แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๖ บวชกาย บวชวาจา บวชใจ จึงเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อวานเป็นวันบวชเณร วันนี้เป็นวันบวชพระ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ คำว่า พระ พระนี้ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล พระนี้หมายถึง พระธรรม พระวินัย เป็นอริยมรรค
ในการเดินทางที่ประเสริฐสู่มรรคผลนิพพาน ผู้ที่เข้ามาบวช ถือเป็นผู้ที่มีบุญ มีวาสนา เป็นผู้ที่ปฏิบัติบูชา ต้องเอาตัวเรามาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้สละเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราจะไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราจะได้เป็นธรรมวินัย เรียกว่า พรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์เถิด ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเองใหม่ ถึงว่าเราจะบวชวันเดียว 7 วัน หรือ 15 วัน หรือ หลายเดือน หรือ ตลอดชีวิต เพื่อมรรคผลพระนิพพาน เราทุกท่านทุกคนต้องทิ้งนิสัยเก่า มาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ละอบายมุข ได้เเก่ ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึก เค้าเรียกว่า อบายมุข เอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง ขี้เกียจขี้คร้าน เรียกว่าอบายมุข
เราต้องตั้งมั่นเข้าหาพระธรรม พระวินัย เราต้องตั้งมั่นมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องบวชกายด้วย บวชวาจาด้วย บวชใจด้วย เพราะว่า ถ้าเราบวชกาย เค้าเเสดงภาพยนต์เเสดงละคร เอาเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่พวกลิง อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องบวชใจด้วย เน้นไปที่ใจ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องของจิตของใจ การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคน บวชมาพ่อเเม่ก็มากราบมาไหว้ ปู่ย่าตายายก็มากราบมาไหว้ พระมหากษัตริย์ก็มากราบมาไหว้ เพราะเราไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเป็นธรรมวินัยเเล้ว ทุกคนต้องเอาใหม่ อนาคตมันอยู่ที่ปัจจุบันเเล้ว เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี
การมี Sex ทางร่างกาย ทางร่างกายก็หยุดไปเเล้ว เเต่ใจของเราถ้าเรายังไม่รู้จัก เราก็ยังมี sex ทางใจ มี Sex ทางอารมณ์ ไม่คิดไปทางการบ้านการเมือง ทางอะไร กลับมาหาพุทโธ มาหาอานาปานสติ มีความสุขในการหายใจเข้า มีความสุขในการหายใจออก มีความสุขในการท่องพุทโธ กลับมาสติ กลับมาหาสัมปชัญญะ ผู้ปฏิบัติต้องกลับมาทำงานกันเป็นทีม อย่างวัดเค้าเรียกว่า ศูนย์รวมของผู้ที่เอามรรคลพระนิพพาน พวกที่บวชมาใหม่ก็ต้องช่วยกัน เพราะการฝึก ต้องตื่นเเต่เช้า ต้องบอกกัน อย่าตัวใครตัวมัน บอกกัน ปลุกกัน ถ้างั้นมันขาดตกบกพร่องได้ บางทีมันนอนหลับไม่ตื่น ก็ไม่ได้ ทุกคนต้องภาวนาว่า เราปฏิบัติกันเป็นทีม กวาดวัดพร้อมกัน บิณฑบาตรพร้อมกัน เดินสุดสาย คนที่เดินไม่สุดสาย คือ พระเเก่ พระป่วย เเละ พระกลับมาทำการสงฆ์ที่วัด ไปบิณฑบาตก็ให้เป็นวินัย เป็นโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นข้อวัตรกิจวัตร ด้วยปลีเเข้ง สุดสาย สำรวมท่องพุทโธ พุทโธ
วัดนี้เค้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้ท่องพุทโธ ไม่ได้ฝึกอานาปานสติ ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ มันจะอยู่เเต่กับ โทรศัพท์ Internet Facebook จิตใจมันจะล่องลอย ต้องไม่ให้มีโทรศัพท์ พวกบุหรี่ใครเคยสูบก็ต้องหยุด ต้องเข้มเเข็ง ทำติดต่อกัน 3 อาทิตย์ขึ้นไป ใจมันถึงจะมีพลัง เราจะข้ามวัฏฏะสงสารต้องอาศัยยานพาหนะ คือ ศีล ศีลคือความประพฤติ สมาธิคือความตั้งมั่น ปัญญา คือ เห็นเเจ้งตัดกิเลส อย่างนี้คือการไม่ทำตามใจตามอารมณ์ ไม่ทำตามความคิด ต้องฝึกตัวเอง ไม่ใจอ่อน ต้องเเก้ไขตัวเอง มันต้องเป็นพระสุปฏิปันโน ต้องปรับปรุงเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะตามใจตามอารมณ์ตัวเอง เค้าเรียกว่าอบายมุข หนทางเเห่งความเสื่อม มาตามพระพุทธเจ้าเค้าเรียกว่า พระรัตนตรัย เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ
เราต้องเอามาตรฐานของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปเอามาตราฐานของวัดต่างๆ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทรงเสียสละบรรทมวันละ 4 ชม. ทำงานเสียสละ 20 ชม. ท่านถึงเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความสุขอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันต้องเด็ดขาด ต้องเเน่นอน มันต้องเข้มเเข็ง อย่าให้กิเลสเข้มเเข็ง อย่าให้อวิชชาเข้มเเข็ง ทุกคนน่ะต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งพระธรรม พึ่งพระวินัยเป็นการฝึก
เมื่อเรามีทุกข์ เรามักหาที่พักพิง สิ่งที่เราใช้กันประจำคือ สุรา ยาเสพติด กามคุณ อำนาจหรือเงินตรา แต่ในที่สุด มันก็ไม่ยั่งยืนจนเราไม่รู้ว่า “อะไรคือความสุขที่แท้จริงกันแน่”
ในพระพุทธศาสนา ที่พึ่งที่ดีที่สุด คือ พระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธเจ้า คือ องค์พระศาสดา ผู้เปรียบเหมือนนายแพทย์ที่ค้นพบวิธีพ้นทุกข์
พระธรรม คือ ตัวยาที่จะฆ่าเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากเรา และ
พระสงฆ์ คือ คณะแพทย์ที่รู้ว่าเราเหมาะกับยาใด
เรียนรู้ปฏิบัติอยู่กับพระรัตนตรัย จะทำให้เราพบกับความสุขที่ยั่งยืน
เราเป็นคนโชคดีมาก ดีพิเศษ ดีจริงๆ เป็นคนโชคดีอย่างนี้ ก็เพราะเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราทำดี ทุกคนก็เป็นพระได้หมด ไม่ว่าเราจะมาจากเชื้อชาติตระกูลไหน พระพุทธเจ้าไม่ว่า ไม่ต้องถือพรรค ถือพวก ถือตัว ถือตน ถือพระธรรม ถือพระวินัย เราทุกคนถึงจะได้มีความสุข สู้เลย! ปฏิบัติเลย เพราะการเวียนว่ายตายเกิดตามอารมณ์ มันเป็นที่คำว่า ไม่รู้มาจากไหน ก็มาจากมันไม่รู้ มาจากความไม่รู้ มันเลยไม่รู้ว่ามาจากไหน มาจากอวิชชา มาจากความหลง ถ้าตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็ไปไหนสิ่งที่ไม่รู้ คือการเวียนว่ายตายเกิด อย่างนี้เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนเข้มเเข็ง ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ให้เป็นทีมใหญ่ ทีมเวิร์ค เรียกว่า สาราณียธรรม เราทุกคน ทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศ มาเดินตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล คือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ พราหมณ์ ฮินดู อยู่ที่ปฏิบัติ ใครคนนั้นเป็นพุทธะ เป็นความสงบ ความร่มเย็น
เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องปฏิบัติเอง เรื่องหายใจ เราต้องหายใจเอง เรื่องทานข้าว ต้องทานข้าวเอง เรื่องเข้าห้องน้ำ ต้องเข้าห้องเอง เรียกว่า เราต้องพึ่งตัวของเราเอง ที่รู้หลัก รู้เกณฑ์ในการประพฤติการปฏิบัติ การบวชของเราถึงจะส่งบุญ ให้พ่อได้ ให้เเม่ได้ ให้ประชาชนได้ ต่อยอดส่งไม้ผลัดกุลบุตรลูกหลานสืบต่อไป เราลาสิกขาลาเพศไป เราก็มีหลัก เพราะความเป็นพระนั้นคือ มีพระธรรม พระวินัย มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ประชาชนก็มีสิทธิ์จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งเเต่พระโสดาบัน จนไปถึงพระอนาคามี ถ้าเราเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ศีล 5 นั้นคือพรหมจรรย์สำหรับประชาชน ครอบครัวก็จะมีเเต่ความอบอุ่น เราจะได้ปิดอบายมุข ปิดอบายภูมิ
ถ้าเราเสียสละอย่างนี้ ความยากจนมันก็ไม่มี ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็เป็นเปรตประจำตัวเอง ประจำครอบครัวประจำหมู่บ้าน ถ้าพระก็เป็นเปรตประจำวัด เปรตไม่ได้อยู่นอกกายหรอก อยู่ที่ตัวเรา ดูเเล้วเเหล่งของเปรตอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ใจเรา เราต้องปฏิบัติอย่างนี้ เราบวชเพื่อมาเป็นผู้ให้ มาเสียสละ เราเพียงเเต่รับอาหารจากประชาชน เเล้วก็ปฏิบัติ เพื่อบุญกุศลที่เราได้เป็นพระอริยเจ้า จะส่งกลับไปหาประชาชน เหมือนเราพากันมาตั้งสถานีประดิษฐ์ เครื่องส่งบุญส่งกุศลในปัจจุบันนี้ มันจะได้เปลี่ยนเเปลงตัวเรา จากสามัญชน เป็นพระอริยเจ้าได้ ถ้าเรามาบวชเเล้ว ไม่กระตือรือร้น ไม่ตั้งอกตั้งใจ มันก็ไม่เปลี่ยน สึกไปเเล้วมันยังกินเหล้า เมาเบียร์ เมาสาวอะไรอย่างนี้ เล่นการพนัน ยังตั้งอยู่ในการเป็นคนพาลอยู่ มันไม่ได้เป็นคนฉลาดอะไร มันจะหาย ให้พากันเข้าใจ
การบวชพระ การปฏิบัติธรรมนี่นะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก เป็นการเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ การที่จะมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนพากันตั้งอกตั้งใจ พากันประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งใจรักษาศีลให้ดีทุกข้อ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
กิจวัตรประจำวันต่างๆ นั้นถือว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เช่นนั่งสมาธิร่วมรวมกันในศาลา หรือว่าในกุฏิที่พักต้องทำให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาดตกบกพร่องไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคนเรามันชอบเข้าข้างตัวเอง ทำวัตรสวดมนต์ก็อย่าให้ขาด บิณฑบาตก็อย่าให้ขาด พยายามตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้พูดคุยกับคนอื่นในหมู่คณะ เพราะคนเรามันอยู่กับความสงบไม่เป็น อยู่กับตัวเองไม่เป็น ที่อยู่ได้ก็อยู่ได้กับการงาน การพูดคุย เครื่องบันเทิงต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ฯ
ตัวเราที่ผ่านๆ มาส่วนใหญ่ก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้น... เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม มาบวช พระพุทธเจ้าท่านให้ตัดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้หมด ทุกคนทุกท่านต้องตัดให้หมด ไม่มียกเว้นใครๆ ทั้งสิ้น การบวช การปฏิบัติของเราถึงจะมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้น การมาอยู่วัดของเรา การมาบวชของเราก็จะไม่ได้ผล แต่กลับมีบาปมีอกุศลติดตามเราไปด้วย
ให้ทุกท่านทุกคนปฏิบัติให้ได้... การปฏิบัติธรรมมันเป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส ทวนอารมณ์ ทวนจิตใจของเราที่ชอบตกไปสู่ที่ต่ำ ไหลไปสู่ที่ต่ำ เราพยายามมาบวชทั้งกาย มาบวชทั้งใจ ถ้าเรามีแต่กายมาบวช แล้วไม่เอาใจมาบวช ถือว่าไม่ได้ผล
เรามองดูที่ผ่านๆ มาน่ะ ยากที่ทุกคนจะได้ดี เพราะว่าไม่ได้ตั้งอกตั้งใจ ใจอ่อน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาความต้องการตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ปรารภธรรม ปรารภวินัย เป็นคนหลงความสุขทางร่างกาย ความสุขทางวัตถุ ไม่ได้เน้นถึงความสุขความดับทุกข์ ถึงพระนิพพานที่จิตที่ใจ
พระพุทธเจ้าน่ะท่านพาเราทิ้งทางโลกทางวัตถุหมด พระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านเสด็จออกบรรพชา จนถึงดับขันธปรินิพพาน ท่านตัดทางโลกทางวัตถุหมด ไม่รับเงิน...รับปัจจัย รองเท้าก็ไม่ทรงใส่ ถืออยู่ป่า อยู่โคนไม้ ฉันอาหารหนหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่ติดในลาภ ยศ สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ไม่ต้องการผลประโยชน์อะไรในโลกนี้ทั้งสิ้น
เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาให้เรารู้ความหมายอย่างนี้ เรามาตั้งอกตั้งใจ 'อบรมบ่มอินทรีย์' ถึงจะเหนื่อยก็ช่างมัน ยากลำบากก็ช่างมัน ถึงจะผอม... จะดำก็ช่างมัน เพราะมาเน้นที่จิตที่ใจ ไม่ได้เน้นทางกาย เราพยายามตัดโลกออกจากใจของเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่บวชตลอดชีวิต เราก็ตั้งใจ เราจะบวชตลอดชีวิต เราก็ตั้งใจ ความขี้เกียจขี้คร้านมันมีมากทุกคนนะ จะเคลื่อนไหวอะไร มันก็ไม่อยากเคลื่อนไหว ยิ่งตอนเช้าตี ๓ มันไม่อยากตื่น แต่มันต้องตื่น ต้องฝืน ต้องทน การชนะสิ่งต่างๆ ท่านว่ายังไม่สู้ชนะจิตใจตัวเอง
ผู้ที่บวชมาแล้วให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดีๆ ให้เกิดมีคุณธรรมขึ้นภายในจิตใจให้เป็นพระอริยะเจ้าให้ได้ ให้เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของเพื่อนพระภิกษุ สามเณร ญาติโยม ให้ตัวเราเองกราบตัวเองได้ อย่าคอยแต่หวังพึ่งครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้อยู่กับเราตลอด ถ้าเรายังปฏิบัติตัวเองยังไม่มีคุณธรรมพอ มันจะไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จะสวดมนต์ให้พร ก็ออกเสียงไม่เต็มที่ไม่มีพลัง พอถึงคราวที่จะต้องพูดธรรมะจะสั่งสอนญาติโยมก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะตัวเองก็ยังปฏิบัติไม่ได้ ไม่กล้าที่จะสบตากับครูบาอาจารย์ ญาติโยม เพราะมีความผิดอยู่ในใจ เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราไม่เก่งเทศน์สอนไม่ได้
ให้เราตั้งใจทำข้อวัตรปฏิบัติให้ดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเป็นการเทศน์การสอนไปในตัวแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจว่าจะมีญาติโยมมาศรัทธาเลื่อมใสมากหรือน้อย จะมีปัจจัยข้าวของเครื่องใช้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวศาสนา ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ไม่ปฏิบัติออกไปทางโลก ทีนี้ไม่อยากมีก็ต้องมี ไม่อยากได้ก็ต้องได้ ทุกวันนี้จุดมุ่งหมายของการบวชเริ่มจะผิดเพี้ยนไป คิดว่าการมีชื่อเสียงมีลาภสักการะเป็นจุดมุ่งหมายของการบวช
การสร้างวัด ๑๐ วัด ๒๐ วัด ก็ยังไม่เท่ากับการมีพระอริยะเจ้าครูบาอาจารย์องค์เดียว ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติแล้ว เราก็จะเป็นที่พึ่งพิง เป็นได้ทั้งอาจารย์ของพระ อาจารย์ของเณร อาจารย์ของอุบาสกอุบาสิกา ของเด็กๆ ได้ แต่ถ้าคุณธรรมของเราไม่มีพอก็จะเป็นได้แต่อาจารย์ของเด็ก อาจารย์ของเณร อาจารย์ของญาติโยม ไม่สามารถเป็นครูบาอาจารย์ให้ความร่มเย็นเป็นหลักจิตหลักใจ ชี้แนะแนวทางให้กับพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกันได้
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่บวชมาแล้วไม่ก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติ คือ ตัวเองเป็นคนอ่อนไหวอยู่แล้วก็ยังไปอนุโลมกฎกติกาข้อวัตรการปฏิบัติตามเพื่อนฝูงพระภิกษุสามเณรที่บวชใหม่และบวชเก่าอีก อนุโลมตามญาติโยมที่ถวายความสะดวกสบาย ที่ถวายปัจจัยไทยทานด้วยความเกรงใจหรือสงสาร ก็เลยทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนเองและพระศาสนา.
พระภิกษุสามเณรที่บวชมาแล้ว เมื่อถึงคราวเจ็บป่วยไม่สบายให้ช่วยดูแลรักษากันให้ดีๆ ถ้าเป็นพระภิกษุผู้เฒ่าที่มีอายุมาก ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ให้จัดเวรผลัดเปลี่ยนช่วยกันอุปัฏฐากทุกๆ วัน บางทีพระเณรเราก็ไม่ดูแลกัน ไม่อุปัฏฐากกัน ทอดทิ้งกัน ปล่อยวางข้อวัตรปฏิบัติ เพราะถือว่าไม่ใช่ภาระหน้าที่อะไร ถือว่าเป็นงานที่ไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรี เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นการขาดความเมตตาปราณีต่อกัน บางทีอยู่ด้วยกันก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน อยู่กุฏิใกล้กัน ไม่เห็นออกมาบิณฑบาต ไม่มาทำกิจวัตร ก็ไม่รู้จักว่าสบายดีหรือไม่สบาย ปล่อยวางในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นี้ไม่ใช่ชื่อว่าเป็นพระภิกษุสามเณรลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราต้องรู้จักสังเกต รู้จักถามไถ่ทุกข์สุขกัน เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ ถ้าเจ็บป่วยไม่สบายก็ต้องจัดหายา หาน้ำดื่ม หาอาหารไปถวาย จัดเวรผลัดเปลี่ยนกันทำข้อวัตรอุปัฏฐาก เช่น การซักผ้า ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิที่พักให้สะอาดเรียบร้อย ถ้าผู้ที่ป่วยไม่สามารถอาบน้ำได้ก็ให้เช็ดเนื้อเช็ดตัว
การเจ็บป่วยไม่สบายถ้าเป็นไม่มากไม่สมควรต้องไปโรงพยาบาลก็ไม่ต้องไปเพราะจะเป็นการลำบากเป็นภาระญาติโยมที่ไปรับไปส่ง และเราจะได้ถือโอกาสเป็นการภาวนากลับเข้ามาหาตัวเราเองไปในตัวอีกด้วย ถ้าเจ็บป่วยถึงกับต้องไปโรงพยาบาลก็ให้จัดหารถนำพาไปส่ง หากหมอให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลถ้ามีห้องพิเศษก็ให้ติดต่อเข้าพักห้องพิเศษจะได้อยู่เป็นสัดเป็นส่วน การจัดส่งอาหาร น้ำปานะทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลก็จัดให้พอเหมาะพอควรอย่าให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนขาดความพอดี การพูดจาติดต่อกับหมอกับพยาบาลนั้นต้องสำรวมระวัง ให้พูดด้วยสติด้วยปัญญาอย่าไปวางมาดวางก้ามเหมือนอย่างผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่ต้องให้มีสมณสัญญาอยู่เสมอ
เมื่อเราอยู่ที่โรงพยาบาลก็อย่าทำตัวเป็นเหมือนนักฉวยโอกาส ถือเอาการที่ได้มาพักอยู่ในโรงพยาบาลมาเป็นที่พักผ่อนปลดปล่อยอารมณ์ เป็นที่อยู่ที่กินที่ทำอะไรตามใจตามสบาย ไม่มีความละอาย เห็นโทรทัศน์ เห็นหนังสือพิมพ์ เห็นหนังสือนิตยสารต่างๆ ก็หาวิธีทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ได้ดู ได้เห็นได้อ่านนิดหน่อยก็ยังดีพอได้เบาสบาย ให้จัดเวรผลัดเปลี่ยนกันดูแลผู้ที่ป่วยอย่างน้อยวันละสองรูปทุกๆ วัน เพื่อความคล่องตัวในการอุปัฏฐาก อย่าพากันเดินเล่นเพ่นพ่านออกนอกห้องหรือขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์เล่น ถ้าอาการเจ็บอาการป่วยดีขึ้นพอสมควรที่จะกลับวัดได้ ก็ให้กลับไปรักษาตัวที่วัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ใช้ห้องพักบ้าง สำหรับค่าใช้จ่ายในการักษาพยาบาลนั้นก็ให้ใช้ปัจจัยสงฆ์ของวัดหรือสำนักนั้นๆ.
พระเณรที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกหัดปฏิบัติเคร่งครัดจากครูบาอาจารย์ผู้ที่ฉลาด มักจะมีนิสัยขี้เกียจมักง่ายไม่ละเอียดรอบคอบ ปล่อยวางอย่างไม่ถูกไม่ควรมีจำนวนมาก เราบวชมาแล้วต้องตั้งใจฝึกตน เพื่อให้เกิดคุณภาพในทางพระพุทธศาสนา เป็นประโยชน์ต่อสังคม การใช้บริขารใช้ของต้องให้ทนุถนอม อย่าใช้ไปทิ้งไป ฉันที่ไหนดื่มที่ไหน อย่าไปทิ้งที่นั่น การทำงานเมื่อเลิกแล้วให้เก็บสิ่งของวัสดุต่างๆ พร้อมทั้งทำความสะอาดให้เรียบร้อยทุกๆ ครั้ง
กุฏิ ศาลา โรงฉัน ห้องน้ำห้องสุขา ให้ทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง โรงครัวและภาชนะต่างๆ ต้องล้างให้สะอาด เก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย การใช้น้ำ ใช้ไฟ ให้รู้จักประหยัด ใช้เฉพาะที่จำเป็น
ทุกวันนี้ญาติโยมเขาถวายเครื่องดื่มประเภทโค้ก แป๊ปซี่ น้ำผลไม้ที่เป็นขวด เป็นกระป๋อง ถุงพลาสติก ฉันที่ไหนอย่าไปทิ้งที่นั่น ให้เก็บใส่ที่รองรับขยะ ขยะต้องให้แยกประเภท ขวดเอาไว้กับขวด กระป๋องเอาไว้กับกระป๋อง กล่องเอาไว้กับกล่อง ใบตองเอาไว้กับใบตอง เศษอาหารเอาไว้กับเศษอาหาร อย่าทิ้งในที่เดียวกัน จะทำให้เป็นปัญหาสำหรับผู้เก็บขยะ เพิ่มปัญหาของสังคม
เวลาทำงานร่วมกัน อย่าไปพูดคุยกัน ถ้ามีเหตุจำเป็นให้พูดเบาๆ อย่าพูดเสียงดังเหมือนกับคนเมา เวลาสวดมนต์ ให้ศีล ให้พร ให้ว่าเสียงดังๆ
ผู้ที่บวชมาแล้ว การคบหาครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงให้ดูดีๆ มีความประพฤติปฏิบัติเช่นไร ถ้ามีการปฏิบัติผิดพระวินัย มีความย่อหย่อน มีความหลงในทางโลกห้ามไปคลุกคลี จะทำให้เรารับเอานิสัยทุศีล หมดอนาคต ครูบาอาจารย์พระที่ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยให้เราคบหาสมาคม เราเป็นคนอ่อนแอต้องอาศัยพระธรรมพระวินัย อาศัยครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง เปรียบเสมือนการเดินทางเราต้องมีทั้งแผนที่มีทั้งคนที่นำเราไป พระเณรที่บวชมาบางทีไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ ไม่กล้าที่จะไปรับใช้อุปัฏฐากท่าน และครูบาอาจารย์ที่รองลงไปอีกที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนใหญ่ชอบไปคบหาสมาคมกับพระที่บวชพรรษามากแต่ความประพฤติปฏิปทาใช้ไม่ได้ เพื่อนฝูงก็ชอบคบที่โหลๆ
เรามีโอกาสได้ไปในที่สำนักต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ได้ไปพบสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีของพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นๆ ให้เรายึดเอาแต่สิ่งที่ดีๆ อย่าไปรับเอาปฏิปทาที่มันฟรีสไตล์ ชนิดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไรก็อยู่ที่ใจหมด เราไปสำนักเขาก็อย่าไปทำผิดเหมือนเขา ไม่ควรสูบบุหรี่เหมือนเขา เพราะว่าบุหรี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับพระ ทำให้สุขภาพร่างกายเสีย ทำให้อากาศเสีย ทำให้สังคมติเตียนได้เนื่องจากสังคมกำลังรณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่ ทั้งยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อกุลบุตรลูกหลานที่บวชสืบทอดพระพุทธศาลนาอีกด้วย ถ้าสิ่งใดเขาทำถูกต้องเราค่อยทำตามเขา.
เราไม่ต้องไปมองว่า... คนโน้นปฏิบัติไม่ดี คนนี้ปฏิบัติดี คนนี้กิเลสมาก คนนั้นปฏิปทาน่าเกลียด เราไม่ต้องไปมอง ถ้าเราเป็นคนฉลาด เป็นคนตั้งอกตั้งใจ ส่วนมากก็จะมองเห็นโทษของคนอื่น เมื่อเห็นโทษคนอื่นแล้ว เราจะหมดกำลังใจ หมดศรัทธา เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่มาประพฤติปฏิบัติไม่ได้มีใครสำเร็จเป็น 'พระอรหันต์' ส่วนใหญ่ก็เป็นสามัญชนเหมือนกับเรา ถ้าเราไปเอาตัวอย่างเขา เอาแบบเขา คงไม่ได้ ต้องเอาตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น ไม่อย่างนั้นเราก็คิดอยู่อย่างนั้นว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ จิตใจของเราก็กลายเป็นอันธพาลไป
ต้องเมตตาสงสารคนอื่นให้มาก... คนอื่นจะกิเลสมาก กิเลสน้อย ก็ช่างหัวมัน เราก็กลับมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา ไม่ต้องไปแก้คนอื่น
อยู่ในโลกสังคมเมืองมนุษย์นี้ 'คนเห็นแก่ตัว' มันมีมาก... เปรียบเสมือนวัวตัวหนึ่งขนมันมีเยอะ เขามีแค่ ๒ เขา อย่างนี้เป็นต้น เราพยายามเอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลัก แม้นพระรูปนั้นจะบวชมาหลายปีหลายพรรษา เป็นพระมัชฌิมา พระเถระ ถ้ามันไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็เฉย เราถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่น
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ย่อหย่อนอ่อนแอ ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะบวชหลายปี หรือว่าเป็นพระเถระ ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ก็มีแต่สร้างกรรมให้แก่ตัวเองและเป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้ สัจธรรม คือ ความจริง เค้าไม่ได้มีว่าพระเก่า พระใหม่ ถ้าใครไปจับไฟก็ร้อนทั้งพระใหม่ พระเก่า
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พยายามทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสุข กายอยู่ที่ไหนก็ให้ใจมันอยู่ที่นั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขาดสติ ๑ นาที ก็บ้า ๑ นาที อย่าไปหลงทางวัตถุ เราหลงมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าไปโง่ ให้วัตถุกามคุณมันเผาจิตเผาใจ ต้องหยุดตัวเอง อดกลั้นอดทน ถ้าเราไม่อดกลั้นอดทน จิตใจของเรานี้ไม่มีทางที่จะสงบ ไม่มีทางที่จะเย็นได้ เพราะจิตใจของเรามันตกอยู่ในอำนาจของความมืด คือกามคุณทั้งหลาย มันหลงวัตถุ ของออกมาใหม่ๆ มันก็ยิ่งหลง
เรามาบวชมาปฏิบัตินี้ต้องตัดใจ ต้องข่มใจ ฝืนกิเลส ฝืนใจของตัวเอง ทำทุกวัน ปฏิบัติทุกวัน "ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ 'ความรู้เราท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด' เพราะไม่มีการปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจ" ต้องเอาสติสัมปชัญญะมาฝึกกาย นั่ง เดิน บริโภคอาหารก็ให้รู้แล้วก็ให้มันสงบ อย่าให้มันวุ่นวาย เพราะใจของเรานี้มันหยุดไม่เป็น มันสงบไม่เป็น บังคับตัวเองให้มันเย็นไว้นะ ที่เราว่าขยัน มันยังไม่ขยัน ที่มันกลัวยากลำบาก กลัวเจ็บ กลัวปวด แสดงว่าเรายังไม่ขยัน
'โลกส่วนตัว โลกอัตตาตัวตน' พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนหยุดไว้ก่อน ให้มาปรับใจเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เราทุกคนพ่อแม่เราก็ดีใจ ญาติพี่น้องเราก็ดีใจ ว่าลูกหลานมาประพฤติปฏิบัติธรรมะคงจะช่วยให้เราดีได้ เจริญได้ ทุกท่านเค้าพากันคิดอย่างนี้นะ
บวชมาทุกคนเค้ากราบเราหมด ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้สมกับการที่รับกราบ รับไหว้ รับอัญชลี เวลาสิกขาลาเพศไป เราไปทำธุรกิจการงานก็ไม่ค่อยเจริญ อุปสรรคปัญหามาก ถ้าเราบวชมาเราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เวลาสิกขาลาเพศไป เราไปทำธุรกิจการงานก็เจริญ แล้วในชีวิตประจำวันก็เจริญไปด้วย ทุกอย่างนั้นมันก็จะดีหมด เพราะธรรมะช่วยเราได้บุญกุศลที่จะได้ส่งถึงพ่อแม่ บูชาพระคุณบุคคลที่ประเสริฐ จึงต้องบวชบวชให้มันได้บุญจริง เพราะการประพฤปฏิบัติมันมีผล มันมีความหมาย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก
ดังนั้น ผู้บวชจึงต้องมีความเคารพรักในพระธรรมวินัยมากๆ มุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจริงๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะการบวชเป็นพระ เป็นสมณะนั้น เหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ” หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรกฉันนั้น
บวชนานไม่นานไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้บวชมาแล้ว มีเจตนาตั้งใจในการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือไม่ พระบวชนานถ้าขี้เกียจขี้คร้านก็สู้พระใหม่ๆ ที่บวชระยะสั้นแต่ปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ โย จ วสฺสสตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ผู้มีความเพียรมั่นคง มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบในการนอนมากเกินควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนั้น พวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย เราต้องไม่ประพฤติย่อหย่อน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง