แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๘ ทำความดีเพื่อจะเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน ถึงมีสัมมาทิฏฐ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกคนมีสติ มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ใจของเราจะได้กลับมาหาเนื้อหาตัว เราทุกคือผู้ที่ประเสริฐนะ เพราะชีวิตของเรานี้ต้องดำเนินสู่มรรคผลพระนิพพาน สิ่งที่เราไว้วางใจได้ เชื่อถือได้ ก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงรูปเดียว เพราะท่านบำเพ็ญพุทธบารมีมาตั้งหลายล้านชาติ มาบอก มาสอน ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เราทุกคนอย่าไปเชื่อใจตัวเอง อย่าไปเชื่ออารมณ์ตัวเอง อย่าไปเชื่อความคิดตัวเอง เพราะเราก็ถือว่ายังเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิด ไปทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเองมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็ยิ่งเพิ่มความมืด เพิ่มความหลง ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ
ทุกคนต้องกลับมาหาอานาปานสติ เพราะอานาปานสติ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เป็นทั้งความสงบ เป็นทั้งปัญญา อย่างนี้แหละตัดอดีตไปให้มันเป็นศูนย์ อนาคตก็ให้มันเป็นศูนย์ให้มันอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เราต้องรู้ผิด รู้ถูก รู้ดี รู้ชั่ว เอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ในใจ เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เราหายใจอย่างนี้ เราก็ต้องหายใจสม่ำเสมอ เราถึงไม่ตาย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นถึงมี เราบริโภคข้าวปลาอาหาร เรานอน เราพักผ่อน เราบริโภคสิ่งต่างๆ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนของร่างกาย ของจิตใจ นี่แหละเราต้องเดินตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทุกท่านทุกคนผู้ที่เข้ามาบวช ถือว่าโอกาสเราพิเศษ เราพากันปฏิบัติ
คำว่า วัด นี่คือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้เราต้องตั่งมั่นในพระพุทธเจ้า เราลองคิดดูดีๆ นะ พระพุทธเจ้ารูปเดียวนี่ก็ ถึงแม้คนทั้งโลกจะมาพูดอะไร ประชุมอะไร ก็ไม่มีความเป็นธรรม ความยุติธรรม เหมือนพระพุทธเจ้ารูปเดียว เราดูตัวอย่างหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาส อยางนี้แหละ ท่านเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลัก ท่านไม่ได้เอาแบบระบบประชาธิปไตย มันถึงไปได้ ถึงแม้เราจะประชุมกัน ลงมติกันทั้งโลกอย่างนี้ มันก็สู้พระพุทธเจ้าองค์เดียวไม่ได้ ดูตัวอย่างหลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ปรึกษาใครนะทำอะไร ท่านปรึกษาแต่พระพุทธเจ้า เอาแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาสท่านไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะธรรมะเป็นเครื่องวัดความถูกต้อง อยู่ที่เราละความเห็นแก่ตัว เพราะพระพุทธเจ้าไม่มีพรรคพวก ไม่มีพวกพ้อง มีแต่พระธรรม มีแค่พระวินัย เป็นกระบวนการเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เห็นไหมล่ะ ประชาธิปไตยเถียงกันสนั่นหวั่นไหว มันก็ไม่มีธรรมหรอก เพราะว่าประชาธิปไตยก็ถือเอาตัวตนเป็นใหญ่ของคนหลายคน มันไม่ใช่ ประชาธิปไตยก็คือความเห็นแก่ตัว ระบบคอมมิวนิสต์ที่ผู้ที่มีอุดมการณ์คือพวกที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ผู้เสียสละอะไร การรักษาศีลเพื่อจะไปพระนิพพาน ก็ต้องให้เข้าใจ เรารักษาเพื่อจะเสียสละ ทำความดีเพื่อจะเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทนมันถึงมีสัมมาทิฏฐิ
ทุกๆ คนต้องรับผิดชอบในตัวเองให้เต็มที่ เต็มร้อย ปัจจุบันต้องสติสัมปชัญญะให้มันสมบูรณ์ เราต้องอยู่กับตัวเอง ที่คนทั้งโลกเค้าอยู่กับการทำงาน อยู่กับโทรศัพท์มือถือ อันนู้นมันไปแก้ไขภายนอก มันไม่ได้แก้ไขตัวเอง เพราะปัญหาต่างๆ มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากความหลง เกิดจากตาบอดแล้วก็ไม่ได้รักษา หูหนวกก็ไม่ได้รักษา เกิดจากอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้วก็ไม่ได้รักษา ถึงต้องเดินตามพระพุทธเจ้า ตั้งมั่นในพระรัตนตรัยอย่างนี้ ทุกท่านทุกคน ไม่ต้องไปลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า คนมันเอาตัวตนเป็นหลัก คือคนลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ คนที่ถือทิฏฐิ ถือมานะ อัตตาตัวตน คือเอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เค้าเรียกว่าคนมีทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิ ถือตัวถือตน พวกคนที่ไม่ตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า 100% คือคนที่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ พระนิพพานมันอยู่ที่ใจของเราที่สว่างไสว ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ
เราต้องแก้ตัวเอง เราจะไม่ได้ไปหาความสุขความดับทุกข์อยู่ที่ไหน เราต้องพัฒนาด้วยลำแข้งของเราเอง เพราะการประพฤติการปฏิบัติครูบาอาจารย์ก็ทำให้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ทำให้เราไม่ได้ เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติไปทุกคนก็จะมีความสุข ว่าทำไมถึงมีความสุข ไม่มีความสุขอย่างไร ก็เพราะว่ามันไม่ได้เอาตัว เอาตน มันเสียสละ ที่พูดอยู่นี่ก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจน แล้วจะให้ปฏิบัติติดต่อกัน เหมือนไก่เวลามันฟักไข่ ต้องใช้เวลา 3 อาทิตย์ มันกกไข่ ไข่นั้นถึงไม่เน่า ถ้า 2-3 ลูกมันเน่าก็เพราะว่าแม่ไก่ทนความหิวไม่ได้ออกไปหาอาหาร ความอบอุ่นมันอันนี้ มันก็ตามอันนี้แหละ ถึงมีคำว่า โสดาบันบางคนก็ 7 ชาติ บางคนก็ 6 ชาติ บางคนก็บรรลุในปัจจุบัน เพราะว่ามันอยู่ที่ความประพฤติของเรา
เราไปเห็นต้นไม้ว่าทำมันงามแท้ มันงามก็เพราะว่าดินมันดี และเราให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้อากาศ ให้แสงแดด เราถอนหญ้า ดูแลแมลง มันอยู่ที่เรานะ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา การประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่เรา เราไม่ต้องไปโทษ ลูก มันไม่ดี ก็ไปโทษลูก เรายากจน ก็ไปโทษใครต่อใคร เราไม่โทษตัวเองหรอก เพราะเราเกิดมา มันก็ต้องมีปัญหา เกิดมาเราก็ต้องมาแก่ มาเจ็บตาย มาพลัดพราก จะไปโทษใคร
เราต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะเรามันโชคดีขนาดไหน มีลมหายใจอยู่ เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติให้เรามีความสุขอย่างนี้ๆ เราไม่ต้องสนใจเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เราไม่ต้องไปถามครูบาอาจารย์ว่าเราจะได้บรรลุไหม มันได้บรรลุแน่ ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้า ถ้าเราเสียสละ ถ้าเราจะเอา มันก็ต้องมีปัญหา พวกนี้ปฏิบัติเอาอย่างนี้ ก็ต้องมีปัญหา ที่เราฝึกหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย หายใจเข้าท่องพุท หายใจออกท่องโธ เราเดินจงกรม พระนี่ไม่มีงานอะไรเหมือนประชาชนเค้า งานก็งานเจริญสติสัมปชัญญะ งานคือรู้จักใจ รู้จักอารมณ์ ไม่ไปตามความคิด ไม่ตามอารมณ์ เพราะเราทุกคนมี sex ทางความคิด มี sex ทางอารมณ์ ไม่รู้ตัวเลยอย่างนี้แหละ เราถึงเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย อินทรีย์บารมีก็ไม่แก่กล้าหรอก เพราะเราเป็นเหมือนแม่ไก่กำลังฟัก แต่ไม่ต่อเนื่อง อย่างนี้แหละ ไข่มันก็ต้องเน่า ฉันใด ในใจของเรามันก็เน่า ใจของเรามันก็สกปรก เราต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบติถึงความดับทุกข์
อย่าลืมที่พูดวันก่อน ต้องทำงานกันเป็นทีม ปฏิบัติเป็นทีม ถึงเวลากวาดวัด ถึงเวลาทำอะไร ทำกันเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือกัน ถ้าตัวใครตัวมันไม่ได้ เพราะว่าบางคนก็อินทีย์แข็งแรง บางคนก็อินทรีย์ไม่แข็งแรง ช่วยกันไป เราทุกคนก็ต้องสงสารกัน ที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะว่าสงสารผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด เราต้องมีน้ำใจ มีคุณธรรม อย่ามีโลกส่วนตัว อย่ามีโลกยึดมั่นถือมั่น ถ้าเห็นหน้ามันอยากจะพูดจะคุย เราก็ไม่พูดไม่คุย เราก็หายใจเข้าให้มันชัดเจน หายใจออกให้มันชัดเจน และก็ท่องพุธ โท ในใจ ไม่มีพุธโทมันก็อยากคุยมากพูดมาก มันก็เลยเรื่องมาก ลมหายใจนี่สำคัญ หายใจเข้าหายใจออก มันได้บุญได้กุศลทุกลมหายใจ เราไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นของดี
การทำใจให้สบายนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นงานอย่างหนึ่ง คืองานรู้ลมหายใจการรู้ลมหายใจ ลมหายใจเข้าก็ให้เรารู้ ลมหายใจออกก็ให้เรารู้ ให้มีความสุขกับลมหายใจ อย่าให้ใจของเราอึดอัด เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เดี๋ยวมันสงบเอง อย่าอยากให้มันสงบ เดี๋ยวมันสงบไปเอง ถ้าเราอยากให้มันสงบแล้วมันจะไม่สงบ เพราะสมาธิได้แก่ความเป็นหนึ่งไม่มีอะไรที่จะมาแทรกแซง ถ้าเรายังมีความโลภมีความต้องการอยู่ ใจของเราก็เป็นหนึ่งไม่ได้ เรามีหน้าที่หายใจเข้า...หายใจออกอย่างเดียว รู้ลมเข้า...ออกอย่างเดียว เหมือนเขากำลังเลื่อยไม้ ชักใบเลื่อยไปชักใบเลื่อยมา
คนที่ทำสมาธิไม่ได้ไม่เป็น คือคนอยากให้มันสงบ เหมือนกับคนที่ทำงานไม่ได้ทำงาน เพื่อเสียสละเพื่อละความเห็นแก่ตัว ใจมันอยู่กับเงินเดือน ใจมันไม่มีความสุขกับการทำงาน คนเราต้องการผลตอบแทนนะ ไม่ว่าทำอะไร เราจะมีความสุขได้ จะมีความดับทุกข์ได้ ต้องเป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่ละความเห็นแก่ตัว
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เป็นผู้ทำสิ่งใดๆ ทำไปเพื่อเสียสละ เป็นการสร้างความดีสร้างบารมี อย่าไปหวังผลตอบแทน เราไม่หวังผลตอบแทน เราก็ได้อยู่แล้ว ได้ทั้งการทั้งงานได้ทั้งคุณธรรม ฉันใดก็ฉันนั้น
ผู้ที่ทำสมาธิอย่าไปมุ่งหวังความสงบ เราทำไปปฏิบัติไปเดี๋ยวมันสงบเองบางคนชอบถามในใจ ถ้าไม่มุ่งหมายความสงบแล้ว จะทำไปทำไม...?
ให้คำตอบว่า ทำไปเพื่อเสียสละละการเห็นแก่ตัว เพื่อละตัวละตน
คนเราเกิดมาเพราะมันโลภ มันโกรธ มันหลง มันต้องการ มันถึงต้องเกิดมาเรามาทำสมาธิเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง เราทำอย่างนี้ จิตใจของเราถึงจะก้าวหน้า ถึงจะสงบได้ทุกครั้ง เพราะเราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ มีความสุขกับการทำงาน การทำงานภายนอก การทำสมาธิก็จัดเป็นงานอย่างหนึ่ง
การทำสมาธินั้นมีหลายระดับ.... ระดับที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถทั้ง เขาเรียกว่าสมาธิระดับหนึ่ง ที่เราจะได้แยกแยะว่าอันไหนดีอันไหนชั่ว อันไหนผิดอันไหนถูก มันเป็นสมาธิระดับหนึ่ง
'สมาธิระดับกลาง' เราเอาไปใช้กับการทำงาน มีความสุขกับการทำงาน เสียสละกับการทำงาน ให้ใจเราอยู่กับการทำงาน ทำงานเพื่อการทำงาน ทำงานเพื่อเสียสละ ไม่มุ่งหวังเงินเดือน ไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ไม่มุ่งหวังคำว่าขอบคุณ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีมีประโยชน์ ได้ทั้งการทั้งงาน ได้ทั้งเงินได้ทั้งสตางค์ ได้ทั้งคุณธรรม มันดีกว่าเราปล่อยจิตใจของเรา ให้มันโลภ มันโกรธ มันหลง เผาตัวเองให้มันทุกข์เปล่าๆ
'สมาธิชั้นสูง' หมายถึงเราตั้งใจทำสมาธิ เพื่อเสียสละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง เป็นสมาธิที่ละเอียด ปล่อยวางทุกอย่าง ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลายทั้งปวง จิตใจเกิดปีติ เกิดสุข เกิดเอกัคคตา จิตใจเป็นหนึ่ง จิตใจเข้าฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้ตามระดับ เป็นสมาธิขั้นละเอียด
เรามีของดีอยู่กับเรา เราไม่เอามาใช้ประพฤติปฏิบัติ เอามาฝึก จนมันเก่ง จนมันชำนาญ เพื่อจะใช้การใช้งานให้ได้ดีๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น
"คนเรามีความอยากนะ" อยากเป็นคนดีเป็นคนเก่ง อยากมีคุณธรรม แต่ขาดการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจมันเป็นขั้นตอนหนึ่งอย่างที่เราเข้าใจอะไรดีๆ มันเป็นขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนต่อไปเราต้องนำไป ประพฤตินำไปปฏิบัติ มันถึงจะใช้ได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่นได้
ถ้าเรารู้มากแล้วเราไม่ปฏิบัติ มันก็เป็นเหมือนท่านอาจารย์องค์หนึ่งชื่อว่า 'พระโปฐิละ' สมัยครั้งพุทธกาลท่านอาจารย์องค์นี้ท่านเก่งมาก เป็นคนฉลาดมาก เทศน์ธรรมะ สอนธรรมะให้ลูกศิษย์ลูกหาได้บรรลุธรรมตั้งหลายร้อยองค์ แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมอะไร เป็นบุคคลธรรมดาเพราะว่ารู้เฉยๆ เข้าใจเฉยๆ ไม่ได้นำมาประพฤติปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นว่า ไม่ได้แล้วเจ้านี้ พระรูปนี้เก่งตั้งแต่เป็นผู้บอกผู้สอนยังขาดการประพฤติปฏิบัติ เปรียบเสมือนคนเลี้ยงโคนม เลี้ยงแล้วก็ไม่ได้ดื่มน้ำนมโค มีแต่บอกให้คนอื่นเขาดื่ม ว่ามันดีอย่างนี้มีประโยชน์อย่างนี้
เมื่อพระโปฐิละมากราบพระพุทธเจ้าครั้งใด พระพุทธเจ้าท่านเมตตาตรัสกับพระโปฐิละว่า "มาแล้วหรือพระภิกษุใบลานเปล่า" เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกครั้งก็จะตรัสอย่างนี้ จนกระทั่งพระโปฐิละมีความละอายแก้ใจ สอนเขาได้บรรลุธรรมหมดแต่ตัวเองไม่ได้บรรลุ ที่นี้อยากบรรลุธรรม ไปขอเรียนการประพฤติปฏิบัติกับลูกศิษย์ที่ตัวเองสอน ว่าทำอย่างไรถึงจะได้บรรลุธรรม ถามลูกศิษย์องค์ไหนรูปไหนเขาก็ไม่บอก เพราะทุกคนเข้าใจว่าพระโปฐิละ รู้แล้ว เก่งแล้ว แต่ขาดการประพฤติปฏิบัติเท่านั้นจนไปถามสามเณรน้อยๆ องค์สุดท้าย สามเณรองค์สุดท้ายก็พูดว่าจะรับเป็นผู้บอกผู้สอน แต่มีข้อแม้ว่าต้องลดมานะละทิฏฐิ ปฏิบัติ ตามคำสอนของสามเณรทุกอย่าง ตกลงพระโปฐิละก็รับปากสามเณรว่าจะทำตามสามเณรบอกทุกสิ่งทุกอย่าง
สามเณรก็ลองใจเลยทีนี้ว่าจะลดมานะละทิฏฐิได้จริงรึเปล่า จึงสั่งให้ครองจีวรให้เรียบร้อย ห่มจีวรเสร็จก็สั่งให้เดินลุยลงไปในน้ำ สั่งให้ขึ้นลั่งให้ลงอยู่นั่นแหละ จนสามเณรเป็นที่พอใจว่า ท่านหายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิแล้ว จึงได้บอกสอนว่า "มีจอมปลวกอยู่จอมปลวกหนึ่ง มีรูอยู่ ๖ รู มีเหี้ยตัวหนึ่งไปอาศัยอยู่ ถ้าเราจะจับเหี้ยให้ได้ เราต้องปิดรู ๕ รู เหลือไว้ รูหนึ่ง...."
ความหมายได้ความว่า... เหตุปัจจัยที่จะเกิดวัฏฎสงสารนั้นมันมาจากตาที่เห็นรูป หูที่ฟังเสียง จมูกที่ดมกลิ่น ลิ้นที่ลิ้มรส กายที่สัมผัส ใจเป็นผู้รับรู้ ให้เราสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมาดูใจของเราอย่างเดียว เพราะธรรมทั้งหลายปวง มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้ามีใจเป็นประธาน ตั้งจิต ตั้งใจดีๆ ตั้งเจตนาดี ๆ ...
คนเรานี้ถ้าไม่ตั้งใจดีๆ มันทำไม่ได้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไม่เจตนา ถึงแม้เราจะไปเหยียบสัตว์ตายหรือทำผิดอะไรต่างๆ ก็ชื่อว่าไม่เป็นบาป เช่น คนเป็นบ้า เป็นโรคจิต ไม่มีสติทำอะไรไปก็ไม่รู้เขาเรียกว่า 'ไม่เป็นบาป'
เราต้องรักษาศีลให้ได้ มารักษาที่ใจ อย่างสิ่ง ๕ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายมันทำผิด แต่ใจเราไม่มีเจตนา ตามความเป็นจริงมันไม่บาป ตา หู จมูก ร่างกาย จะสัมผัสสิ่งใด ถ้าใจเราไม่ยินดี มันก็ไม่บาป "ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตที่ใจ..."
"อย่างเรารักษาศีลไม่ได้ ก็เพราะไม่มีเจตนาที่จะตั้งใจรักษา" เพราะคนเรามันชอบแก้ตัว เลี่ยงบาลี เลี่ยงกฎหมาย ถ้าการรักษาศีลของเรา เน้นมาที่เจตนามันก็ง่าย ถ้าเรายังลังเลสงสัยอยู่อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าเราทำไป "ถึงจะผิดไม่ผิด ก็ถือว่าผิดศีลแล้ว เพราะว่าผิดที่เรามีความลังเลสงสัย..."
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทำ ถ้าเรายังไม่รู้จริงกิเลสของเรามันจะเข้ามาแทรก ใจมีความมารยาสาไถย บอกเราว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เราก็ปล่อยวางสิ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย....
ความคิดอย่างนี้ มันจะหลอกให้เราผิดศีลนะ ความคิดอย่างนี้จะหลอกเราให้ไม่ละอายไม่เกรงกลัวต่อบาปนะ ความคิดอย่างนี้ จะทำให้จิตใจของเราเป็นผู้ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นความคิดที่มาห้ามสวรรค์ มรรคผลนิพพานของเรา ความคิดนี้อยู่ในสังคมกำลังมีมาก พยายามปรับธรรมะเข้ามาหาตัวเองว่านี่คือ 'ทางสายกลาง' เป็นความคิดที่ผิดศีลผิดธรรม ถ้ามันยังมีความลังเลสงสัย ยังไม่แนใจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทำ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าภิกษุรูปใดมีความคิดเห็นอย่างนี้และทำลงไป มีความผิดต้องอาบัติทุกกฏนะ
การทำความดีที่มุ่งมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นที่ใจ ที่เจตนา...ใจเรา... เราคิดอะไรเราปรุงแต่งอะไร คิดที่ดีที่ชั่วคนอื่นเขาไม่รู้ แต่ตัวเองรู้ตัวเองเห็นหมดนะ ความลับมันมีแต่กับผู้อื่น แต่ตัวเองมันไม่มีความลับนะ
ธรรมะเปรียบเสมือนแต่ก่อนมันมืด แต่ธรรมะนี้เป็นของสว่าง ใจมันสว่าง ไม่มีอะไรที่จะมาบดบัง ธรรมะเปรียบเสมือนเอาของที่มันคว่ำหงายขึ้น มันปิดบังตัวเองไม่ได้
เมื่อพระโปฐิละมาประพฤติปฏิบัติตามสามเณรบอกสอน ในไม่ช้าก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพในพระพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า "คนทุกคนมีค่ามาก" ถ้าไม่ทำตัวเองให้มีคุณค่า มันก็เท่ากับเราไปบล็อกตัวเองไว้ทางความคิด ว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีบารมี มีบุญน้อยมีวาสนาน้อย ว่าตัวเองนี้ไม่ได้บวชเป็นพระ ว่าตัวเองเป็นโยม อย่างนี้เรียกว่า "ความคิดของตัวเองมันบล็อกตัวเอง..."
ความคิดของเรามันทำลายศักยภาพอานุภาพ เข้าใจผิดคิดผิด ผิดตั้งแต่ความคิดแล้วยังมาผิดที่การประพฤติปฏิบัติอีก ธรรมะเป็นของบริสุทธิ์เป็นของกลางๆ เป็นของสาธารณะ ปฏิบัติได้ทุกๆ คนนะ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย สมณะ ชี พราหมณ์ หรือญาติโยม
ถ้าใครประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ชื่อว่าได้เป็นสุปฏิปันโน
ใครปฏิบัติถูกต้อง ถูกตรง เป็นอุชุปฏิปันโน
ใครไม่ตามกิเลสตนเอง เป็นญายะปฏิปันโน
ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคนนั้นก็เป็น 'พระที่จิตที่ใจ'
ไม่ว่าหญิงว่าชายมันมีเสรีภาพพอๆ กัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เพราะมันเป็นเรื่องของใจ ของการประพฤติปฏิบัติ
ครั้งพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบ ก็ได้บรรลุธรรมเพราะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปเข้าใจว่าเป็นสมณะชีพราหมณ์ เป็นนักบวช ถึงจะบรรลุธรรม เป็นความเข้าใจผิด ที่เขาเรียกว่า พระสงฆ์องค์สามเณร ก็เป็นตามที่เขาแต่งตั้งเฉยๆ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็เป็นพระอริยสงฆ์ไม่ได้ เป็นพระได้เพียงแต่พระสมมุติ พระแต่งตั้งเท่านั้น
ญาติโยมอย่าได้พากันเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ไปทอดธุระปล่อยใจไปตามเวรตามกรรม ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดต่างๆ นานา เข้าใจผิดว่าตัวเองมันปฏิบัติไม่ได้
แม้คำว่า 'พระศาสนา' ก็มีความเข้าใจผิดกันเยอะ ศาสนา แปลว่า ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ตั้งมั่นในความเมตตาอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
อย่างพระพุทธศาสนามันก็ชื่อๆ หนึ่ง.... อิสลามพระศาสนา คริสต์พระศาสนา ฮินดูพระศาสนา ก็เป็นชื่อๆ หนึ่ง เป็นชื่อของความดี เพื่อจะได้สะดวกในสมมุติ
"ศาสนา ก็แปลว่า ความดีนั่นแหละ" เพื่อให้คนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จุดมุ่งหมายเหมือนกันหมด คนไม่เข้าใจพระศาสนาเลยเอาพระศาสนาไปตีกันไปแบ่งแยกกัน มันเลยกลายเป็นก๊ก กลายเป็นเหล่า กลายเป็นพรรค กลายเป็นพวกไป "มันผิดวัตถุประสงค์คำว่า 'ศาสนา' ไป"
คนรุ่นใหม่นี่แหละ มีความเข้าใจผิดมาก จึงได้มีสงครามเกี่ยวกับพระศาสนาทั่วโลก แบ่งแยกนิกายต่างๆ ว่านิกายนั้นผิด นิกายนี้ถูก แม้แต่เราคิดว่าเราไม่ถือศาสนาอะไร "ถ้าเราทำความดีก็ถือว่าเราถือศาสนาแล้ว" เพราะศาสนาเป็นชื่อแห่งความดี ทุกศาสนาก็ว่าศาสนาของตัวเองดี ศาสนาอื่นสู้เราไม่ได้ คนเรามันชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มันชอบคิดอย่างนี้นะคนเรา...
ความจริงแล้ว ทุกศาสนาดีหมด ที่ไม่ดีเพราะผู้ปฏิบัติตามมันไม่ดี
เดี๋ยวนี้ประชาชนสับสนไปหมดว่า "คนศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ตายไปจะตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า...?"
คนเรานะ ถ้ามันทุกข์...มันก็ทุกข์เหมือนกันหมด สุข...ก็สุขเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรแบ่งแยก เหมือนเราบริโภคข้าว บริโภคขนมปัง ผลไม้ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เราได้รับคือความดับทุกข์ มีความสุขเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าตกนรกชนิดไหนก็ทุกข์เหมือนกันหมด ไม่ว่าขึ้นสวรรค์ชนิดไหนก็สุขเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีกิเลสสิ้นอาสวะ ก็ไปนิพพานทั้งหมดทั้งสิ้น เราปฏิบัติตาม 'อริยมรรคมีองค์ ๘' ไม่ว่าเราจะเป็นนักบวช เป็นญาติโยมสามารถบรรลุธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ทุกๆ คนอยากช่วยเหลือตัวเอง อยากช่วยเหลือผู้อื่น คนที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ การเรียนหนังสือมันเป็นของยาก การปฏิบัติมันยิ่งเป็นของยากนะ ถ้าเรารู้เฉยๆ เราไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ เขาเรียกว่า 'ยังใช้ไม่ได้....'
ศาสนาเป็นปรัชญา เป็นความรู้ เป็นปริยัติเฉยๆ การประพฤติปฏิบัติในด้านจิตใจนี้ มันไม่เกี่ยวกับปริญญาตรี โท เอกนะ...
คนไม่รู้หนังสือกับคนรู้หนังสือ มันก็บรรลุธรรมพอๆ กัน มันเป็นความรู้ที่เรามีทุกๆ คน รู้ว่าร้อน รู้ว่าหนาว รู้ว่าสุข รู้ว่าทุกข์ รู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปรู้อะไรมากกว่านี้ ถึงเราจะไม่ได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญ นั้นเป็นการเรียนหนังสือมันยังไม่ปฏิบัติธรรม
"สำหรับธรรมะที่จะใช้ประพฤติปฏิบัติ ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก ให้เรากลับมาหาตัวเองอย่างนี้" อันไหนดีเราก็กระตือรือร้นทำนะ อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปทำมัน มันไม่แจ่มไม่แจ้ง มันยังสงสัยเราก็ไม่ไปทำ ที่พูดง่ายๆ อย่างนี้ แต่การกระทำเป็นสิ่งที่ทำลำบาก มันเป็นเรื่องใหญ่นะ
เพราะคนเรามันติดสุขติดสบาย ต้องแก้ไขตนเองนะ ถ้าไม่แก้ไขตนเองแล้ว มีความรู้ความเห็นความเข้าใจ มันก็ไม่มีประโยชน์ คนเรามันท้อใจนะ เพราะตัวตนมันมาก... ท้อใจเหมือนเราไปยืนมองอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร แล้วก็คิดว่า เราคงข้ามไปฝั่งโน้นไม่ได้แน่ เราต้องจมน้ำตายแน่ ความคิดอย่างนั้น มันเป็นความคิดที่บั่นทอนจิตใจของเรา เราไปประเมินผลไว้ก่อน
พระพุทธเจ้าท่านคิดอีกอย่างหนึ่งนะ... อย่างที่เรืออับปางกลางมหาสมุทร ไม่ใช่ตัวท่านว่ายคนเดียว ท่านยังอุ้มแม่ว่ายน้ำด้วย ท่านไม่สนใจจะถึงไม่ถึง ท่านก็มีหน้าที่ว่ายอย่างเดียว จนเดือดร้อนถึงเทวดาต้องมาอุ้มท่านข้ามฝั่งมหาสมุทร
คนเรามีพลังทิพย์ พลังใจนะ... เราต้องคิดเสมอ.... เรามีลมหายใจ มีโอกาส มีเวลา ต้องตั้งใจ ต้องเสียสละ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ตั้งใจทำให้ดี ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปเพื่อรักษาสถานภาพเฉยๆ ว่าเราได้ทำ
ความคิดขี้เกียจขี้คร้านมันเป็นตัวใหญ่... ทุกท่านทุกคนต้องผ่านทัพตัวนี้ ทัพใหญ่ทุกคนต้องผ่าน ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา พระสงฆ์ องค์สามเณร คนทำงาน ต้องผ่านทัพใหญ่ คือ ทัพขี้เกียจ ทัพเห็นแก่ตัว ทัพติดสุขติดสบายนี้แหละ ที่เรามองเห็นภาพรวมของสังคม ประเทศชาติ มันไปติดทัพใหญ่ คือ ทัพขี้เกียจ เราตีทัพมันไม่แตก ประชาชนคนส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์
ถึงเป็นคนยากจน มีหนี้มีสินกัน มันมีทุกข์มาก เพราะความขี้เกียจนี่เอง มันจึงได้พากันตกในอบายมุขอบายภูมิต่างๆ ครอบครัวของเราจึงไม่มีความสุข ไม่มีความอบอุ่น กินเหล้าเมายา พากันเสพยา จำหน่ายยา เป็นปัญหาของสังคม ตัวใหญ่ตัวหลัก คือความขี้เกียจขี้คร้านนี่แหละ
เราไปอยู่ไหนก็ตามไป ไม่ว่าในป่า ในเขา ในถ้ำ อย่างเรามาบวชความขี้เกียจขี้คร้านก็ตามมา ถือศีลก็ตามมา กลับบ้านกลับที่ทำงานมันก็ตามไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝืน ให้เราอดเราทน เราอย่าไปท้อแท้ท้อถอย ว่าเราปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้
ลูกคนรวยส่วนใหญ่...ก็ติดในความสุขสบาย ลูกคนจนก็ติดในความสุขความสบาย เพราะรับพันธุ์จากพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ขยันมันถึงจน... คนเรามันต้องคิดเป็นนะ ต้องรู้จักคิด ในอนาคตถ้าไม่ปรับปรุงต้องทุกข์แน่นอน ต้องจนแน่นอน มีปัญหาครอบครัวแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราเห็น ทุกข์' ที่จะเกิดกับเราในอนาคต ให้เห็นเหตุที่ให้เกิดทุกข์ ถ้าเรารอถึงวันนั้นมันสายไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้
มรรค คือข้อวัตรปฏิบัติ เป็นบรรทัดฐาน เป็นความดี... เราทุกท่านทุกคนเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องทวนกระแส ทวนความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับปรุงใจของเรา ปรับปรุงการกระทำของเรา คำพูดของเรา ตั้งไว้อย่างแน่วแน่ มีความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เราจะทำอย่างนี้เพียงวันเดียว ต้องทำทุกวันจนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย มีความตั้งใจมั่นชอบ มรรคมีองค์ ๘ ตัวสำคัญ คือ 'ความตั้งใจมั่นชอบ'
ส่วนใหญ่เราทำอะไรไม่มั่นคง ขาดความตั้งใจ ฐานะไม่มั่นคง จิตใจไม่มั่นคง ใครจะมาเคารพเชื่อถือเรา เพราะเราไม่มีความตั้งใจมั่นชอบ
ความคิดของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะความคิดเก่าๆ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว พาเราเวียนว่ายตายเกิด เป็นความคิด ที่ขาดสติ ขาดปัญญา มันมีความคิดที่ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความเพลิน เป็นเด็กก็เพลิดเพลินในการกิน การนอน การเที่ยว มันมดบังในการเรียน การศึกษา การทำงาน ปัญหาต่างๆ มันถึงประดังประเดเข้ามา เดือดร้อนถึงพ่อแม่วงศ์ตระกูล เพราะความไม่ตั้งใจของเรา
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจใหม่ ตั้งใจให้ดีอย่างนี้ตลอดไป ตลอดกาลยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่เป็นคนเอาเวลาเรียน เวลาทำงาน ไปเพลิดเพลินเหมือนที่แล้วๆ มา ที่ผิดไปแล้วถือว่าเป็นครู ที่รู้ถือเป็นอาจารย์ต้องตั้งใจมั่นนะ เคยติดอะไรต่างๆ จะพยายามละ จะพยายามเลิก ถ้ามัวอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ ไม่ได้แน่ ไม่ดีแน่ อันไหนไม่ดีให้หยุดตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นบุคคลใหม่ คนเก่าทิ้งไปกับกาลเวลาที่เสียไป จะไม่อาลัยอาวรณ์คิดถึงมัน มันทำให้ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาถือว่าพอแล้ว ทำความดีมันไม่ตาย ที่ตายส่วนใหญ่เพราะมันคิดมาก เพราะวิตกกังวล เพราะกลัวความดี
ข้าพเจ้าจะมาสร้างประโยชน์ตน... และสร้างประโยชน์ผู้อื่น... ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน ให้ข้าพเจ้าได้ทำดี พูดดี คิดดี ลาก่อนนะอันไหนไม่ดีก็จะทิ้งมันวันนี้แหละ
เมื่ออินทรีย์บารมีของข้าพเจ้ายังไม่แก่กล้า ก็จะพยายามประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย เป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตราบจนหมดลมหายใจ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชำระล้างจิตใจให้สะอาด ที่เป็นสิ่งปฏิกูลทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ จะรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อประโยชน์และความสุขมรรคผลนิพพาน สร้างฐานชีวิตตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...