แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๔ เพิ่มปฏิปทา เพื่อทำลายโมหจริต ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕
ตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชได้ทั้งนอกและในพรรษา ไม่มีพุทธบัญญัติห้าม ถ้าพระอุัปัชฌาย์ใดห้ามการบวชในพรรษาก็ต้องอาบัติ แต่ถ้าตั้งใจบวช ๑ พรรษา ๓ เดือน หรือ ๗ วัน ๑๕ วัน หรือ ๑ เดือนก็แล้วแต่ ก็ต้องอยู่ให้ครบ สึกก่อนไม่ได้ เพราะแสดงว่าเป็นคนจิตใจไม่หนักแน่น สมาธิสั้น ตามจิตตามใจตามอารมณ์ตนเอง
เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจฝึกปฏิบัติบูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณบิดามารดา การบวชมีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าตั้งใจปฏิบัติ บุญกุศลย่อมถึงแก่พ่อแม่ การบวชไม่ใช่นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น ต้องตั้งใจปฏิบัติด้วย สึกออกไปต้องเปลี่ยนหมด เคยรับผิดชอบน้อยก็ต้องรับผิดชอบดีขึ้น เคยเถียงพ่อเถียงแม่ก็ไม่เถียง ความกตัญญูรู้คุณท่านก็มาอันดับหนึ่ง ถ้าบวชแล้วฝึกฝนตนได้ดีขึ้น อย่างนี้จะบวช ๗ วัน ๑ เดือน ๑ พรรษาหรือ ๑ ปีก็จะมีอานิสงส์ใหญ่ มีผลมาก จงตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า บูชาคุณบิดามารดา ให้ภาคภูมิใจในการได้มาปฏิบัติ
การบวชนี้ก็บวชได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เพราะว่า สมบัติ วิชาอย่างนั้น ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ที่เรามีผู้หญิงผู้ชาย ก็เพราะเรามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ถ้าอยู่ในเพศหญิง ก็คือผู้หญิง ถ้าอยู่ในเพศชาย เค้าว่าผู้ชาย ถูกเเต่งตั้ง ที่จริงไม่ใช่ เป็นของบริสุทธิ์ ที่เวียนว่ายตายเกิดก็เพราะว่า เราไม่เรียนรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ การปฏิบัติธรรม สามารถปฏิบัติกันได้ ทุกๆ คน ศีลเบื้องต้น ก็คือ ศีล ๕ ศีลพรหมจรรย์ ศีล ๘ ศีลนักบวช ศีล ๒๒๗
ผู้ที่มาบวชอาการครบ ๓๒ บุคคลห้ามบวชมี ๑๑ ประเภท ๑. กะเทย (บัณเฑาะก์) ๒. คนที่ลักเพศ (บวชเอาเองโดยไม่ถูกต้อง) ๓. ผู้ไปเข้าลัทธิศาสนาอื่น ๔. สัตว์เดรัจฉาน ๕. ผู้ฆ่ามารดา ๖. ผู้ฆ่าบิดา ๗. ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๘. ผู้ข่มขืนนางภิกษุณี ๙. ผู้ทำสงฆ์ให้แตกกัน ๑๐. ผู้ประทุษร้ายพระพุทธเจ้าถึงยังพระโลหิตให้ห้อ ๑๑. คนมีอวัยวะ ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก)
พวกคนสองเพศ เป็นทั้งผู้หญิง เป็นทั้งผู้ชาย เเต่จิตใจคนเรามันทำตามกัน บางคนเกิดมาเป็นผู้ชาย ไปอยู่สังคมเป็นผู้หญิง ใจเลยเป็นผู้หญิง เราบวชเราต้องมาทำใจของเราให้เป็นพระ อย่าได้เป็นผู้หญิง อย่าได้เป็นผู้ชาย คำว่าพระ คือ คำว่าพระธรรม พระวินัย เราต้องลบสมมุติออกจากใจ เข้าสู่วิมุตติ เพราะเราการบวชนี้มีอานิสงส์ใหญ่ มีคุณมาก ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมวินัย หาเวลา ถึงจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ก็ต้องเพิ่มธุดงค์ กรรมฐาน ธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้หมายถึง ธุดงค์เข้าป่าอย่างเดียว อยู่ที่วัดก็ได้ อยู่ที่บ้านก็ได้
ให้ระมัดระวังความเสื่อมเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้ผู้ที่เข้ามาบวชบางทีอาจจะมีตุ๊ด มีกะเทย อีแอบ ให้พระเณรทุกรูปคอยสังเกตการณ์ว่ามีใครบ้างออกอาการมากน้อย จะสังเกตได้จากความประพฤติหลายอย่าง เช่น การเดินจะออกกระตุ้งกระติ้ง เดินแกว่งแขนตะพายเรือ ส่ายตะโพกเป็นส่วนใหญ่ไม่มากก็น้อย เวลาพูดชอบจีบปากจีบคอ พูดเสียงหวานๆ เวลายิ้มจะยิ้มละไม เวลามองชอบใช้หางตามอง ชอบแอบมองพระเณรหนุ่มๆ หล่อๆ หาวิธีคุ้นเคย จะรักษาผิวพรรณเหมือนกับผู้หญิง ชอบใช้เครื่องสำอาง ใช้อุปกรณ์อาบน้ำเยอะแยะมากมาย ชอบหาของดีๆ สวยๆ มาใช้ จะไม่ชอบทำงานหนัก งานกรรมกร ชอบทำงานประดิษฐ์ ประดอย ชอบงานตกแต่ง งานจัดดอกไม้ สวนหย่อม จัดสถานที่ เวลาเจอพวกเพื่อนลักษณะเดียวกันจะออกอาการเยอะเห็นได้ชัด
อาการของจิตเราทุกคนนั้นสำคัญมาก ทำให้เกิดวิปริตได้ต่างๆ นานา สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นก็เป็นไปได้ เช่น ถ้าเราไปตรึกนึกคิดในเรื่องไหนมากๆ อาการทางกายก็คอยเป็นไปด้วย ถ้าเราคิดรักคิดชอบผู้ชายบ่อยๆ เป็นจริตนิสัย ฮอร์โมนเราก็เปลี่ยนไปตามความคิด ยิ่งการงานก็ชอบงานผู้หญิงทำยิ่งกันไปใหญ่ มันยิ่งเสริมเป็นกำลังสอง
เหมือนอย่างครั้งสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งคิดไม่ดีกับท่านพระมหากัจจายะนะ คือ คิดว่าพระมหากัจจายะนะท่านนี้มีรูปร่างสง่างามดีถ้าใครได้ไปเป็นสามีคงจะเป็นบุญไม่น้อย กรรมที่คิดอย่างนี้กับท่านพระมหากัจจายะนะซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าทำให้พ่อค้าหนุ่มกลายเพศเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงทันที เวลาผ่านไปทำให้ต้องไปมีครอบครับมีลูก ก็สำนึกถึงบาปกรรมที่ตนคิดไม่ดี จึงได้ไปปรารภเหตุเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพระมหากัจจายะนะทราบแล้วได้กล่าวขอขมาอโหสิกรรม จึงทำให้เขาได้กลับคืนมาเป็นเพศชายเหมือนเดิม อันนี้เป็นกรรมที่เกิดจากความนึกคิด
ครั้งหนึ่ง นายโสไรยะพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ได้นั่งรถคันหรูจะไปอาบน้ำกัน ในขณะนั้นเองพระมหากัจจายนเถระได้มาผลัดผ้าสบงจีวรอยู่ที่นอกเมือง ขณะที่ท่านกำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง นายโสไรยะหนุ่มแลเห็นผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองคำของพระเถระแล้วคิดในทางที่ไม่ดีว่า “เราอยากให้พระเถระมาเป็นภรรยาของเรา หรือมิฉะนั้นก็ให้ผิวพรรณของภรรยาของเราเหมือนกับผิวพรรณของพระเถระนี้” ขณะที่ความปรารถนาในทางอกุศลเช่นนี้เกิดขึ้นกับนายโสไรยะ เพศชายของเขาก็ได้หายไป เพศหญิงเกิดขึ้นมาแทนที่ นายโสไรยะมีความละอายจึงลงจากรถวิ่งหนีไปทางถนนที่จะไปสู่เมืองตักกสิลา พวกเพื่อนๆที่มาด้วยเห็นเขาหายไป ก็ได้พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ
ข้างนายโสไรยะ ซึ่งตอนนี้กลายเพศมาเป็นหญิงแล้ว ได้ถอดแหวนที่อยู่ที่นิ้วมือของตนยกให้พวกคนที่กำลังจะเดินทางไปเมืองตักกสิลา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่นางจะได้ขอร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย พอเดินทางไปถึงเมืองตักกสิลา พวกเพื่อนร่วมทางได้แนะนำตัวนางโสไรยะให้รู้จักกับบุตรเศรษฐีที่เมืองตักกสิลาคนหนึ่ง บุตรเศรษฐีเห็นว่านางโสไรยะสะสวยงดงามมากและมีอายุเหมาะสมกับตนจึงได้ขอแต่งงานด้วย เมื่อแต่งงานอยู่กินกันทั้งสองสามีภรรยานี้ก็มีบุตรด้วยกัน 2 คน ส่วนบุตรอีกสองคนของโสไรยะในตอนที่เป็นเพศชายนั้นก็มี 2 คนเท่ากัน
วันหนึ่งบุตรของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะผู้หนึ่งได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาพร้อมด้วยกองคาราวานเกวียน 500 เล่ม นางโสไรยะจำได้ว่าบุตรเศรษฐีคนนี้ก็คือเพื่อนเก่าของนางในสมัยที่นางเป็นเพศชาย จึงได้ส่งคนไปเชิญเขามาที่บ้าน บุตรเศรษฐีจากเมืองโสไรยะมีความประหลาดใจที่ได้รับเชิญเพราะว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงที่มาเชิญมาก่อน เขาได้บอกกับนางโสไรยะว่าเขาไม่รู้จักกับนางมาก่อน และสอบถามว่านางรู้จักเขามาก่อนหรือไม่ นางโสไรยะตอบว่านางรู้จักเขาและก็ยังได้สอบถามถึงคนในครอบครัวของนางและคนอื่นๆ ในเมืองโสไรยะด้วย ชายที่มาจากเมืองโสไรยะจึงได้เล่าเรื่องบุตรชายของเศรษฐีได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะนั่งรถจะไปอาบน้ำ พอถึงตอนนี้นางโสไรยะก็ได้บอกว่าตนนี่แหละคือบุตรของเศรษฐีคนนั้น และนางได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่านางมีความคิดที่เป็นอกุศลต่อพระมหากัจจายนะทำให้เพศชายหายไปเพศหญิงเกิดขึ้นแทนที่ นางได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาและได้มาแต่งงานกับบุตรชายเศรษฐีที่เมืองตักกสิลานี้ ชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้แนะนำให้นางโสไรยะไปขอโทษพระมหากัจจายนเถระเสีย
ต่อมาพระมหากัจจายนเถระก็ได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารที่บ้านของนางโสไรยะ หลังจากที่พระเถระฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางโสไรยะก็ถูกนำตัวออกมาอยู่เบื้องหน้าของพระเถระ และชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้เรียนพระเถระว่า นางโสไรยะผู้นี้เมื่อครั้งอดีตคือบุตรชายชองเศรษฐีที่เมืองโสไรยะ เขาได้บรรยายความให้พระเถระฟังต่อไปว่า ที่นางโสไรยะกลายเพศมาเป็นหญิงนี้ก็เพราะมีอกุศลจิตต่อพระเถระ จากนั้นนางโสไรยะก็ได้กราบขอขมาพระเถระ พระเถระได้กล่าวขึ้นว่า “จงลุกขึ้นเถิด เราให้อภัยแก่ท่านแล้ว” ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมาจากปากของพระเถระ นางโสไรยะก็มีเพศกลับมาเป็นชายดังเดิม
นายโสไรยะเมื่อกลับมามีเพศชายได้เช่นนี้ ก็เกิดความแคลงใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ในชาติเดียวกันนี้คนๆ เดียวจะเปลี่ยนเพศได้ และเป็นไปได้อย่างไรที่เขาสามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้ เป็นต้น เขามีความรู้สึกสงสัยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเหล่านี้มาก จึงได้ตัดสินใจสละชีวิตฆราวาสออกบวชเป็นพระภิกษุ โดยมีพระมหากัจจายนเถระเป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากที่พระโสไรยะบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็มักถูกตั้งคำถามเสมอๆว่า “ระหว่างบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นชาย กับบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิง ท่านรักบุตร 2 คนไหน” ท่านได้ตอบคำถามของคนที่มาถามเหล่านี้ว่า ท่านรักบุตรที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิงมากกว่า มีคนถามคำถามนี้กับท่านบ่อยมาก จนท่านรู้สึกรำคาญและละอายใจที่จะตอบ ดังนั้นท่านจึงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงัด และได้มุ่งมั่นปฏิบัติสมณธรรมโดยเพ่งพินิจความเสื่อมและความสลายไปของร่างกาย ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
คราวนี้เมื่อมีคนนำคำถามเดิมๆมาถามท่านอีก ท่านก็ได้ตอบว่า “ท่านไม่มีความรักกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ” เมื่อภิกษุอื่นๆได้ฟังท่านพูดเช่นนี้ก็คิดว่าท่านพูดโกหก เมื่อพระภิกษุทั้งหลายนำความที่พระเถระเปลี่ยนแปลงคำพูดมากราบทูล พระศาสดาได้ตรัสว่า “บุตรของเรามิได้กล่าวเท็จ แต่ได้พูดความจริง ที่คำตอบของบุตรของเราต่างไปจากเดิมนั้น ก็เพราะว่าบัดนี้บุตรของเราได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว เพราะฉะนั้นบุตรของเราจึงไม่มีความรักสำหรับผู้ใดโดยเฉพาะอีกต่อไป จิตที่ตั้งไว้ดีแล้วของบุตรของเราก่อให้เกิดผลดีที่บิดาหรือมารดาก็ไม่สามารถนำมาให้ได้
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระคาถาว่า
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญเญ วาปิจ ญาตกา สมฺมาปณิหิตํ จิตตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเรฯ
มารดา บิดา ก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ตั้งไว้โดยชอบแล้ว ทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้ดีกว่าด้วย.
บทว่า สมฺมาปณิหิตํ คือ ชื่อว่าตั้งไว้ชอบแล้ว เพราะความเป็นธรรมชาติตั้งไว้ชอบในกุศลกรรมบถ ๑๐.
บาทพระคาถาว่า เสยฺยโส นํ ตโต กเร. ความว่า พึงทำคือย่อมทำเขาให้ประเสริฐกว่า คือเลิศกว่า ได้แก่ให้ยิ่งกว่าเหตุนั้น.
จริงอยู่ มารดาบิดา เมื่อจะให้ทรัพย์แก่บุตรทั้งหลาย ย่อมอาจให้ทรัพย์สำหรับไม่ต้องทำการงานแล้วเลี้ยงชีพโดยสบาย ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ถึงมารดาบิดาของนางวิสาขา ผู้มีทรัพย์มากมายถึงขนาด มีโภคะมากมาย ได้ให้ทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีพโดยสบายแก่นาง ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ก็อันธรรมดามารดาบิดาที่จะสามารถให้สิริ คือความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในทวีปทั้งสี่ ย่อมไม่มีแก่บุตรทั้งหลาย. จะป่วยกล่าวไปไย (ถึงมารดาบิดาผู้ที่สามารถให้) ทิพยสมบัติหรือสมบัติมีปฐมฌานเป็นต้น (จักมีเล่า), ในการให้โลกุตรสมบัติ ไม่ต้องกล่าวถึงเลย. แต่ว่าจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ย่อมอาจให้สมบัตินี้ แม้ทั้งหมดได้, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “เสยฺยโส นํ ตโต กเร.”
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
บางทีไม่ได้เป็นบัณเฑาะหรือกะเทยมาแต่กำเนิด แต่มันเกิดจากค่านิยมผิดๆ ที่ชอบทำอะไรตามๆ กัน คิดตามๆ กัน อย่างเช่น การเจาะหู การย้อมผม ไว้ผมยาว ถ้าเป็นลักษณะเช่นนี้ก็พอที่จะแก้ไขได้ โดยผู้ที่มีนิสัยการกระทำออกไปทางผู้หญิงต้องเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมใหม่ พยายามเดินเหินพูดจาให้ทะมัดทะแมง การงานก็ให้ทำเหมือนผู้ชาย อย่าไปจัดดอกไม้ จัดสวนหย่อม จัดสถานที่ ต้องไม่กลัวแดดกลัวลมกลัวดำ ไม่ไปคลุกคลีคบค้าสมาคม ไม่ไปไหนมาไหนด้วยกัน และแยกตัวออกจากเพื่อนที่มีอาการลักษณะเดียวกัน และห้ามไปหยอกล้อจี้จุดผู้ที่มีพฤติกรรมออกไปทางผู้หญิง จะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมของเขา
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นบัณเฑาะ เป็นตุ๊ด เป็นกะเทยหรือ อีแอบ ก็ให้ระมัดระวังอาการกิริยาของเรา เพราะทุกวันนี้ใครออกอาการลักษณะผู้หญิงเขาก็เหมาว่าเป็นตุ๊ด เป็นกะเทย เป็นอีแอบกันหมด ถ้าหากเราต้องไปพักในสถานที่เดียวกัน พักรวมกันให้ระมัดระวังอย่าประมาทจะเป็นการเปิดโอกาสให้เขากระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทำให้เราพลาดท่าเสียทีขาดจากความเป็นพระต้องอาบัติปาราชิก ห้ามสวรรค์มรรคผลนิพพาน.
ให้เรารู้จัก พระพุทธเจ้าให้เรามีศรัทธา ตั้งใจอธิษฐานมาบวช ผู้บวชอยู่ในสังคมนักบวช เดี๋ยวนี้มีตุ๊ด มีเเต๋วเยอะ ถึงต้องมาพัฒนาใจ ของเราทุกคน เพื่อจะหยุดคำว่า “ผู้ชาย” หยุดคำว่า “ผู้หญิง” หรือ “พวกตุ๊ด พวกเเต๋ว พวกกะเทย พวกเกย์” พวกนี้ต้องหยุดหมด พวกนี้ถ้ามีในใจก็บวชไม่ได้ เพราะว่ามันเสียหาย เราต้องสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน อยู่กับตัวผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เรียกว่าพุทโธ หายใจเข้าสบาย หายใจออก สบาย หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข ละสิ่งที่เป็นอดีตไป อนาคตก็คืออยู่ที่ปัจจุบัน
เพราะคนเรามันมีจริต ๖ อย่าง เราคิดอะไรมาก มันก็ไปทางนั้น มันเป็นความคิด เราต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เราต้องไปทำลายตัวตน ไปทำลายอัตตา ระบบครอบครัว หมู่เราที่มีอยู่ในใจ พวกที่ตัวตนเยอะมันเลยมีปัญหา มาเป็นตุ๊ด เป็นกะเทย เป็นเกย์ ที่วัดมันมีปัญหา พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้บวช ทุกคนก็เปลี่ยนเเปลงตัวเองได้ อยู่ที่ใจ ถึงจะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์เป็นกะเทย มันก็ต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง มันเป็นเรื่องทางจิตใจ ทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง เพราะการเวียนว่ายตายเกิด มันไม่ใช่เรื่องของกาย เป็นเรื่องของจิตใจ ถ้ามันหลงในผู้หญิง เเม้ตัวเป็นผู้หญิง เเต่ใจมันเป็นผู้ชาย เราต้องรู้จัก การห้ามความคิดของใจ คนเราต้องมีความคิด เราถึงจะได้เเยกจิตเเยกใจ
ชีวิตของเราทุกๆ คนนั้นมีการสั่งสมมาไม่เหมือนกัน บางคนก็ราคจริต บางคนก็โทสจริต โมหจริต บางคนก็สัทธาจริต บางคนก็พุทธิจริต บางคนก็วิตกจริต การสั่งสมมาจากอดีตชาติน่ะมันไม่เหมือนกัน สิ่งไหนมันอยู่ในใจของเรามากๆ มันคิดบ่อยๆ นั้นแหละคือกรรมเก่าของเราที่เคยสั่งสมมา
พระพุทธเจ้าท่านให้เราพินิจพิจารณาตัวเองว่า ตัวเองเป็นคนอย่างไร นิสัยอย่างไร จะได้แก้ไขตัวเองให้ถูกต้อง เหมือนกับเราป่วย ถ้าเรารู้สาเหตุของโรค เราก็รักษาได้ง่าย ถ้าเราไม่รู้ว่าเราป่วยเพราะเหตุใดนั้น เราย่อมรักษาลำบาก
นิสัย 'โมหจริต' เป็นนิสัยที่ขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย เห็นแก่กินแก่นอน แก่ปากแก่ท้อง ในการกิน การเล่น การเที่ยว ไม่รู้จักวางแผนในการงาน ไม่รู้จักวางแผนในการใช้เงิน ใช้สิ่งของ ไม่ชอบคิด ขี้เกียจเรียนหนังสือ ไม่ชอบความสะอาด เสื้อผ้าก็สกปรก ชอบใช้แรงงาน ไม่ชอบเป็นผู้นำ มันมีชีวิตอยู่ไปเป็นวันๆ น่ะ ชอบดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ เล่นการพนัน ชอบยาเสพติด อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเราเป็นอย่างนี้ สิ่งที่จะเราจะต้องแก้ไขนั้นต้องตรงกันข้าม "ถ้าเราไม่ปฏิบัติตรงกันข้ามน่ะ ชีวิตจิตใจของเราก็จะไปอย่างเก่า" เพราะคนเรานิสัยสันดานมันเป็นไปอย่างนั้นน่ะ....มันก็เป็นไปอย่างนั้น มันไม่เป็นไปอย่างอื่น
เอามาบวชมันก็แก้ไขไม่ได้ เอาไปเรียนมันก็แก้ไขไม่ได้ ที่มันจะได้ เราก็ต้องปฏิบัติตรงกันข้ามที่กล่าวมาข้างต้นนี้น่ะ... มันไม่อยากเรียน ก็ต้องเรียน มันไม่อยากศึกษาก็ต้องศึกษา มันไม่อยากคิดก็ต้องคิด มันขี้กียจขี้คร้านก็ต้องฝืนต้องทน เราไม่ฉลาดไม่เข้าใจก็ต้องศึกษา หาความรู้กับคนที่เค้าฉลาดกว่าเรา เก่งกว่าเรา
คนเราน่ะเปลี่ยนบ้านอย่างนี้มันก็ง่าย เปลี่ยนรถอย่างนี้ก็ง่าย แต่เปลี่ยนจิตใจของตัวเองนั้นมันเปลี่ยนยาก เพราะใจของเรามันต้องเปลี่ยนด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เหมือนนิสัยเหมือนสันดานที่เรายังเป็นอยู่
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจว่าชีวิตของเรานี้ เรามีความจำเป็นที่จะต้อง เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
สิ่งเหล่านี้น่ะมันอาศัยความคิดอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติของเรา มันต้องมีความฝืน มีความอดทน มีความรับผิดชอบ มีความเพียร เสียสละอย่างมากๆ อย่างสุดๆ เลย
เรามาบวช มาอยู่วัด มาปฏิบัติ นี้คือมาฝึกตัวเอง มาปฏิบัติตัวเอง มาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองก็เท่ากับเรามาห่มผ้าเหลืองเล่น... มาใส่ชุดขาวเล่น... เหมือนกับลิงตัวหนึ่งน่ะ เค้าเอาชุดสูทใสให้มัน มันก็ใส่น่ะ ใส่แล้วการประพฤติการปฏิบัตินั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ลิงตัวนั้นก็คือลิงตัวเก่านั้นแหละ
พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนน่ะพากันคิดๆๆ คิดให้มันเป็น จะได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัติน่ะเป็นการทวนโลกทวนกระแส ทวนอารมณ์ ทวนความเหนื่อยยากลำบาก เป็นการปฏิบัติบูชา มันเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องความรู้สึก ที่จะตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากจิตจากใจ
การกระทำนี้น่ะ มันไม่ใช่ทำวันเดียวเหมือนกับเรามารักษาศีลอุโบสถที่วัดน่ะ เฉพาะแปดค่ำ สิบห้าค่ำน่ะ อีกหกเจ็ดวันนั้นก็ปล่อย อย่างนั้นไม่ใช่
การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ เราต้องปฏิบัติทุกๆ วัน จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ อย่างผู้ที่รักษาศีลห้า ก็รักษาศีลห้าทุกวัน อย่าให้ศีลห้าขาดด่างพร้อย ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น กิจวัตรต่างๆ ของเรานี้ที่เรานำมาประพฤติปฏิบัติบูชา เราก็ต้องทำทุกวัน เราจะมีข้อแม้ในเรื่องสุขภาพไม่ได้ เรื่องเหนื่อยไม่ได้ ถ้าเรามีข้อแม้เยอะ เราก็ไม่ได้ฝึกตนปฏิบัติตน
คนเราต้องอาศัยปฏิปทาที่ทำติดต่อกัน... ดูบางคนน่ะขี้เกียจไม่เป็น ดูบางคนขยันไม่เป็นน่ะ นี้มันคือกรรมเก่า คือปฏิปทาเก่า
คนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นี้ไม่ใช่ธรรมดา มันต้องพิเศษ การปฏิบัติบูชานี้มันถึงเป็นของยากน่ะ ยากกว่าการให้อามิส ให้สิ่งของ เพราะว่ามันลำบาก มันเหน็ดมันเหนื่อย มันร้อนมันหนาวน่ะ ร้อนนี้แหละ หนาวนี้แหละ เหน็ดเหนื่อยนี้แหละ เราจะได้สร้างความดี สร้างบารมี สร้างคุณธรรม
ความรับผิดชอบนี้เป็นสิ่งที่ดี ความตั้งมั่นนี้เป็นสิ่งที่ดี การที่เสียสละนี้เป็นสิ่งที่ดี เรามาบวชมาปฏิบัตินี้ พระพุทธเจ้าให้เราฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเองให้เต็มที่เลย ให้มันเหนื่อยไปสุดๆ ก็ช่างหัวมัน
ที่มาอยู่วัดหลายๆ คนนั้น พื้นฐานเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนโมหจริต พ่อแม่เอามาบวช มาอยู่วัด เพราะหวังที่จะให้ลูกดี ลูกเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามาบวชมาปฏิบัติ แต่เรายังไม่ปฏิบัติน่ะ การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีนั้น มันก็เกิดขึ้นมีขึ้นไม่ได้ เรายิ่งจะแย่กว่าเก่า เปรียบเสมือนคนป่วยเป็นโรคที่มันดื้อยา
ให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ให้กลับมามองดูตัวเอง ให้ตัวเองเป็นคนที่รับผิดชอบเต็มที่แล้วหรือยัง เสียสละเต็มที่แล้วหรือยัง มีความตั้งมั่นเต็มที่หรือยัง... หรือว่ายังไม่ค่อยเท่าไหร่...? ยังไม่เต็มที่ เอาแต่เพียงไม่น่าเกลียดน่ะ
การเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีนั้นไมใช่เรื่องง่ายๆ มันต้องรับผิดชอบ มันต้องเสียสละ มันต้องมีความตั้งมั่นจริงๆ
ตอนเช้านี้ มันกำลังตีสาม ตีสี่ ตีห้านี้แหละ มันเป็นเวลานอนน่ะ ถ้าใครไม่เสียสละจริง ไม่รับผิดชอบจริง ไม่ตั้งมั่นจริง มันทำไม่ได้ นี้คือ 'การปฏิบัติบูชา' หกโมงเย็นตีะฆัง...เข้านั่งสมาธินี้ ถ้าไม่เสียสละ ไม่รับผิดชอบ ไม่หนักแน่นน่ะ...มันทำไม่ได้ ทำได้...ก็ทำได้พอขอไปที พอไม่น่าเกลียดอย่างนี้ ก็ถือว่ายังไม่ได้ ยังถือว่าสอบตก สอบไม่ผ่านอยู่ เพราะทุกคนนั้นก็ย่อมรู้แก่ใจของตัวเองว่า ตัวเองยังเป็นคนไม่เอาจริง ไม่เอาจัง ยังไม่รับผิดชอบ ยังไม่เสียสละ ยังไม่หนักแน่น
เราสั่งสมบาป สั่งสมกองกิเลสมันก็มากขึ้น สุดท้ายก็บาปใหญ่ บาปโต ใจไม่สงบ อยู่ไม่ได้ บวชต่อไปอีกไม่ได้ หรือพวกที่บวชไปได้ อยู่ไปได้ "เพราะเป็นพวกที่ใจกล้า หน้าด้าน ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวบาป เอาพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐนั้นเป็นที่แอบแฝงทำมาหากิน เป็นกาฝากของสังคม เป็นกาฝากของพระศาสนา"
เราทุกท่านทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาตนเองว่า เราพากัน 'ปฏิบัติบูชา' แล้วหรือยัง..? "เพราะการปฏิบัติบูชานั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก การสร้างความดีสร้างบารมีนั้นเป็นของดี เป็นของประเสริฐ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำยากน่ะ
ไม่เป็นไร...เราเป็นคนหัวไม่ดี หัวทื่อ แต่เราอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนในการประพฤติปฏิบัติตน ฝึกตน เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวของตัวเอง เพื่อภพภูมิในจิตในใจของตัวเองมันจะได้ดีขึ้น สูงขึ้น "ที่ไหนมีการประพฤติปฏิบัติ ที่นั้นจะไม่ว่างจากมรรคผลพระนิพพานนะ
เราอยู่ในวัดนี้ ครูบาอาจารย์ก็มองว่าพระเณรองค์ไหนเป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่รับผิดชอบ ญาติโยมอยู่ทางบ้านเขามองมาก็เหมือนกัน พระเณรองค์ไหนเสียสละรับผิดชอบน่ะ
ถ้าเราไม่เสียสละ ไม่รับผิดชอบ ไม่หนักแน่น นั้นชื่อว่า "เราไม่ใช่เป็น 'สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า' เพียงแต่เป็น 'กาฝากของพระพุทธศาสนา"
เราฟังเทศน์น่ะ... คำหนักๆ เราก็สะดุ้งน่ะ เมื่อเราสะดุ้งแล้ว เราก็ต้องตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ แต่ถ้าเราสะดุ้งแล้วเราก็เฉยอย่างนี้แหละ มันก็ยิ่งไปใหญ่ อย่างนี้ก็ไม่ได้นะ เราจะเอานิสัยเก่าๆ นิสัยโมหจริตเอามาใช้ไม่ได้ เราจะต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ประเทศไทยเรานี้วัดมันมีเยอะ เราจะอาศัยหลบไปวัดโน้นวัดนี้ ให้มันผ่านไปเป็นวันๆ เป็นปีๆ นี้มันก็ได้ แต่ตัวเรานั้นนิสัยใจคอมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเลย ยิ่งเราบวชนาน...เราก็ต้องเดินบิณฑบาตนำหน้า เวลาทำอะไรก็เป็นผู้นำน่ะ เมื่อผู้นำเป็น 'พระโมหจริต' มันจะนำเพื่อน นำหมู่คณะได้อย่างไร แม้ตัวเองก็นำตัวเองไม่รอด มันจะนำคนอื่นรอดได้อย่างไร?
สำหรับผู้ที่จะบวชไม่สึกต้องคิดให้ดีๆ เราจะเอาแต่หลบหลีกข้อวัตรกิจวัตรไปเป็นวันๆ น่ะ แต่เราไม่สามารถหลบหลีกกาลเวลาไปได้ เราไม่อยากแก่...มันก็แก่ ไม่อยากเจ็บ...มันก็เจ็บ ไม่อยากตาย...มันก็ตายน่ะ เราบวชนาน เราก็ต้องได้เป็นหัวหน้า ต้องเป็นประธานสงฆ์ เป็นเจ้าอาวาสน่ะ
เรามาคิดดูดีๆ กุลบุตรลูกหลานที่เกิดมาเค้าจะทำอย่างไร เพราะพ่อแม่เค้าเป็นคนตาบอด หูหนวก พิกลพิการน่ะ ตัวเราก็ตกอยู่ในทางตัน กุลบุตรลูกหลานมันก็ต้องตกในทางตันเหมือนกัน
การฝึกตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นแบบเป็นอย่าง เป็นเนื้อนาบุญของโลก ของหมู่บ้าน ประเทศชาติและสังคม
พระพุทธเจ้าให้เราประพฤติปฏิบัติน่ะ การประพฤติปฏิบัตินั้นมันไม่ตาย สิ่งที่ตายนั้นคือความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นตายจากเรา ไม่เห็นใครที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ มันตาย มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ 'โมหะ' นั้นมันตายจากเรา
"เราไม่อยากให้โมหะที่มันอยู่ในใจ ในสันดานของเรานี้ มันตายจากเราด้วยเหรอ..?"
พระพุทธเจ้าให้เราอดเราทน เอาร่างกายนี้แหละ ฉันอาหารของประชาชน ใช้สอยเสนาสนะ ยารักษาโรคของประชาชนนี้ แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติน่ะ แล้วจะได้บุญได้กุศลของตัวเองเต็มที่ บุญกุศลนั้นจะได้ถึงกับญาติโยมประชาชน เมื่อตัวเองก็มีแต่บาป จิตใจเป็นหนี้เป็นสิน เราจะเอาบุญเอากุศลอะไรไปให้ญาติให้โยม
ญาติโยมทางโรงครัวเค้าก็ทำอาหารให้เราฉัน เค้าก็พากันเหนื่อย ต้องตื่นตีสอง ตีสาม หวังว่าพวกเราจะพากันประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กลางวันก็ยังเตรียมอาหาร เตรียมน้ำปานะอะไรทุกอย่าง ทำอาหารถวายเรายังไม่พอ ยังมากราบมาไหว้เราอีก
พระก็ดี เณรก็ดีน่ะ เราพิจารณาตัวเองนะ พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาตัวเองว่า เราสมควรที่จะให้เค้ากราบ เค้าไหว้ เค้าบูชาหรือยัง.? ถ้ายังน่ะ วันนี้เราต้องพากันพิจารณาตัวเองให้ดีๆ ว่าเราต้องเอาใหม่ ตั้งตัวใหม่
คนดีมันต้องแก้ไข มันต้องพัฒนา มันถึงจะดียิ่งๆ ขึ้นไป เราไปบิณทบาตตอนเช้านั้นน่ะ ทั้งคนหนุ่ม คนแก่ เค้าก็พากันทำนุบำรุง ทำบุญตักบาตร พากันไหว้เราน่ะ ให้เราพากันคิดให้มันเป็นน่ะ ถ้าเราไม่รู้จักคิด โมหจริตมันก็ปิดบังเรา ทำให้เราไม่เห็นอะไรน่ะ เราโกนหัว เราห่มผ้าเหลืองมันก็เหมือนกับเอาผ้าห่มให้ลิง อย่างที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้นนั่นแหละ
อันนี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันตรงไปตรงมา ถ้าเราปฏิบัติผิดจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเราก็ย่อมถูกว่า ถูกด่า ถูกตีน่ะ เพราะเส้นขนานเค้าดีดบรรทัดให้อยู่แล้ว เราชอบออกนอกลู่นอกทาง "ทางน่ะ พระพุทธเจ้าวางหลักไว้หมดแล้ว เราจะยังหน้าดื้อ หน้าด้านออกจากทางอีก ไม่ได้..!"
คนเราต้นมันจะคด แต่กลางให้มันตรง ปลายให้มันตรง มันถึงจะใช้ได้น่ะ
การที่จะถล่มทลายภูเขามหึมาสุดลูกหูลูกตานั้นมันก็เป็นของยาก การที่จะไปตักน้ำในมหาสมุทรให้มันเหือดแห้งนั้นก็เป็นของยาก แต่ผู้ที่มีความเพียรไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราได้เสียสละเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ โอกาสนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ด้วยเดช ด้วยพลังด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ทุกท่านทุกคนจงหายจาก 'โมหจริต' ที่มันฝังรากลึกอยู่ในจิตในใจ กมลสันดานเรามาหลายภพหลายชาติ เกิดเป็นบารมี เกิดเป็นสติปัญญาด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...