แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๗ "ความดี ความถูกต้อง ธรรมวินัย" เท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ผู้ที่บวชเข้ามาใหม่พากันเข้าใจ ให้ประชาชนทุกคนที่อยู่บ้าน พากันเข้าใจเรื่องพระศาสนา ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ ก็ไปทางเดียวกันหมด ต่างก็เเต่ชื่อ ทุกๆ ศาสนาต้องรักกัน ต้องเมตตาสามัคคีกัน เพราะศาสนานั้นคือธรรมะ ที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล คือเราเอาธรรมะที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มาประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าเรามีตัวมีตนอยู่ ก็ไม่ได้ปฏิบัติในพระศาสนา ศาสนาเกิดมาโลกนี้เพื่อหยุดทั้งตัวทั้งตนในโลกนี้ การปฏิบัติต่อพระศาสนาผู้ที่อยู่ทางบ้านปฏิบัติได้พอๆ กันผู้ที่อยู่ทางวัด ทางโบสถ์วิหาร ทางสุเหล่า ทางมัสยิด โบสถ์คริสต์ มิซซัง ทุกคนก็สามารถปฏิบัติได้เหมือนกัน
คนทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจคำว่าศาสนา เพราะผู้ที่ปฏิบัติต่อพระศาสนายังไม่มีความรู้ มีเเต่พาทำตามบรรพบุรุษ บรรพบุรุษพาทำยังไงก็พากันอย่างนั้น เอาศาสนาไปปฏิรูป ไปทางโลกทางตัวตน เลยกลายเป็นศาสนาเนื้องอก เป็นส่วนใหญ่ ศาสนาเเต่ละศาสนาก็ยังทะเลาะกัน ศาสนาก็เลยยังไม่เป็นศาสนา ให้ทุกคนเข้าใจ เราทุกคนที่จะไปได้ผ่านไปได้โดยสันติด้วยความสงบ มันก็ต้องเกิดจากความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เราต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ในเรื่องที่อยู่ที่อาศัยทำมาหากิน ที่สะดวกในการดำเนินชีวิต ที่สะดวกเป็นอุตสาหกรรม เป็นทั้งวิทยาศาตร์พร้อมกับพัฒนาทางจิตใจ ต้องพัฒนาทั้งวัตถุ เเละจิตใจไปพร้อมๆ กัน เรียกว่า พัฒนาทั้งร่างกายเเละจิตใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกคนต้องลงทุนด้วยการประพฤติปฏิบัติโดยกลับมาสู่ระบบธรรมะ ระบบที่เค้าเรียกว่าญาณ เหมือนที่เราข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรก็ต้องมียาน แล้วเราเกิดมาอาศัยพ่ออาศัยเเม่เป็นหลัก อาศัยการเรียนการศึกษาเป็นหลัก เพื่อสิ่งอันนั้นเป็นยานเป็นความรู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษาของเราถึงต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัด อยู่ที่ไหน ก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันถึงจะเเก้ปัญหาได้ ถึงจะสันติสุข เข้าถึงพระนิพพาน เราต้องพากันเข้าใจ อย่างไปหลงไหลศาสนาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ดียามดี ทุกอย่างมันเกิดจากเหตุจากผล เกิดจะการประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
ผู้ที่มาบวช เพราะเรายังเป็นเด็กเป็นน้อยอยู่ เเต่ทีนี้เราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะได้ทุ่มเท ประเทศไทยเราถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถึงให้ข้าราชการสามารถลาราชการมาบวชได้ โบสถ์ของเเต่ละวัด ถึงเป็นที่ปลอดภัยปราศจากที่เค้าจะไปจับในเขตวิสุงคามสีมา
คำว่า “พระ” ไม่ได้หมายถึงคนห่มผ้าเหลืองหรอก พระหมายถึงพระธรรม พระวินัย เเต่ทุกอย่างมันต้องมีรูปเเบบ เเบบฟอร์ม ตำรวจก็มีเเบบฟอร์ม เเพทย์หมอพยาบาลก็มีเเบบฟอร์ม ทหารก็มีเเบบฟอร์ม เพราะจะได้เเยกเเยะสมมุติ แสดงให้เราเข้าใจว่า ความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เราพากันมาบวช เพราะวัดเป็นศูนย์รวมของบุคคลพิเศษ บุคคลที่เอามรรคผลนิพพาน ผู้บวชบ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ พ่อเเม่ก็มากราบไหว้ ปู่ย่าตายายก็มากราบไหว้ พระเจ้าอยู่หัวก็มากราบไหว้กรณีพิเศษ เพราะเราไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้เอาทิฏฐิ เราเอาธรรมะ ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ผู้ที่มาบวชก็ปฏิบัติเต็มที่ ผู้ส่งเสบียงให้อุปภัมถ์เต็มที่ ไม่ได้ฝืนใจกราบไหว้ ผู้บวชต้องเข้าใจ การที่เรามาบวชอย่างนี้ ประชาชนเค้าต้องหุงข้าวหาอาหาร จะได้มีเงินมีตังค์มาสร้างกุฏิสร้างวิหารอย่างนี้ วัดกับบ้านกับโรงเรียนมันถึงเเยกกันไม่ได้ วัดมันคือศูนย์รวม เดี๋ยวนี้มันลดค่าลดราคา ผู้ที่มาบวชในเมืองไทย มันไม่ได้เป็นวัดเป็นวา เป็นเเต่คนมาอาศัย เกรดมันตกลงเกิน มันเป็นศูนย์รวมของคนจนที่เอาพุทธศาสนาเอาศาสนาทำมาเลี้ยงชีพอย่างนี้มันไม่ได้ ผู้คนต้องเข้าใจ มันจะได้เปลี่ยนเเปลง มาประพฤติปฏิบัติ เราต้องละมิจฉาทิฏฐิ
เรามาบวช ไม่ใช่มาเอาเจ้าอาวาส เจ้าคุณ มาเอาอุปัชฌาย์ มาเอาปกครอง เราต้องมาจัดการตัวเอง เพื่อตามเเนวพระพุทธเจ้า ตามตำเเหน่งที่เราสละซึ่งตัวซึ่งตน ให้ทุกอย่างที่พามาก็พาไป ตอนเช้าก็รุ่งอรุณ ตอนกลางวันมันก็เเดด ตอนค่ำมันก็มืด เราต้องเข้าใจ พระที่มาบวชใหม่ต้องเข้าใจ อย่ามาฉันเเล้วนอน พักผ่อนอย่างนั้นไม่ใช่ ไปคิดไปเรื่อยไม่ได้ คิดไปเรื่อยอันนั้น มันมี Sex ทางความคิด มี Sex ทางอารมณ์ มันเสียหาย บวชเเล้วก็บวชทั้งกายบวชทั้งใจ
เมื่อเราอยู่ทางบ้าน เราทำการทำงาน ใจของเราอยู่กับการงาน เราเป็นนักเรียนใจของเราก็อยู่กับการเรียน เมื่อเรามาบวช ใจของเราก็อยู่กับการหายใจเข้าหายใจออก นั่งอย่างนี้เราก็รู้ ขาขวาพุท ขาซ้ายโธ เพื่อใจของเราจะได้เเข็งเเรง กายของเราจะได้เเข็งเเรง ดำรงชีวิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย ไม่ต้องรู้อะไร ดำรงชีวิตไป ไม่ต้องตามความคิดไป มันจะฟุ้งซ่าน ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราตามความคิดไป เรารู้ว่าลมเข้ามันไม่ก็เที่ยง ลมออกมันก็ไม่เที่ยง ลมเข้ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมออกมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมของเราก็เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา เป็นพระพุทธเจ้าก็ใช้อานาปานสติ เป็นพระอรหันต์ก็ใช้อานาปานสติ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ใช้อย่างนี้เเหละ เเม้เป็นประชาชนที่อยู่บ้านก็ใช้ลมอย่างนี้เเหละ
ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเหมือนที่เราเห็นอยู่นี้เเหละ ประชาชนก็อยู่กับตัวเองไม่เป็น อยู่แต่กับโทรศัพท์ อยู่กับโทรทัศน์ อยู่กับอะไรอย่างนี้ มันเลยไปมีเเต่ SEX ทางความคิด ทางอารมณ์ เราเลยเเย่เลย เป็นคนไม่ได้เเก้ไขใจตัวเอง ไปเเก้เเต่ภายนอก เรามาบวชต้องรู้นะ เรามาทำงานกันเป็นทีม ไปบิณฑบาตก็ไปพร้อมกัน สำรวมอินทรีย์ เดินบิณฑบาตให้สุดสายสำหรับพระที่เเข็งเเรง พระที่ไม่สุดสาย คือพระป่วย กับ พระเเก่ เเละ พระที่หลวงพ่อใหญ่ให้ทำการสงฆ์กลับมาเตรียมงาน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ สำรวมดีๆ ท่องพุทโธ โปรดสัตว์ สัตว์ที่ไหน ก็สัตว์ที่อยู่ในใจของตัวเองนั้นเเหละ สัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิด สัตว์ที่ไม่ได้อยู่กับพุทโธ เราไปอย่างนี้ พระก็ได้บุญ โยมก็ได้บุญ อย่าไปหล่อกเเหล่กๆ คนไม่เคยท่องพุทโธ มันก็อยู่กับภายนอกนะ การฉัน การอะไรก็ต้องสำรวมระวัง กลับมาก็ไปรับบาตรครูบาอาจารย์ กลับจากหมู่บ้านก็รับบาตรครูบาอาจารย์ ล้างบาตรครูบาอาจารย์ เพื่อกตัญญูกตเวที เวลาเราลาสิกขาลาเพศไป จะได้อุปัฎฐากพ่อเเม่เป็น เราเป็นคนเห็นเเก่ตัว เอาอะไรก็จะใส่ปากตัวเอง มีเเต่กินเเต่นอนพักผ่อนอย่างนี้ไม่ได้
เพราะพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ พระอรหันต์คือผู้ที่เสียสละ เราไม่เสียสละ ศีลสมาธิปัญญาเราไม่มีหรอก มันไม่ฉลาด มีเเต่ความโง่ เดี๋ยวนี้โควิดมันออกระบาด อยู่ใกล้กัน ไปตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ โยมที่ตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ อย่าไปอยู่ใกล้กันเกิน เพราะเราจะได้หยุดเชื้อโรค หยุดอะไร ถ้าไม่รู้ตัวเองในปัจจุบัน มันจะไปหยุดวัฏฏะสงสารไม่ได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันอยู่ที่ปัจจุบัน เหมือนกับว่าเราก็ปฏิบัติเพื่อตัวตนทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้จักตัวเองในปัจจุบัน นั้นเเหละคือการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้จักปัจจุบัน การดำรงชีวิตของเราปฏิบัติเพื่อเจ้าโลก เพื่อตัวเพื่อตน เจ้าโลกก็คือ เจ้าที่เวียนว่ายตายเกิด คือ เจ้าโลก เจ้าที่ยึดมั่นถือมั่น เจ้าหมู่เฮา เค้าเรียกว่า ปฏิบัติเพื่อเกิดโลกทางจิตใจ
ต้องรู้จักเบรคตัวเอง มีสติ สัมปชัญญะ มีปัญญาว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก ต้องหยุดตัวเอง คนเค้าไม่อยากเเก้ไขตัวเอง ไปเเก้ไขคนอื่น มันไม่ได้ ตอนเช้าต้องทำงานเป็นทีมไปปลุกกัน เราก็อย่าอาศัยแต่ครูบาอาจารย์ปลุก อย่าถือนิสัย ครูบาอาจารย์บังคับครึ่งนึง เราบังคับตัวเองครึ่งนึง เราต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ก็ทำให้มีความสุข นั่งสมาธิจะเอาเเต่นอนเเต่พักผ่อนไม่ได้ เราไม่ได้ฝึกใจ ฝึกพุทโธ เดี๋ยวพุทโธหาย เราก็ตกภวังค์ ไปหมกหมุ่นกับเวทนา มันหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ คนเค้านั้นข้างๆ ได้ยินเสียงกรน เเต่ตัวเองว่าไม่หลับหรอก ผู้ที่สมาทานไม่นอน ถึงหลังเสีย หลังคดหลังงอ ต้องเข้าใจนะ ข้อวัตรกิจวัตรต้องปรับตัวเองให้เต็มที่เลย เอาความขี้เกียจขี้คร้านให้มันสูญพันธุ์ไป ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ที่ทำให้เรายากจนทรัพย์ภายนอก จนทั้งคุณธรรมคุณงามความดี
เราถึงเรียกว่าเป็นสุปฏิปันโน เราถึงจะได้มีบุญให้พ่อเเม่มีบุญให้ประชาชน เราพยายามดัดเเปลงเข้าหาความถูกต้อง หาความเป็นธรรม เราอย่าไปเอาพรรคพวก เพื่อนฝูงระบบเพื่อนพ้อง ระบบหมู่เราหมู่เฮา ไม่เอา มันไม่ใช่ศาสนา เราจะได้ โอ้... ศาสนามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง ทำให้เราถล่มทลาย วัฏฏะสงสารด้วย เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่
ที่พึ่งของเรา คือระเบียบ คือพระวินัย คือศีล ข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักการและจุดยืนไว้ให้เราแล้ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน แห่งใด พระธรรม พระวินัยก็จะได้รักษาคุ้มภัย มีแต่ความเจริญความงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พระธรรม ธรรมวินัย จะเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระบบความคิดและคำพูด การกระทำ ต้องให้อยู่ในธรรมวินัย อย่าให้ย่อหย่อนอ่อนแอ นาฬิกาย่อมเดินสม่ำเสมอ ไม่ช้า ไม่เร็ว "ใจของเราก็ต้องปรับใจเข้าหาระเบียบหาวินัย เข้าหาเวลา"
ทุกๆ ท่าน ทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราเอาอัตตาตัวตนเป็นใหญ่เป็นประธาน ให้เอาธรรมวินัยเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เป็นประธาน เราไปอยู่ไหน แห่งหนตำบลใด ที่นั้นก็จะมีแต่ความสงบ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ตลอดกาล เราจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง และเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น เพราะว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ให้เราทั้งหลาย พากันหลงทางหลงประเด็น ให้จับหลักในการประพฤติการปฏิบัติให้ได้ เราทุกคนจะได้ทำความเพียรช่วยเหลือประชาชน ดูแลประชาชน
คนเราเกิดมา... ก็พึ่งคุณพ่อคุณแม่ อาศัยความดีบารมีของคุณพ่อคุณแม่ เราบวชมาพึ่งพระพุทธเจ้า อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ที่ประชาชนเขาให้ความเคารพนับถือกราบไหว้ เพราะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า
บารมีของเราก็คือเรามาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรื่องอามิส เรื่องวัตถุ ความสะดวกสบาย ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ไม่ใช่ประเด็นของเรา ประเด็นของเรา คือรักษาพระวินัยให้ได้ทุกข้อ รักษาศีลให้ได้ทุกข้อ มีปัญญา คือการเสียสละ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่บาป เป็นสิ่งที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ถึงมันอยากทำ ก็ไม่ทำ มันอยากพูด ก็ไม่พูด มันอยากคิด ก็ไม่คิด สิ่งอื่นใดไม่ประเสริฐ ไม่ยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย
ทุกท่านทุกคนต้องพึ่งความดี ความถูกต้อง พึ่งพระวินัย พึ่งศีลทุกข้อเราอย่าไปหลงประเด็นน่ะ พึ่งอาหาร พึ่งบ้าน พึ่งกุฏิ พึ่งศาลา พึ่งรถคันสวยหรู อันนั้นมันไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวร สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงบรรเทาทุกข์ เราต้องมีสมาธิแข็งแรง แข็งแกร่งกว่านั้น เดินไปอีก ก้าวไปอีก ถ้ารู้ว่าตัวเองมีจิตใจย่อหย่อนอ่อนแอ ก็ต้องถอนใจออกจากอารมณ์นั้นๆ ให้คิดเสียว่าการไม่ได้ทำตามใจ ไม่ได้ทำตามอารมณ์ ไม่ได้ทำตามกิเลสนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย มันเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
'ศีล' 'ธรรมวินัย' เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ใช่ความสุขชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นความดับทุกข์แท้ ชีวิตของเราจะได้หมดเรื่องหมดปัญหา เพราะเราจับหลักจับข้อวัตรปฏิบัติได้ เราจะได้ถึงบางอ้อว่า อ้อ..! เราเพียงแต่ปฏิบัติตามธรรม ตามพระวินัย เราจะเข้าถึงความขลัง ความศักดิ์ ความสิทธิ์ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้แก่เราได้...
พระพุทธเจ้านั้นท่านไม่ให้เราพากันเน้นทางวัตถุ ให้เน้นในเรื่องการปฏิบัติศีล รักษาศีล ทำข้อวัตรปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ฝึกใจ เงินทองพระพุทธเจ้าเปรียบเสมือน 'งูพิษ' มันทำให้ทุกคนในโลกนี้ทะเลาะกัน สามีภรรยาทะเลาะกัน เพราะเรื่องเงิน เรื่องทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ลูกหลานทะเลาะกันเรื่องทรัพย์เรื่องมรดก พระเจ้าพระสงฆ์ทะเลาะกันกับญาติโยม ทะเลาะกันกับหมู่พระ เพราะเรื่องเงิน เรื่องสตางค์ เรื่องวัตถุ
ครั้งหนึ่งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นชาวนาผู้หนึ่งเข้าไปในภายในข่าย คือพระญาณของพระองค์ แล้วทรงใคร่ครวญอยู่ว่า "เหตุอะไรหนอแล? จักมี" ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า "ชาวนาคนนี้จักไปเพื่อไถนาแต่เช้าตรู่, แม้พวกเจ้าของภัณฑะไปตามรอยเท้าของโจรทั้งหลายแล้ว เห็นถุงที่บรรจุทรัพย์พันหนึ่งในนาของชาวนานั้น แล้วก็จักจับชาวนานั่น, เว้นเราเสีย คนอื่นชื่อว่าผู้เป็นพยานของชาวนานั้นจักไม่มี, แม้อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของชาวนานั้นก็มีอยู่, เราไปในที่นั้น ย่อมควร." จึงได้เสด็จไปยังที่นาของชาวนาผู้หนึ่ง พร้อมกับพระอานนท์...
ณ ที่แห่งนั้น ชาวนาได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำนาเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงที่นาก็ลงมือทำนา ครั้นได้แลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับพระอานนท์ จึงได้เข้าไปกราบท่าน... พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสคำใดๆ แก่ชาวนา เพียงรับการกราบไหว้ของชาวนาแล้วเสด็จเลยไปในที่พอแก่ชาวนาจะได้ยินพระสุรเสียงของท่านได้
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่พระอานนท์อย่างนี้ว่า อานนท์ เธอเห็นไหมอสรพิษ ? พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย... แล้วพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จจากไป ชาวนานั้น ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ก็สำคัญว่ามีงูเห่าอยู่ในที่นาของตน จึงได้หยิบปฏักมา หมายจะตีงูเห่าให้ตาย
ครั้นเดินมาถึงที่ที่พระผู้มีพระภาคได้ยืนประทับเมื่อครู่ ก็ไม่แลเห็นอสรพิษแต่อย่างใด.. กลับพบเห็นถุงเงินตกหล่นอยู่ที่คันนา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่า มีเงินอยู่ในห่อถึง ๑๐๐๐ กหาปณะ ก็เข้าใจว่าคงจะมีใครทำตกไว้ ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้นแก่ชาวนาโดยมิทันปรารภพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคกับ พระอานนท์แม้แต่น้อย จึงได้หยิบห่อเงินนั้นเดินไปที่ท้ายคันนาแล้วขุดหลุมฝังเงินไว้ แล้วก็ไปทำนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดถึงเงิน ๑๐๐๐ กหาปณะนั้นอยู่
ที่มาของเงินถุงนั้นก็มีอยู่ว่า....คืนก่อนวันเกิดเหตุ โจรกลุ่มหนึ่งได้พากันมุดอุโมงค์ท่อน้ำ เพื่อแอบเข้าไปยังหมู่บ้าน แล้วได้เข้าไปปล้นเงินในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วได้จากไปในยามดึกนั่นเอง ครั้นลอดออกพ้นจากอุโมงค์ท่อน้ำ แล้วก็พากันหลบหนีมาจนถึงที่นาของชาวนานั้น โจรผู้หนึ่งขณะปล้นทรัพย์ของเศรษฐี ก็เกิดยักยอกเงินจำนวน ๑๐๐๐ กหาปณะ ใส่ห่อไว้ เหน็บซ่อนไว้ที่เอว ในขณะที่มีการแบ่งเงิน ทรัพย์สินของพวกโจรทั้งหลาย ปรากฏว่า ถุงเงินที่โจรผู้นั้นแอบยักยอกไว้เกิดหล่นลงไปที่พื้นดินโดยไม่มีใครมองเห็น เพราะเป็นเวลาคืนเดือนมืด...
และนี่เป็นที่มา ของเงินที่ชาวนาแอบซ่อนเอาไว้ในคราวที่พบตอนเช้าตรู่
ในเวลาสาย พวกชาวบ้านได้ออกตามรอยเท้ากลุ่มโจรที่ผ่านอุโมงค์ค์น้ำ ตามมาจนถึงที่นาของชาวนา จากนั้นก็เห็นรอยเท้าใหม่ของชาวนาก็ติดตามไปจนถึงบริเวณที่ชาวนาขุดหลุมฝัง ห่อเงินไว้ ได้ขุดขึ้นมาแล้วพบห่อเงิน ก็สำคัญว่า ชาวนานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโจร
จึงได้กรูกันเข้ามาทำร้ายชาวนาแล้วมัดมือไพล่หลังนำส่งพระราชาให้ลงโทษ พระราชาตัดสินประหารชีวิตชาวนา ราชบุรุษจึงได้นำชาวนาที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั้นนำตัวไปเพื่อประหารชีวิต ระหว่าง ทาง ชาวนาได้สำนึกผิดและระลึกถึงคำของพระผู้มีพระภาคขึ้นมา จึงสะท้อนใจว่าตัวไม่เฉลียวใจในคำว่าอสรพิษเลย...จึงคร่ำครวญร้องไห้ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า... “อานนท์ เธอเห็นไหม...อสรพิษ...?” “เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย...”
ชาวนากล่าวไปมาอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษได้ยินจึงถามชาวนาว่า ใยจึงกล่าวอ้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนั้น ชาวนาจึงเล่าเรื่องราวให้ราชบุรุษฟัง ราชบุรุษจึงได้กราบทูลขอพระราชาให้สอบสวนใหม่ ชนทั้งหลายจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นได้กราบพระผู้มีพระภาค แล้วยืนในที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ได้เอ่ยถามเรื่องของชาวนาแก่พระองค์ พระองค์ทรงตรัสรับรองว่าเป็นจริงแล้วได้กล่าวธรรมกถาว่า “น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ วิปากํ ปฏิเสวติ. บุคคล กระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาร้องไห้ เสวยผลของกรรมอยู่ กรรมนั้น อันบุคคลทำแล้วไม่ดีเลย ไม่ควรทำ”
หลังจาก ได้ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาค ชาวนาผู้นั้นก็ได้บรรลุธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา
คาถาธรรมบทดังกล่าว ท่านแสดงถึงความร้ายกาจของเงินประดุจอสรพิษ คืองูเห่า แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเศรษฐีที่ท่านมีทรัพย์เงินทองมากมายที่ตั้งอยู่ในสัมมาอาชีวะอาทิ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้นนั้น เป็นผู้เลี้ยงงูเห่าไว้... ไม่ปรากฏว่าท่านได้กล่าวเช่นนั้น
ท่านหมายถึงว่า ธรรมชาติของเงินนั้นมีความร้ายกาจประดุจงูเห่า ถ้าผู้ใช้ใช้ด้วยความประมาท หรือเกี่ยวข้องกับเงินโดยไม่ระวัง ไม่เป็นอย่างถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็จะถูกงูเห่ากัดตายได้ เงินนั้นใครๆ ก็ชอบ พวกเราทุกคนก็ชอบทั้งนั้น เพราะเราเข้าใจว่า เงินนั้นสามารถซื้อความสุขได้ เงินนั้นมีอำนาจมาก ดังคำเปรียบเทียบเสียดสีในภาษิตของจีนมีอยู่ว่า...“เงินจ้างผีโม่แป้งได้” หมายถึงสามารถทำอะไรๆ ได้ เพราะเงิน เรียกว่าเงินบันดาล หรือมีภาษิตที่เสียดสีอำนาจของเงินดอลล่าร์ว่า “เงินหยวนพูดภาษาจีน เงินเยนพูดภาษาญี่ปุ่น เงินบาทพูดภาษาไทย ส่วนเงินดอลล่าร์พูดได้ทุกภาษา” อย่างนี้เป็นต้น
เงินนั้นมี อำนาจเพราะเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ขอให้พิจารณาว่าเงินนั้น ซื้อทุกสิ่งได้จริงหรือ ?
เงินซื้อบริวารได้ แต่ซื้อความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่ได้
เงินซื้อ ตำแหน่งได้ แต่ซื้อศรัทธา ความเคารพรัก นับถืออย่างจริงใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ เงินซื้ออาหารได้ แต่ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้
คนเรากิน ได้เพียง ๑ อิ่ม แม้มีเงินสักเท่าใด บุคคลก็หาได้กิน ๒ อิ่ม ๓ อิ่มไม่ ในเวลาเดียวกัน เงินนั้นแม้จำเป็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้หาด้วยว่า มีปัญญาไหม หามาด้วยความสุจริตไหม ? บางคนตายจากอัตภาพนี้แล้วไปเป็นเปรตด้วยเหตุแห่งทรัพย์มากมาย หรือไปเกิดเป็นงูเฝ้าสมบัติก็มีมาก
ท่านแสดงว่า บุคคลหาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภเกินพอดี นั้นเป็น วิสมโลภะ (ความโลภเกินขอบเขต) บุคคลใดหาเงินมาด้วยความไม่บริสุทธิ์ ก็ชื่อว่ามีอสรพิษร้าย ระวังมันกัดเอาถึงตาย บางคนหาเงินมาได้แม้ชอบธรรม แต่ใช้ไปในทางที่ผิดเหมือนลูกเศรษฐี ๔ ตระกูลที่ได้มรดกมากมาย นำเงินไปเที่ยวเล่นเสเพลจนกระทั้งไปทำบาปต้องไปตกนรก แม้ขณะนี้ยังอยู่ในโลหกุมภีนรก (ทุ..สะ..นะ..โส)
วัตถุ คือความสุขที่เราหลงกันงมงาย ทะยานอยาก มันทำให้เราต้องไม่สงบ... อยากได้กุฏิใหญ่ๆ สวยๆ อยากได้ศาลาใหญ่ๆ สวยๆ โบสถ์ใหญ่ๆ สวยๆ เมื่อมันมีความอยากอยู่ที่ไหนน่ะ เราก็มีความทุกข์ในที่นั้น
"เรามาบวชเป็นพระ... พระก็ยิ่งหายไป มีแต่เปรต มีแต่ยักษ์ มีแต่มาร มีแต่อสุรกายที่มันเกิดขึ้นที่จิตที่ใจ เพราะเราไปหลงประเด็น หลงวัตถุ" สมัยใหม่ขึ้นมาอีกน่ะ กิเลสมันพัฒนาไปเรื่อย พระสงฆ์องค์เจ้ามาหลงในรถ ในยานพาหนะ เป็นหนี้เป็นสิน ผิดศีลโดยทั้งทางอ้อม และทางตรง ที่จะได้มาซึ่งวัตถุนั้นๆ
วัตถุทั้งหลายทั้งปวงมันก็เป็นของมันอยู่... แต่เราพากันหลง ประเด็น พากันหลง พากันชอบ พากันยินดี พระพุทธเจ้าสอนเราให้มีความสงบ มีสติ มีสัมปชัญญะ ก็ไม่เชื่อก็ไม่ฟัง ก็จะเอาตามใจ เอาตามความคิด มันเลยมีปัญหา พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ความสุขความสงบนั้น มันอยู่ที่ปัญญา 'ปัญญา' คือเราต้องเสียสละ ไม่เอา ไม่มี ไม่เป็น
เมื่อทุกคนใจสงบแล้ว ใจเย็นแล้ว ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตนแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ วัตถุต่างๆ ข้าวของเงินทองต่างๆ นั้น มันก็จะไหลมาเทมา เพราะญาติโยมประชาชนเขาจะมากราบมาไหว้ มาทำบุญ เพราะเราเป็นผู้สมควรที่จะให้เขาทำบุญ ให้เขากราบเขาไหว้ ว่าเรานี้ดีแท้ ประเสริฐแท้ น่าเคารพ น่าเลื่อมใส เดินตามพระพุทธเจ้า เดินตามศีล เดินตามวินัย เดินตามธรรม ไม่หลงโลก...หลงวัฎฎสงสาร
เราเป็นปูชนียบุคคล เป็นตัวอย่าง เราต้องเป็นตัวอย่างทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ ตามที่พระพุทธเจ้าที่ท่านมีเมตตาสั่งสอน การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นของยาก เป็นของลำบาก มันเป็นของทวนโลก ทวนกระแส ทวนกิเลส ตัณหา มานะ อุปาทาน ที่มันใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าภูเขาพระสุเมรุ "ภูเขาพระสุเมรุที่มองเห็นว่าใหญ่นี้ ก็ยังไม่ใหญ่เท่ากิเลสของเรา อัตตาตัวตนของเรา"
เราจะเข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นต้องอาศัยการปฏิบัติบูชา ไม่ใช่นักปรัชญา นักพูด นักสอน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นผู้ที่ปรับกาย ปรับวาจา ปรับใจ ในภาคปฏิบัติ มันจะถึงความสุขความดับทุกข์ได้อย่างถาวรเมื่อไหร่ เราไม่ต้องไปสน เพราะ 'ความสนใจ' นั้นคือความคิด
ความคิดนี้แหละ ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัว ความคิดเหล่านั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความคิดที่ละความเห็นแก่ตัว ความคิดเราก็เป็นสัมมาทิฏฐิ
'สุข ทุกข์' มันเป็นสัจธรรม มันเป็นของเป็นเองโดยธรรมชาติ "แต่ถ้าใจของเราไม่คิดไปอยากให้มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ความสุขความทุกข์มันก็วางอยู่ที่นี้แหละ..."
ท่านให้เราปักหลักประพฤติปฏิบัติอยู่ที่วัดน่ะ... จะมีพระรูปเดียว สองรูป สามรูป ก็ช่างหัวมัน จะมีโยมมาหรือไม่มาก็ช่างหัวมัน ข้อสำคัญขอให้เราตั้งอกตั้งใจ เอาใจของเรานั้นเสียสละ
ความโลภ ความโกรธ ความหลงออกจากใจ ใจหนักแน่น ใจรับผิดชอบ'
เราอย่าไปคิดให้ตัวเองท้อ ให้ตัวเองหมดกำลังใจ... อากาศร้อนก็ให้เรามาปรับที่ใจ อากาศหนาวก็ให้เรามาปรับที่ใจ คนดีหรือไม่ดีเราก็มาปรับที่ใจ ทุกอย่างเราต้องมาปรับที่ใจหมดน่ะ
เราอย่าไปแสวงหาศรัทธา หาญาติโยม ว่าโยมที่นั้นเป็นอย่างไร เค้าทำบุญตักบาตรดีไหม เค้าอุปถัมภ์อุปัฏฐากดีไหม? เราอย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะทุกอย่างนั้นน่ะมันขึ้นอยู่ที่เรา การกระทำของเรา ผลกรรมของเรา บุญกุศลของเรา ทุกอย่างนั้นมันอยู่ที่เราหมด "บุคคลกระทำกรรมเช่นไร สิ่งนั้นก็ย่อมได้รับ" เรามาแก้ที่ใจของเราเอง แก้ที่คำพูด การกระทำของเราเอง แล้วทุกอย่างมันก็จะดีเองเป็นเอง 'บารมี' ก็เหมือนเราเอาเมล็ดพันธุ์ๆ หนึ่งมาเพาะน่ะ การเพาะพันธุ์นี้มันเป็นของง่าย แต่การรักษาดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย รักษาวัชพืช ป้องกันแมลงนี้เป็นของยาก
ปฏิปทาทั้งระบบความคิด คำพูด การกระทำน่ะ อย่าให้มันออกนอกทาง นอกประเด็นนอกธรรมะของพระพุทธเจ้า ผิดศีล ผิดวินัยเล็กน้อย คือการทำลายตัวเอง คือการทำลายประชาชน เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์... คิดว่าพระธรรมวินัยน่ะ พระพุทธเจ้าจัดให้เราเป็นหมวด เป็นหมู่ จัดให้เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนรวมสำคัญน่ะ... ทุกคนน่ะมันเห็นแก่ตัว เห็นแต่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของตัว หมู่บ้านของตัวเอง ภาคของตัวเอง ประเทศของตัวเอง มันไม่คิดถึงภาพรวม คือความสุข ความดับทุกข์ของมวลมนุษย์ทั้งโลก มวลสัตว์ทั้งโลก มันทำอะไรก็มีความเห็นแก่ตัวแอบแฝง 'การให้ทาน' เพื่อหวังผลตอบแทน คือจะได้เลื่อนภพเลื่อนชาติ เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น 'การรักษาศีล' ก็เหมือนกัน ก็เพื่อเลื่อนภพเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น ไม่ได้ทำเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยเพื่อวาง
การทำสังฆทาน' ถึงเป็นบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ เพราะเป็นทานที่ว่างเปล่าโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทนเพื่อจะทำลายทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน
อยู่ในกลุ่มในพ้อง...ลูกน้องพ้องบริวาร คนเราน่ะมันมีตัวมีตน มันมีทุกข์ มีหน้ามีตามันเป็นทุกข์ มันมีพรรคมีพวกมันเป็นทุกข์ เมื่อเรามีตัวมีตน เราจะเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงพระนิพพาน ได้อย่างไร? เพราะพระนิพพาน เป็นสิ่งที่ปราศจากความโลภ ปราศจากความโกรธ ปราศจากความหลง ที่มันไม่มีตัวไม่มีตน
ระบบอัตตาตัวตน ลูกน้องพ้องบริวาร มันเป็นระบบระเบียบ มันถือพรรคถือพวก ถือศักดินา มันไม่ใช่พระนิพพาน เรามองดูน่ะคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ศาสนาโน้น ศาสนานี้ ภาคโน้น ภาคนี้ เป็นกลุ่มเป็นก้อน อัตตาตัวตนมันไม่บริสุทธิ์ มันมีอะไรที่แอบแฝง 'แอบแฝงด้วยตัวด้วยตน' ชีวิตของเราถึงมีความเครียดผสมอยู่ในสติปัญญาตลอดไป
พระพุทธเจ้าน่ะ...เรื่องระบบความคิด เราดูดีๆ ทุกอย่างนั้นน่ะ เพื่อพระนิพพานอย่างเดียว การกระทำเพื่อนิพพานอย่างเดียว การพูดเพื่อเข้าพระนิพพานอย่างเดียว
"ความดี ความถูกต้อง ธรรมวินัย" เท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรนั้นน่ะ "ศีล คือความรับผิดชอบ สมาธิ คือความหนักแน่น ปัญญา คือรู้จักรู้แจ้ง ปล่อยวาง เสียสละ อบรมบ่มอินทรีย์ พัฒนาตัวเองอย่างนี้ตลอดไป"