คฤหบดีทั้งหลายต้องได้รับความเดือดร้อนในการรับปัจจัย 4 ก็ฉันนั้น ซึ่งเรียกว่า การมีความเป็นอยู่อย่างสันโดษ คือ ความยินดี พอใจ ยินดีด้วยปัจจัย 4 ตามมีตามได้ มีความสุขพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ด้วย ความเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน ๑๑. เป็นผู้บูชาโคที่เป็นพ่อฝูงหรือจ่าฝูง หมายถึง นายโคบาลรู้จักให้อาหารและดูแลโคตัว ที่เป็นหัวหน้าให้ยิ่งกว่าโคตัวอื่นเรียกว่าให้ความสำคัญของโคตัวที่เป็นหัวหน้าเป็นพิเศษ เพราะเป็นโคผู้นำฝูง ย่อมสามารถที่จะนำฝูงโคไปสู่ถิ่นหาอาหารที่ปลอดภัยและไม่พาฝูงให้หลงทางได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ต้องรู้จักบูชาภิกษุที่เป็นเถระ เป็นรัตตัญญูบวชมานาน มีพรรษามาก เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ด้วยการบูชาเป็นอดิเรก คือ รู้จักเข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันประกอบด้วยเมตตาในภิกษุ ทั้งหลายที่เป็นพระเถระ เป็นรัตตัญญู มีพรรษามาก เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับ เมื่อภิกษุรู้จักบูชาพระเถระทั้งหลายที่มีความสำคัญดังกล่าว พระเถระทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าภิกษุนั้น ให้ความเคารพยำเกรงท่าน ท่านย่อมให้ความสงเคราะห์นวกะภิกษุด้วยการสงเคราะห์ ๒ ได้แก่ สงเคราะห์ด้วยธรรม ๑. สงเคราะห์ด้วยธรรม ๒. คือการช่วยเหลือบอกกล่าวสั่งสอนหรือให้ความสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔มีจีวรเป็นต้น ความลำบากย่อมไม่มี นวกะภิกษุทั้งหลายนั้นย่อมสามารถปฏิบัติสมณธรรมอยู่ในพระศาสนาด้วยความเจริญในธรรมได้ เพราะฉะนั้น คนที่รู้ธรรมกล่าวธรรม แต่ไม่ประพฤติธรรมนั้น ทรงเปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค รุ่งขึ้นก็รับโคไปเลี้ยงเย็นลงก็นับโคส่ง แต่ไม่ได้กินนมโค ไม่ได้อะไรจากโค นอกจากค่าเลี้ยงประจำวัน เทียบกับผู้รู้มาก แสดงธรรมได้มาก มีศิษย์มาก ผลที่เขาได้รับก็คือปัจจัย ๔ ความเคารพนับถือจากศิษย์ แต่ไม่ได้สมาธิและวิปัสสนา อย่างนี้ท่านว่ายังประมาทอยู่ ส่วนบางท่าน รู้ธรรมน้อย กล่าวธรรมได้น้อย แต่ปฏิบัติตามธรรมได้มาก สามารถละกิเลสอันละได้ยาก คือราคะ โทสะ และโมหะ จิตหลุดพ้นด้วยดี ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ท่านว่าได้เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล ได้รับผลแห่งความเป็นสมณะ พากันตื่นเถิดนักบวชทั้งหลายตื่นเถิดชาวพุทธทั้งหลาย เราต้องเอาธรรมาธิปไตย เอาธรรมวินัยเอากฎหมายบ้านเมือง เข้าสู่ภาคภาคประพฤติภาคปฏิบัติ รู้แต่เพียงปริยัติก็จะมีผลอะไรที่จะเกิดประโยชน์เกิดความร่มเย็นต่อส่วนรวมต่อตัวเอง ให้เราพากันเข้าใจนะ ที่ว่าอย่างนี้ไม่ได้ให้พระนะ พระก็คือพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่สูงสุด ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อจะให้รู้ว่าพระคืออะไร พระที่แท้จริงคือพระธรรมพระวินัย คือพรหมจรรย์ คือมรรคผลพระนิพพาน

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service