แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตที่สงบ ตอนที่ ๑๐ เมื่อปกครองตนเองได้ จึงปกครองคนอื่นได้ ถึงจะเป็นความบริสุทธิ์ยุติธรรม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ เราจะได้รู้ข้อปฏิบัติการดับทุกข์ ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราไม่รู้จักอย่างนี้แหละ รูปสวยๆ รูปหล่อๆ มันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ พอเมื่อเรามีตา เสียงเพราะๆ ก็มีอยู่อย่างนี้เพราะเรามีหู อาหารอร่อยไม่อร่อยมันก็มีอยู่ ก็เพราะเรามีลิ้น เรามีกายหน่ะ กระทบร้อนกระทบหนาวก็มีอยู่ เพราะเรามีร่างกาย เรามีอารมณ์มีความคิด เพราะเรายังไม่ตาย เรามีใจ เราก็คิดอยู่อย่างนี้แหละ เราต้องรู้จัก พระพุทธเจ้าก็ให้เรารู้จักว่า อย่างนี้เป็นสภาวะธรรม
ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น ก็มีอยู่อย่างนี้ ถึงจะไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นสุญญกัปป์ สภาวธรรมของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ มันก็มีอยู่อย่างนี้ เราจะอยู่หรือเกิดหรือตาย มันก็มีอยู่อย่างนี้ ให้ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักว่า เราเกิดมาเพื่อมารู้ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราไม่รู้จัก เราก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ เราเลยไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เราตามอารมณ์ตามความคิด ก็แย่เลย กรรมเก่าของเราหน่ะ มันเคยชิน มันมีดี มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ มีธรรมารมณ์ เป็นสิ่งเสพติด
พระพุทธเจ้าทรงสอนอนุปุพพิกถา ให้เราเสียสละ ความสุขเราถึงจะมีได้ เราต้องเสียสละความขี้เกียจขี้คร้าน เสียสละอบายมุข คือกินเหล้าเจ้าชู้เล่นการพนัน มีเสียสละ เราก็มีความสุขในการทำงาน เราก็จะร่ำจะรวย พอเราร่ำเรารวยแล้วเราก็อย่างนี้แหละ
ศีลเราก็ต้องสมาทานอย่างนี้แหละ เมื่อนี้แหละเราก็มาเห็นโทษในสวรรค์ มาเห็นโทษในความรวย เราจะได้รวยอย่างฉลาดเราจะได้มีทิพย์วิมานอย่างฉลาด สิ่งเหล่านี้ยังมีการปรุงแต่งมีเวียนว่ายตายเกิด ถ้าอย่างนั้นก็มันจะฉายหนังม้วนเก่าอย่างนี้แหละ เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ตื่นขึ้นมาก็โง่เหมือนเก่า อย่างนี้แล้วเราก็ต้องพากันดับทุกข์พากันปฏิบัติ ไม่ว่าผู้ที่มาบวชอยู่ที่วัดรึอยู่ที่บ้าน ความสุขก็ต้องเกิดขึ้นแก่เราปัญญาก็ต้องเกิดขึ้นแก่เราในทางประพฤติในทางปฏิบัติ
ก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะเราหลงในความรวยหลงในลูกหลงในหลานหลงในพี่น้องหลงในรูปสวยๆ เสียงเพราะๆ ความมั่งมีศรีสุข ไม่ใช่ไม่ให้ไม่มี “มี” แต่บางคนมีปัญญาเขาฉลาดทางจิตใจ เราต้องฉลาด เราจะรวยอย่างโง่ๆ พ่อแม่ตายก็ร้องไห้ญาติพี่น้องตายก็ร้องไห้ คนรวยๆหมาแมวตายก็ร้องไห้ เมื่อเรายังไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความคิดไม่รู้จักอารมณ์ การเวียนว่ายตายเกิดก็ย่อมมี เราต้องรู้จักตัวเองที่ร่างกายของเราเป็นผู้ชาย ที่เกิดมาเป็นผู้ชาย ก็ตั้งชื่อว่าผู้ชาย ผู้หญิงร่างมันเกิดมาเป็นผู้หญิงก็ตั้งชื่อว่าผู้หญิง เราต้องรู้จักว่าสภาวะธรรมที่เกิดมา เพราะเกิดมาจากความไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน มาจากความไม่รู้ มันยังเดินต่อไปอีก ตายไปแล้วก็ไปที่ที่ไม่รู้ อย่างนี้แล้วเราต้องรู้จัก ซึ่งเรียกว่าพุทธะ เราต้องใจเข้มแข็งทำติดต่อกัน พากันประพฤติปฏิบัติ ปัจจุบันมันต้องเห็นเป็นความสำคัญ เราอยู่กันคนละที่คนละทางทุกคนก็ปฏิบัติเหมือนๆ กัน
ทุกวันนี้สื่อสารมวลชน ส่งมาหากันเร็วเหมือนโควิด เป็นร่วมกันหลายประเทศเพราะว่าเครื่องส่งส่งไกล ส่งมาทางเครื่องบินส่งมาทางอากาศ เขาจะพยากรณ์อากาศฝนมันจะตกกี่เปอร์เซนต์ จะแล้งกี่เปอร์เซนต์มันส่งหากันหมดเลย เราต้องรู้จัก อย่าไปตามใจตัวเอง อย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง ไม่มีใครใหญ่หรอก ตามไป มันก็เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก
เราทุกคนต้องสมัครสมานสามัคคีกัน เราต้องเอาความถูกต้องเป็นหลัก เอากฎหมายบ้านเมืองเราเป็นหลัก เราเป็นลูกคนรวยมาบวชรึเราเป็นประชาชนรึเป็นใครก็ช่างมาบวช เราก็ต้องฝึก ถ้าไม่ฝึก ก็ไม่มีประโยชน์อะไร โกนหัวห่มผ้าเหลืองจะมีประโยชน์อะไร พอเขามาไหว้เรา เขาก็เสียเวลามาไหว้ พอมากราบ เขาก็เสียเวลามากราบ ไม่มีบุญมีกุศลที่ไหน ก็เพราะเราไม่ได้ตามพระอรหันต์ ไม่ได้ตามพระพุทธเจ้า เราต้องเสียสละ
การปกครอง เราก็ต้องปกครองตัวเองนะ เมื่อปกครองตัวเองได้ ก็ปกครองลูกปกครองหลานได้ ที่ว่ามาบวชมันปกครองตัวเองไม่ได้ แล้วมันจะบอกคนอื่นมันไม่ได้ ก็เพราะตัวเองหน่ะ ตาบอดจะไปรักษาคนตาบอดไม่ได้ มันจะเพิ่มมหาบอด จะกลายเป็นบอดที่ยิ่งใหญ่ใช่ไหม มาคิดตามหัวก็จะระเบิดละ ตัวเองก็ยังแย่อยู่แล้ว ก็จะไปสอนคนอื่น
เหมือนเคยดูประวัติ พระเนี่ยปฏิบัติไม่ดี ประชาชนก็ไม่เลื่อมใส เขามาบริการเขาก็ไม่มา เพราะไม่สมควรที่เขาจะประเคนของ ไม่สมควรที่จะเอารถมารับส่ง เราก็ต้องพากันปฏิบัติตามระบบของพระพุทธเจ้า ไม่พากันไปมีเงินมีสตางค์ บางคนก็เลยไปอีกไปมีสตรี พากันเข้าแม็กโครโลตัส โยมก็ไม่มาขับรถให้ เราก็พากันขับรถเอง ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นบ้าก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้า เราตาบอดก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตาบอด อย่างนี้มันจะแก้ไขได้อย่างไร ถ้าเราเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ใครก็อยากทำบุญตักบาตร ใครก็อยากมาอุปถัมภ์อุปัฏฐากใช่มั้ย? มันจะเป็นของมันเอง เราอย่าไปคิดว่าเป็นเพราะอันนู้น เป็นเพราะอันนี้ ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดของพระเทวทัต พระเทวทัตน่ะ เหตุผลมากถึงปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า มีเหตุผลมากจึงทำให้สงฆ์แตกกัน
เราต้องเข้าใจ เราต้องมาแก้ที่เราทุกๆ คน อย่าไปโง่มากไปหาแก้คนอื่น เหมือนตัวเองว่ายน้ำยังเอาตัวไม่รอดไปเอาคนอื่นไปเอาคนว่ายน้ำไม่เป็นก็จมทั้งคู่ จะเป็นเจ้าอาวาสก็ไปไม่ได้ เจ้าอาวาสอะไร ช่วยเหลือตัวเองก็ยังไม่ได้จะช่วยเหลือคนอื่น เป็นเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดอะไร ตัวเองยังทำไม่ได้ นอกจากจะไปเดินเอกสาร มันต้องปรับปรุงใหม่
เราต้องพากันเข้าใจ ถ้างั้นคิดไปแล้วมันจะขัดต่อเหตุผลต่อหลักวิทยาศาสตร์ ขัดต่อระบบของพระพุทธเจ้า อย่างนี้จะปกครองกันอย่างไง ปกครองตัวเองยังปกครองไม่ได้ เมื่อใจเราไม่เป็นธรรมะ ไม่ยุติธรรม มันก็เป็นระบบกินบ้านกินเมืองกินศาสนา ทำเหมือนรัฐบาลครึ่งหนึ่ง เอาเข้ากระเป๋าครึ่งหนึ่ง ประชาชนก็ไม่มีความสุขที่จะไปเสียภาษีนะ แล้วก็เงินทอนวัดครึ่งหนึ่ง ไม่มีความสุขที่จะไปเสียค่าภาษีนะ
ปัญหานี้แก้ได้ไหม? “แก้ได้” ถ้าทุกคนเสียสละ สมัครสมานสามัคคีกัน ไปแนวเดียวกันอย่าไปว่า ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็อย่ามาบวชสิ ใช่มั้ย? มีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ มันจะมีประโยชน์อะไร มันถึงจะไม่เป็นคนเอาศาสนาหาอยู่หาฉัน เอาแต่หาเลี้ยงชีพ คนที่มาบวชก็พากันตั้งใจอย่างนี้ ผู้ที่บวชไม่สึกก็ต้องเอาพระอรหันต์เป็นหลัก พระอรหันต์อยู่ไหน? คือ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาพระธรรมพระวินัย อย่าทำตัวอ่อนแอ ถ้าอ่อนแอก็เหมือนที่ทำกันอยู่นี้แหละ เช่น คนไม่มาขับรถให้ ก็ขับรถปิกอัพ ขับรถหกล้อ ขับรถแม็กโคร ชอบไปคิดในใจว่า เราขับอยู่ในวัดไม่เป็นไร ขับในวัดนอกวัดมันก็คือขับรถ อย่าให้ “ความโง่” มันมาเป็นอาจารย์เรา ต้องให้ “พระพุทธเจ้า” มาเป็นอาจารย์เรานะ พวกเป็นมิจฉาทิฏฐิจะต้องกลับใจใหม่
เราไม่ต้องไปสร้างแต่วัตถุใหญ่โต ต้องสร้างศีลสร้างธรรมสร้างข้อวัตรปฏิบัติ เพราะเราทำอย่างนี้ เรามีหน้าที่ดูแลรักษา แสดงว่าเราไม่ได้ฉลาดอะไรเลย เรายังโง่อยู่ คิดไม่ออก มีหัว ก็เรียกว่า “หัวตัณหา” “หัวความหลง” คิดไม่ออก ดูสิ! พระพุทธเจ้ามีสร้างโบถส์สร้างวิหารสร้างเจดีย์ที่ไหน พระที่เป็นพระอรหันต์แท้ๆ นะไม่มีนะ เพราะว่าท่านสร้างจิต สร้างใจ สร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ มันถึงจะเกิดความมั่นคงในหมู่มวลมนุษย์ เกิดความมั่งคงต่อประเทศชาติศาสนา พระมหากษัตริย์
อย่างอาชีพ 'ผู้พิพากษา อัยการ' เป็นสถาบันที่สำคัญมาก เพราะเป็นสถาบันที่ดำรงความยุติธรรม ในหลวงท่านทรงให้ความสำคัญกับคนในสถาบันนี้มาก เพราะเมื่อเรียนจบขนาดท่านทรงพระประชวร ท่านก็ยังเสด็จออกมาตรัสให้โอวาทกับบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะผู้พิพากษาอัยการผู้เป็นบุคคลที่ในหลวงทรงไว้วางใจ ที่ท่านให้ช่วยเหลือแบ่งเบาพระราชภาระ ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณ
แต่ในปัจจุบันสถาบันนี้เริ่มโอน เริ่มเอียง "เป็นสถาบันยุติธรรมที่สร้างความอยุติธรรมให้มันระบาดไปทั่ว"
อย่าไปแนะนำผู้พิพากษาใหม่ ให้พากันทำความผิดเอาใจคนรวยเอาใจนักกินเมือง ไม่งั้นก็ไม่มีหลักการ “การเป็นผู้พิพากษา” เราอย่าไปสิโรราบให้เงินตรา อย่าไปสิโรราบให้นักกินเมือง เราอย่าไปคิดอะไรที่มันเกิดความโกง ความไม่ฉลาด อย่างผู้พิพากษาใหญ่สั่งให้ผู้ผู้พิพากษาน้อยให้เขียนอย่างนี้ๆ ไม่ได้นะ ความลับมันไม่มีในโลก ไม่มีใครเห็นดีกับโจรหมดทุกคนหรอก เพราะว่าผู้พิพากษาใหญ่ต้องเป็นประธาน ต้องเอาศีลเอาธรรมเอาคุณธรรม เงินเดือนเราละก็พอสมควรอย่างนี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่เป็นมหาเศรษฐีแล้วจะแก้ปัญหาได้ เพราะคนเราก็มีแต่ความโลภความโกธรความหลง โลกนี้มีแต่ความขัดแย้งในการแย่งขยะกัน อย่างที่เราเห็นกันพากันรวยอย่างโง่ๆ รวยอย่างอบายมุขอบายภูมิอยู่
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ทรงพิถีพิถันเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นผู้พิพากษาเป็นอันมาก โดยพระองค์ทรงถือว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มคนในแวดวงตุลาการ ไม่ว่าจะเป็นนักการศาลยุติธรรมหรือนักกฎหมาย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการเลี้ยงข้าวแช่ในพระบรมมหาราชวัง และได้ทรงพระบรมราชานุญาตให้กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์นำนักเรียนกฎหมายเข้าเฝ้าฯด้วย ณ ที่นั้น ได้ทรงมีพระราชกระแสดำรัสว่า "รพี พ่อได้ยินว่าผู้พิพากษากินเหล้ามากใช่ไหม ทำไมรพีจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น"
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วกราบบังคมทูลว่า "ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าฯ ในเวลาที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเลือกผู้พิพากษาก็ดี เลื่อนชั้นผู้พิพากษาก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าถือหลักในใจอยู่เพียงสองข้อคือ ต้องมีสติปัญญาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดอย่างหนึ่ง และต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตอีกอย่างหนึ่ง พูดสั้นๆ ต้องฉลาดและต้องไม่โกง ถ้าโง่ก็ไม่ทันคนอื่น โจทก์ จำเลย จะต้มเอาได้ ทำให้เสียความยุติธรรม แต่ถ้าฉลาดแล้วโกงก็ทำเสียความยุติธรรมอีกเหมือนกันจะซ้ำร้ายยิ่งกันไปใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ไปสอบสวนหรือเอาใจใส่กิจธุระส่วนตัวของผู้พิพากษาแต่ละคน ใครจะกินเหล้า เที่ยวเตร่อย่างไร นอกเหนืออำนาจเสนาบดีจะบังคับ"
เอ็งกินเหล้า เมายา ไม่ว่าหรอก แต่อย่าออก นอกทางไป ให้เสียผล
จงอย่ากิน สินบาท คาดสินบน เรามันชน ชั้นปัญญา ตุลาการ
"คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรจะขออะไรจากคนอื่น ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไปถึงท้องกาง ควรจะช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน"
ผู้พิพากษา อัยการ ต้องเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เดินตามรอยของในหลวงฯ อย่างเช่น เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมโหสถบัณฑิต ซึ่งผู้ที่ใช้ปัญญาในการดำรงและทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมช่วยเหลือตัดสินคดีความต่างๆ ให้กับประชาชนผู้ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
เมื่อเราทำผิดกันเป็นขบวนการ ประเทศชาติก็สะดุด ติดในบาปในกรรม ต้องแก้ต้องปรับทุกฝ่าย ทุกคนต้องไม่เห็นแก่ตัว มันถึงจะได้รับประโยชน์กันทุกฝ่าย กิเลสมันเป็นของไม่ดี ความเห็นแก่ตัวเป็นของไม่ดี ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องเป็นผู้เสียสละเป็นผู้เกื้อกูล...
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรม ท่านมาเทศน์มาสอนธรรมที่เป็นข้อสำคัญข้อแรก ท่านสอนให้มีเมตตา การให้ทาน ความเสียสละ เพราะคนเรามันเป็นผู้ที่หลงผิดเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว มันถึงได้เกิดมา เรามองเห็นง่ายๆ เช่นเรามาอยู่ในท้องก็เป็นผู้เอาแล้ว เอาเลือดเอาเนื้อจากพ่อจากแม่ เอาอาหาร การดูแล การอุปถัมภ์อุปัฏฐากจากพ่อ
คนเราถึงจะรวยเป็นมหาเศรษฐี มันก็ไม่มีความสุขได้ถ้าใจไม่มีความสงบ ใจมันวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเป็นคนไม่ร่ำรวย พอกินพอใช้เศรษฐกิจพอเพียง แต่จิตใจของเราสงบ มันก็ดีกว่ามหาเศรษฐีที่จิตใจวิ่งอยู่ตลอดเวลา เศรษฐีมันก็มีความสุขเท่ากับคนที่เค้ายากจนไม่ได้ เพราะคนเรามันมีความสุข มีความสบาย อยู่ที่จิตใจเราสงบ
ทุกวันนี้จิตใจของเราทุกๆ คนมันไม่สงบ เพราะทำอะไรก็เพื่อความอยากความต้องการ มันไม่ได้ทำอะไรเพื่อเป็นผู้เสียสละเพื่อเป็นผู้ให้
เบื้องต้นพระพุทธเจ้าท่านสอนเรา... เรานี้เป็นผู้ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องสร้างความดี สร้างบารมี ต้องเสียสละ ต้องเป็นผู้ให้ ต้องให้ตลอดกาล อย่าไปกลัวเสียเปรียบ อย่าไปกลัวคนอื่นเอาเปรียบ
เราต้องเป็นผู้ให้ ต้องขยัน ต้องอดทน ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เป็นผู้ให้ ไม่เป็นผู้เสียสละ หัวใจของเราก็เป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นอสุรกาย ถ้าเราเป็นผู้ให้เราเองก็มีความสุข พ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลของเราก็มีความสุข
เราจะเอาอะไรไปให้เค้า...?
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นคนขยัน ความขยัน ความรับผิดชอบ นั้นคือการเสียสละ หนักก็เอาเบาก็สู้ เป็นคนติดดินเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าเราเป็นคนเสียสละ ความจนมันจะมีมาจากไหน? ที่มันจน เพราะเราไม่เสียสละ เราไม่รับผิดชอบ
ถ้าเราตามใจของเรา ตามกิเลสของเรา ตามความต้องการของเรานี้ มันมีภัย มีอันตรายเปรียบเสมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มันมีความทุกข์ถึงตายนะ จิตใจของเราน่ะมันถูกกามคุณครอบงำ มันเลยมืด มันเลยบอดเปรียบเสมือนคืนเดือนมืด แมลงเม่ามันมองเห็นแสงไฟของกองไฟที่ลุกโชติช่วง แสงไฟนั้นมันมีอำนาจ เปรียบเสมือนแม่เหล็กใหญ่ที่มันดูดเศษเหล็กเล็กๆ เข้าไปหาฉันใด แมลงเม่าก็เช่นเดียวกันฉันนั้น
กามคุณทั้ง ๕ นั้น ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฎฐัพพะ มันมีอำนาจมากมันดึงเอาสัตว์โลกทุกๆ ตัวไปสู่อบาย ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน ชีวิตที่เกิดมายากที่จะเข้มแข็งต้านทานสิ่งต่างๆ ไม่ว่าความทุกข์ ไม่ว่าความสุขมันมีอำนาจมีพลัง
ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนั้นก็ไม่ปลอดภัย สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันมีทั้งคุณและโทษนะ
ชีวิตของคนเราผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การใช้ชีวิต พระพุทธเจ้าท่านให้เราใช้ชีวิตด้วยสติ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ท่านไม่ให้เราเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความสุขสะดวกสบาย ตั้งอยู่ในความประมาท
คนเรานี้นะเมื่อกิเลสมันครอบงำมันไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก ไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว มันลืมพ่อ ลืมแม่ ลืมภรรยา ลืมสามี มันคิดอะไรไม่เป็น คิดอะไรไม่ออกเลยนะ พระพุทธเจ้าท่านบอกไม่ฟัง ครูบาอาจารย์บอกไม่ฟัง พ่อแม่บอกก็ไม่ฟัง มันเอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ตัวเอง เอาแต่ความอยากของตัวเอง คิดๆ แล้วก็น่าสงสารทำให้ตกนรกทั้งเป็นนะ ทำให้ครอบครัวแตกแยก ทำให้ครอบครัวมีปัญหา เป็นปัญหาในครอบครัว ยังไม่พอยังเป็นปัญหาสังคม
คนเราส่วนใหญ่นี้ไม่รู้จักความอยากนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทำตามความอยากให้ทำตามความถูกต้อง เราทุกคนไม่ค่อยจะมีสมาธิกัน ไม่มีความอดความทน ปัญหาที่มันไม่มีมันก็เลยมี ปัญหาที่เล็กๆ มันก็ค่อยใหญ่ขึ้นอีก การทำตามใจตัวเองทำตามความอยากเป็นการสร้างภพสร้างชาติ สร้างความทุกข์ สร้างปัญหา ปัญหาของเราน่ะมันไม่ได้จบลงเพียงแค่ เรานะ มันเดือดร้อนถึงคุณพ่อถึงคุณแม่ ถึงผู้ที่อยู่ในครอบครัวของเรา
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีความสุขในการเสียสละ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขมาก สบายมาก
วันหนึ่งๆ ให้เราคิดเสมอว่า เราได้เสียสละอะไรไปบ้าง? คนเราน่ะมันรักสุขเกลียดทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารักความทุกข์ ความเหนื่อยยากลำบาก เราต้องเสียสละ ถ้าเรารักความสุข เราก็จะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านเอาเปรียบคนอื่น ทำอาชีพบนหลังคนอื่นเค้า ไม่ทำก็อยากได้ ทำน้อยก็อยากได้มาก
"ต้องเสียสละนะ" เพราะภาระของเราก็คือดูแลตัวเอง ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ลูกๆ หลานๆ ตลอดพี่น้องพ้องบริวาร ดูแลประเทศชาติ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
พระพุทธเจ้าท่านเกียจคร้านไม่เป็น ถ้าเกียจคร้านนั้น...ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่มีโลกส่วนตัว มีแต่โลกที่เป็นผู้ให้ คนที่ไม่ขยันเป็นคนขี้เกียจ เค้าเรียกว่าเป็นคนที่ติดอดีต ติดในภพ ในชาติ ไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่เข้าถึงปัจจุบัน
เมื่อเราไม่เข้าถึงปัจจุบัน เราก็มีแต่เรื่องเก่าๆ มีแต่ความรู้เก่าๆ เราก็ไม่ได้พัฒนาตัวเอง เพราะเรามันติด เรามันหลง มีความเครียดมาก มีโลกส่วนตัวมาก
พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาสอนเรา ให้เราพากันมาพัฒนา ปัญหาต่างๆ ภายนอกมันมีมาก แต่ท่านให้เรามาแก้ที่ตัวของเราเอง มาแก้ที่จิตใจของเรา แก้ที่การกระทำ แก้ที่กิริยามารยาทของเรา มาแก้ที่คำพูดของเรา พยายามเน้นมาหาที่ตัวเรา
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุกคนว่า... เกิดมาเพื่อสร้างความดีสร้างบารมีอย่างนี้นะ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อติดสุขติดสบาย ทำอย่างไรจะหาเงินหาสตางค์ได้เยอะ เราต้องเก่งเพื่อจะหาเงินหาสตางค์ ...ไม่ใช่อย่างนั้น... ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เราก็ไม่ได้สร้างความดีสร้างบารมี
บางคนก็คิดว่า ถ้าเราจะสร้างแต่ความดีสร้างบารมีเราจะไม่จนแย่เหรอ คนเราก็คิดไป...
มันจะจนไปได้อย่างไร เพราะเราเป็นคนขยัน เป็นคนฉลาด มันจะจนได้อย่างไร เพราะเราเป็นคนมีคุณธรรม เพื่อนๆ เค้าก็รักเรา นับถือเรา เครดิตเราก็ดี มีทั้งเงินทั้งสตางค์ มีทั้งเพื่อนที่ดี ทุกๆ คน รักคนดีทั้งหมด ยอมรับคนดีทั้งหมด นี้เราเป็นทั้งคนดี...มีเงินมีสตางค์ ถ้าเราเป็นคนดีอย่างนี้ เรตติ้งของเรามันก็ขึ้นเอง มันก็สูงเอง
อย่างคนมีศีล ๕ ทุกคนรักเคารพนับถือหมด แม้แต่ตัวเราก็เคารพนับถือในตัวเราถ้าเรามีศีล ๕
ศีล ๕ คืออะไร? ศีล ๕ ก็คือความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ศีล ๕ คือความขยันหมั่นเพียร คือการเสียสละ มีเมตตาคนอื่น สงสารคนอื่น เป็นคนไม่มีพยาบาท เป็นคนไม่เครียด มองโลกในแง่บวก ในแง่ดี เป็นเพื่อนได้กับคนที่เค้าดีและไม่ดี มีเมตตาหมด มีความสุขในการทำงาน ในการเสียสละ เป็นคนกตัญญกตเวทีต่อคุณพ่อคุณแม่ เป็นคนที่รู้จักบุญคุณคนอื่น ตั้งอยู่ในความดี คนไหนอยู่ใกล้ก็รักก็สงสาร
ไม่ใช่คนอยู่ใกล้ไม่ถูกกัน ไปรักไปชอบคนอยู่ไกลๆ โน้น... อย่างนี้เป็นคนที่ใช้ไม่ได้... ทำงานอยู่ด้วยกันก็ไม่รักกัน ไม่สงสารกัน ไม่ให้กำลังใจกัน ต้องให้ความรักความเมตตา ให้กำลังใจคนใกล้ตัวเรามากที่สุด และผู้มีพระคุณ สังคมถึงจะเกิดความผาสุกสงบได้
ศีล ๕ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันดีอย่างนี้แหละ มันช่วยเหลือเรา ช่วยเหลือครอบครัวเรา ถ้าเราเป็นคนกลัวศีล ๕ ไม่ชอบศีล ๕ คิดว่า ศีล ๕ มาบั่นทอนความสุขเรา มาบั่นทอนเสรีภาพของเรา อันนี้เป็นความเห็นผิด มันเป็นคนรักสุขเกลียดทุกข์
ศีล ๕ เป็นสมบัติของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่มีศีล ๕ เราก็เป็นได้แต่เพียงคน ถ้าเป็นคนก็ทำทั้งดีทั้งชั่ ทั้งถูกทั้งผิด อันนี้ เค้าเรียกว่า 'คน' มนุษย์ แปลว่า ผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ความดี ถ้าเราเป็นปัญญาชน พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราพัฒนาเป็นอริยชน จึงจะได้เป็นมนุษย์
สมาธิ แปลว่าความสุข แปลว่าความสงบ ถ้าใจของเราสงบถือว่าเรามีสมาธิ สมาธิไม่ได้เกี่ยวกับการนั่ง ยืน เดิน นอน สมาธิอยู่ที่ใจสงบ ถ้าเรามีความสุขในการทำงานอย่างนี้ เขาเรียกว่ามีสมาธิในการทำงาน เรามี ความสุขในการเดิน เรียกว่ามีสมาธิในการเดิน เวลานอนอย่างนี้ เรามีความสุขในการนอน เราไม่คิดอะไร เขาเรียกว่าเรามีสมาธิในการนอน เวลาเราพูดกับใคร ก็ให้เรามีความสุขในการพูด อย่างนี้เค้าเรียกว่า คนมีสมาธิ สมาธินี้ช่วยเราทุกๆ อย่างเลย ไม่ว่าเรื่องการเรื่องงานเรื่องเรียน
ให้เรามีความสุขในการทำสิ่งเหล่านี้ ให้กายกับใจให้มันอยู่ด้วยกัน ให้ใจของเราอยู่กับหน้าที่นั้นๆ เรียกว่า ความตั้งใจมั่นชอบ
ชีวิตของเราก็จะมีความสุข มีหัวใจที่มีความสุข ขึ้นสวรรค์ตั้งแต่ยังไม่ตาย มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่นทั้งวัน เป็นผู้หยุดได้เย็นได้ รอกาล รอเวลาได้ ไม่เผาตัวเอง มีสติสัมปชัญญะดี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
คนเรามีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์มันชอบเผาจิตเผาใจตัวเอง สมาธิมันถึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกๆ คน ชีวิตของคนเราถึงจะมี ความสุข ปัญญาของเรามันถึงจะเกิด
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวทิตา"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบ" (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ)
หวังว่าทุกคนจะสมาทานเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติเพื่อความผาสุก ความสงบ เพื่อความร่มเย็นของตัวเอง และก็ครอบครัว ตลอดจน...ประเทศชาติ
เราจะทั้งปฏิบัติให้ดู แล้วก็จะได้พูดให้เค้าฟัง เพื่อจะได้นำความดับทุกข์ที่มันถูกต้องให้กับส่วนรวม ที่กำลังแสวงหาความดับทุกข์กัน
ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านนะ ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถือว่าท่านได้เดินทางถูกต้องสู่สุคติ สุคโต อยู่ก็ดีไปก็ดีด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ.