แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๒ ถ้าปฏิบัติตามธรรมวินัยแม้เพียงขณะจิตเดียว ก็ยังดีกว่าผู้ที่บวชตลอดชีวิตแต่ไม่มุ่งมรรคผลนิพพาน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เรามาบวชเราต้องบวชเพื่อมุ่งมรรคผผลนิพพาน โดยเฉพาะ โดยตรง ถึงแม้เราจะลาบวชชั่วคราว หรือว่าบวชเพื่อเป็นพระอริยเจ้า ก็ต้องให้เคร่งครัด ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเพี้ยน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามถึงแม้ขณะจิตเดียว ก็ยังดีกว่าผู้ที่บวชตลอดชีวิตที่ไม่เอามรรคผลนิพพาน ภาคการบวชนี่ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการบวชนี้มันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คือมาละบาปทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ เพื่อให้เป็นพรหมจรรย์หรือว่าเป็นธรรมะ ชีวิตของผู้ที่บวชนี่ถึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐมาก ประเสริฐพิเศษ ประเสริฐจริงๆ การบวชนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากชีวิตที่ไม่มีหลักการ ไม่มีจุดยืน ก็จะมีหลักการ มีจุดยืน เรียกว่ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
ผู้ที่มาบวชจะบวช 7 วัน 15 วัน ก็ให้ตั้งใจให้เต็มที่เลย เวลาสึกออกไปเราจะได้รู้ว่าความเป็นพระที่แท้จริง เป็นประชาชนก็ได้รักษาศีลพรหมจรรย์ระดับต้น คือศีล 5 เมื่อเป็นพระก็รักษาศีล 227 เราจะได้เข้าใจว่าพระศาสนา เราจะได้มีโครงสร้าง ชีวิตที่มีจุดยืนชัดเจน มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ มีธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต วัดนี่ก็ถึงเป็นศูนย์รวมของผู้ที่ประพฤติพรหมจรรย์ หรือว่ามุ่งมรรคผลนิพพาน ทั้งประชาชนที่ไม่ได้บวชก็พากันมาประพฤติปฏิบัติที่วัด ผู้ที่บวชก็ต้องมุ่งมรรคผลนิพพานอย่างนี้
ที่เราเห็นทางตา ได้ฟังทางหู ได้รู้ที่ในสังคม ในประเทศไทยของเรา หรือหลายๆ ประเทศ ถือว่ายังไม่เข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ของพุทธศาสนา อย่างเดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชา มันทำไม่ถูกต้อง ตัวเราเลยเป็นอย่างนี้ ประเทศชาติเราถึงเป็นอย่างนี้ ครอบครัวเราถึงเป็นอย่างนี้ ความสุขความอบอุ่นมันก็ไม่ได้ ไม่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ชีวิตเราทุกคนก็ลุ่มๆดอนๆ เพราะมันตกอยู่ในอบายมุข และชีวิตก็ตกต่ำสู่อบายภูมิ ตกอยู่ในสัญชาตญาณแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ทุกๆ คนเป็นผู้ที่ทวนกระแส เป็นผู้ทวนกระแสนะ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตามสิ่งแวดล้อม ต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ผู้ที่มาบวชก็จะได้ไม่เป็นคนอาศัยพระศาสนาเพื่อบำรุงร่างกาย มันจะได้จรรโลงพุทธศาสนา ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง สังคมถึงจะมีความสุขสงบร่มเย็น ทุกๆ คนก็ต้องช่วยกันรักษาพระศาสนาด้วยการพากันประพฤติพากันปฏิบัติ การตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเองนี่แหละไม่ใช่คนที่จรรโลงพระพุทธศาสนานะ
การที่เราจะบำรุงพระพุทธศาสนานี่ก็ต้องไปตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ที่เราชอบไปทำพระจำหน่าย ทำอะไรเพื่อบำรุงวัด บำรุงพระศาสนา พระจำหน่ายขายผ้ายันต์ ขายเหรียญ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เรามักง่ายเกิน มันไม่ใช่วัดแต่ละวัด ทั้งวัดหลวง วัดราษฎร์ มันทำกันไม่ถูกเนอะ เตลิดเปิดเปิง พากันเป็นหมอดู หมอไสยศาสตร์ อย่างนี้ไม่ใช่ แถมยังพากันอวดอุตริมนุษธรรมสิ่งที่ทั้งมีในตน ไม่มีในตน อย่างนี้ถึงแม้เราจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน หรือหลายหมื่นล้าน เรามีช่อฟ้า มีอะไรอยู่นี่มันก็ไม่ใช่ศาสนาเจริญ
พระที่ตกอยู่ในจำพวกพระมนต์ดำ ได้แก่พวกที่เรียนวิชาไสยศาสตร์เรียนเวทมนตร์คาถา ยินดีในเครื่องรางของขลัง บางท่านถึงกับลงทุนไปสักลาย ฝังตะกรุด ไปเรียนวิธีปลุกเสกว่าทำอย่างไรถึงขลังถึงศักดิ์สิทธิ์ ร่ำเรียนวิธีเขียนตะกรุดเขียนผ้ายันต์ว่าทำอย่างไรถึงขลัง สนใจอ่านตำราหมอดู ดูฮวงจุ้ย เรียนดูลายมือ ดูฤกษ์ ดูดวง บอกเลขใบ้หวย นี้เป็นมนต์ดำไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตามความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้เรียน ถือว่าเป็นดิรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางกั้นทางสวรรค์มรรคผลนิพพาน
มหาศีล เป็นพระวินัยที่มุ่ง ห้ามพระภิกษุไม่ให้เลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทางอวัยวะ เช่น ทายลายมือลายเท้าการทายนิมิต เช่นทายลางบอกเหตุ ทายฟ้าผ่า ทำนายฝัน ทำนายหนูกัดผ้า การทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน (จุดเทียนที่ติดบนแว่นเวียนเทียน แล้วส่งกันต่อ ๆ เพื่อเป็นการทำขวัญ) พิธีชัดแกลบบูชาไฟ พิธีชัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนยบูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีเสกเป่าบูชาไฟ การทำพลีกรรม(บวงสรวงด้วยโลหิต เป็นหมอดูลักษณะที่ทั้งบ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก หมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน หมองู หมอยาพิษ หมอแมงป่อง หมอรักษาแผลหนูกัด หมอทายเสียงนก หมอทายเสียงกาหมอทายอายุ หมอเสกกันลูกศร หมอทายเสียงสัตว์ ดังนี้เป็นต้น
๒. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลองลักษณะศาสตรา ลักษณะดาบ ลักษณะศร ลักษณะธนู ลักษณะอาวุธ ลักษณะสตรี ลักษณะบุรุษ ลักษณะกุมาร ลักษณะกุมารี ลักษณะทาส ลักษณะทาส ลักษณะช้าง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอุสภะ(วัวผู้) ลักษณะโค ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะตุ่นลักษณะเต่า และลักษณะมฤค (กวางและสัตว์ป่าทั้งหลาย)
๓. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา ด้วยการดูฤกษ์ยาตราทัพ ให้พระราชาว่า ควรจะยกทัพเข้าประชิดศัตรูเมื่อใด ควรจะถอยทัพเมื่อใด ถ้ายกทัพไปเวลาใดจะมีชัยชนะ ยกไปเวลาใดจะปราชัย เพราะเหตุใด เป็นต้น
๔. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการพยากรณ์ว่า จะมีจันทรคราส สุริยคราสอุกกาบาต ดาวหางแผ่นดินไหว ฟ้าร้อง หรือพยากรณ์ว่า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจะขึ้นหรือตกเมื่อใด จะเดินถูกทางหรือผิดทางจะมัวหมองหรือกระจ่าง หรือพยากรณ์ว่า จันทรคราส สุริยคราสดาวนักษัตรจะมีผลอย่างไร เป็นต้น
๕. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานกถา โดยการพยากรณ์ว่า ฝนจะดีหรือแล้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารจะสมบูรณ์หรือขาดแคลน จะเกิดภัยพิบัติ โรคระบาดต่าง ๆ หรือไพร่ฟ้าประชาชนจะมีความสมบูรณ์พูนสุขกันทั่วหน้า เป็นต้น
๖. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการให้ฤกษ์อ์าวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาห์มงคลดูฤกษ์เรียงหมอน(ฤกษ์เนื่องในพิธีปูที่นอนบ่าวสาว) ฤกษ์หย่าร้าง ฤกษ์เก็บทรัพย์ฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดีดูเคราะห์ร้าย ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้างร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงร่ายมนต์พ่นไฟ ร่ายมนต์ขับผี เป็นหมอเสน่ห์ เป็นผู้บวงสรวงพระอาทิตย์ ผู้บวงสรวงท้าวมหาพรหมทำพิธีเชิญขวัญ เป็นต้น
๗. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน พิธีขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ยาถ่าย ยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตายานัตถุ์ ยาทากัด ยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล เป็นต้น
ในที่นี้มีคำว่า ติรัจฉานวิชา ๒ คำว่า “ติรัจฉาน” แปลว่า“ไปขวาง” ดังนั้น “ติรัจฉานวิชา” จึงมีความหมายว่าวิชาเหล่านี้ “ขวาง” หรือ “ไม่เข้ากับความเป็นสมณะ” มิได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์ติรัจฉาน ๓ ดังนั้นถ้อยคำที่พระไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระวิชาที่พระไม่ควรเกี่ยวข้อง จึงจัดเป็นติรัจฉานวิชา คือ วิชาที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระ
ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนขอพระพุทธเจ้าแล้ว ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดมีขึ้นมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ สำหรับพระภิกษุสามเณรเราเข้ามาในสายตรงแล้วไม่น่าจะไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเราไม่เอามรรคผลนิพพานแล้ว เราจะเอาทางข้าวของเงินทอง ที่ทำตัวเป็นผู้ขลังศักดิ์สิทธิ์บางทีมันไม่ขลังจริงหลอกลวงชาวบ้าน พูดไปหลับตาเคร่งๆ ขรึมๆ ไป เคี้ยวหมากไป ทำเป็นกำหนดวาระจิตทำให้เขาเลื่อมใส ทำอย่างนี้พระเณรที่มาบวชภายหลังจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพระพุทธศาสนา ญาติโยมที่ยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย เห็นพระขลังๆ เคร่งๆ ขรึมๆ ก็หมอบคลานเข้ามาเป็นแถวๆ การที่เราปั้นรูปพระ ทำรูปเหรียญครูบาอาจารย์ รูปพระสมเด็จพระพุทธเจ้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ผิด เพื่อจะแจกให้ญาติโยมได้ไว้ไปบูชาหรือติดตัวเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อจะได้สร้างคุณงามความดี ถ้าเราเอาไปจำหน่ายเอาไปขาย ตั้งราคาองค์นั้นราคาเท่านี้องค์นี้ราคาเท่านั้นชื่อว่ามันผิดทางแล้ว มันเป็นการค้าขายเป็นพาณิชย์ไป มันไม่ใช่ความเสียสละจริง ไม่ใช่เมตตาจริง ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"
เราต้องรับฟังความจริงจากพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ เพราะเราจะได้ถือนิสัยถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า ประชาชนต้องพากันรู้ไว้ อย่าให้พระหลอกลวงพูดแต่เรื่องสวรรค์ อานิสงส์ของสวรรค์ เพื่อให้โยมถวายเงินถวายของ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระใหญ่อะไรอย่างนี้ อย่าไปหลงในพระพวกหมอดูหมอทำนาย พวกไสยศาสตร์ต่างๆ พวกของขลังพวกศักดิ์สิทธิ์ มันขลังจริงอยู่ศักดิ์สิทธิ์จริงอยู่ แต่ไม่ใช้เรื่องดับทุกข์ ไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นสายของพระเทวทัต พระพุทธเจ้าถึงไม่ยกพระมหาโมคคัลลานะขึ้นเป็นสาวกฝ่ายขวา เพราะมีฤทธิ์มีอภินิหารเยอะ
เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์จึงพูดเรื่องจิตเรื่องใจ แต่ไม่พูดเรื่องอภินิหาร จะพูดแต่เรื่องจิตเรื่องใจทุกคนให้เข้าใจ ถึงคราวแล้วถึงเวลาแล้วที่ท่านผู้ที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี ทั้งประชาชน พากันเข้าใจเราจะได้ประพฤติพรหมจรรย์แท้ๆ ท่านจะห่มผ้าสีกลัก สีแก่นขนุน ที่ตามโรงงานที่เค้าทำมาก็ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ท่านมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันต้องเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอย่างนี้ อันนี้มันเป็นธรรมชาติเป็นกฎของธรรมชาติ เราจะได้ไม่พากันหลงงมงาย เราจะได้พากันประพฤติพรหมจรรย์ ทั้งบรรพชิต นักบวช ประชาชนผู้อยู่ที่บ้านผู้ครองเรือน โยมก็มีศีล ๕ ศีล ๘ พระก็มีศีล ๒๒๗ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ ในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พวกเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ ที่มันทำแล้วก็แล้วไป คณะสงฆ์ไทยเราน่าจะมาสร้างพวกที่มาบวชให้เป็นพระ มันน่าจะมาสร้างพวกนี้เนอะ พวกที่เรียนพวกที่ศึกษาก็น่าจะมาสร้างพวกนี้ เพราะว่าสิ่งที่แล้ว ก็แล้วไป ถ้าจับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามันถึงทันสมัย ถึงจะเป็นปัจจุบันธรรม (เราหาทางออกให้เค้า เพราะว่าเราไปด่าเค้าอย่างเดียวเค้าคิดไม่ได้) พวกที่จะบวชภิกษุ ก็จะเป็นพระนี่แหละ พวกนี้แหละจะได้ช่วยกัน มันทำได้ปฏิบัติได้ เราไปอย่างนี้มันจะไม่ได้เป็นเหมือนที่หลาย 10 ปีที่ผ่านมา โอ๊เดี๋ยวมันจะหายเสีย เสียทรัพยากรหมด
เราต้องทำให้ถูกต้องเรื่องสตรี เรื่องสตางค์ เรื่องลาภยศสรรเสริญ ถึงพวกอันตรายที่สุดทุกวันนี้ก็คือ โทรศัพท์มือถือ พวกอินเตอร์เน็ต สื่อสารอะไรต่างๆ นี่แหละอันนี้มันทำให้เกิด ทำให้ศีลของเราไปไม่ได้ เพราะถ้าเรามีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ เท่ากับอย่างเดียวกับการมีภรรยา เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นเดรัจฉานกถา คือ การพูดคุยเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ หรือเรื่องใด ๆ ที่พาให้จิตใจของผู้พูดและผู้ฟังตกต่ำจากคุณความดี ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวหมดกำลังใจหรือทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย เช่น พูดชื่นชมความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ พูดเรื่องโจร เรื่องข้าราชการ เรื่องการเมือง เรื่องกองทัพ เรื่องยุทธวิธีการรบ เรื่องญาติ เรื่องยานพาหนะต่าง ๆเรื่องบ้าน เรื่องนิคมหรือชุมชน เรื่องความเป็นไปในเมืองใหญ่และชนบทเรื่องสตรี เรื่องแฟชั่น เรื่องบุรุษ เรื่องเพลง เรื่องหนังละคร เรื่องดารา เรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วๆ ไป เป็นต้น เดรัจฉานกถา มันเรื่องคนอื่น เรื่องบ้านเรื่องเมือง นี้แหละคือนักบวชพากันมีภรรยา คนเราจะไม่ยินดียินร้ายเลย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ
พระอรหันต์ขีณาสพท่านก็ไม่มีเรื่องเหล่านี้ จะเป็นวัดไหนเคร่ง มีครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัด เช่น สายลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาส สายยุบหนอพองหนอ ถ้ามีโทรศัพท์ มือถือ มีอินเตอร์เน็ตเฟสบุ๊คนี้ ก็ให้เค้าใจนะ ว่าท่านกำลังมีภรรยา คำว่ามีเพศสัมพันธ์ก็หมายถึงสิ่งที่เสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นเพศสัมพันธ์ของจิตใจ เพราะการมีเพศสัมพันธ์ มันไม่ได้หมายถึงเสพเมถุนกับเพศตรงกันข้ามอย่างเดียว เพราะว่าเรื่องประพฤติปฏิบัติเป็นเรื่องทางจิตทางใจ ปัญหาใหญ่ที่ทำลายมรรคผลพระนิพพานของพระสายกรรมฐานที่ประชาชนเคารพกราบไหว้ ที่เสียหายเพราะข้อนี้อย่างนี้ ถึงท่านจะดังหลายประเทศก็พ่ายแพ้สิ่งเหล่านี้
พวกท่านทั้งหลายพากันไปคิดยินดี เพราะเราทุกคนทั้งประเทศพากันเป็นประชาธิปไตยกันหมด นี้แหละคือเรากำลังพากันมีภรรยาอยู่ ทางออกจะทำอย่างไร? ทางออกก็คือทุกคนต้องเข้มแข็ง ถ้าใครเป็นนักปกครองก็ต้องเข้มแข็ง พวกเจ้าอาวาสประธานสงฆ์อะไรอย่างนี้ เมื่อเราปฏิบัติไม่ได้ เราบอกใครมันก็ไม่มีน้ำหนัก เราควรมีปัญญาระดับที่จะเป็นผู้นำหรือเป็นพระอรหันต์มันก็ต้องมีปัญญา เพราะทุกคนก็พร้อมที่จะกราบไหว้เราทุกคนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราก็มีความสุข ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ผู้ที่เค้าอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ต้องเข้าใจเรื่องพรหมจรรย์ให้ลึกซึ้ง
พวกนี้เราต้องพากันมาดูนะ เพราะเราคิดอย่างคนไม่รอบครอบ การที่เรามีการเรียนการศึกษา มหาจุฬา มหามงกุฏ หรืออะไรนั้นมันถูกแล้วในพระศาสนา แต่มันไม่ใช่การพัฒนาศาสนานะ มันเป็นความมักง่าย การที่เรามีการปกครองคณะสงฆ์ ที่มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีมหาเถระสมาคมเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง จะได้เอารูปธรรม นามธรรมมันชัดเจน ไม่ใช่แต่เซ่อๆ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นตำแหน่งลอยๆ เพียงแต่เดินเอกสารเฉยๆ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้เนอะ การเรียนการศึกษาอย่างนี้มันก็เป็นโมฆะ ไม่ใช่เป็นศาสนาพุทธได้ เราแย่เลย บ้านเราโกงกินคอรัปชั่น ทั้งพระ ทั้งประชาชนอย่างนี้ไม่ได้เนอะ บ้านเมืองเราก็พัฒนามาไกล จนถึงไปโลกดวงจันทร์ ดาวอังคารแล้ว
เราไปบ่นให้แต่ประชาชน ไปบ่นให้เค้าไม่มีศรัทธาเค้าไม่พากันมาบวช มันจะบวชได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้เอาพระธรรมคำสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติเลย ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความคิดอย่างนี้แหละมันไม่ได้ มันเสียหาย ไม่ใช่ธรรมาธิปไตย มันเป็นอัตตาธิปไตย หรือว่าถึงจะเป็นประชาธิปไตยมันก็เป็นพรรคใหญ่ พวกใหญ่ ที่ทำสิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่มรรคผลพระนิพพาน เหมือนปรากฏการณ์ในปัจจุบัน มันแก้ไขได้ ไม่ใช่แก้ไขไม่ได้นะ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้ามันสมบูรณ์แบบอยู่ทุกอย่าง มรรคผลนิพพานมันก็ยังอยู่ เพราะพระผู้ที่บวชก็แย่เลย พวกข้าราชการก็แย่เลย นักการเมืองก็แย่เลย เราจะได้ไม่เสียแรงในหลวงมหาภูมิพลอดุยเดชที่พระองค์ท่านพาเราพัฒนาประเทศ ไม่เสียแรงที่ประเทศไทยเราเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่างมหาลัยธรรมศาสตร์ อย่างนี้มันก็ขึ้นชื่อธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะบริหารประเทศ ในหลวงมหาภูมิพลก็หนักแน่ พวกจะเดินขบวนเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นตัวอักษรตัวหนังสือ ก็ต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เพราะศาสนาพุทธไทยในปัจจุบัน สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบันก็ถือว่าสุดยอด เมื่อเราทำอย่างนี้ มันเห็นตัวอย่างที่ดี ก็ต้องพัฒนากัน เพราะว่ามันเป็นทางออกที่ดี เราจะไม่ได้เสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม พราหมณ์ ฮินดู มันก็ไปด้วยกันนี่แหละ มันแยกกันไม่ได้หรอก มันต้องเอาความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม เพราะว่ามันต้องเน้นความสมัครสมานสามัคคีกัน มันจะพากันเดินขบวนไปเอาอะไร ก็มีแต่ความวุ่นวาย เพราะว่าไม่ใช่ ไม่ถูก พวกระบบสังฆเภท ระบบประเทศแตกแยก
เราอยู่ในบ้าน ในกรุงเทพไม่ใช่เราจะปฏิบัติไม่ได้ พระไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้ มันปฏิบัติเหมือนๆ กัน ขอให้เรามีสัมมาทิฏฐิ อย่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราอย่าไปปฏิเสธความถูกต้อง อย่าไปปฏิเสธความจริง เราชอบแต่ของปลอมๆ ไม่ได้ เพราะเราควรมีจักษุเกิดขึ้นแก่เรา ควรมีแสงสว่างเกิดขึ้นแก่เรา เราไม่เอาพระแต่งตั้งมีชื่อพระเฉยๆ แต่ว่าจิตใจเราไม่ได้เป็นพระ ถ้าเราไม่ได้เอาพระธรรมคำสั่งสอน มันเป็นโจรอยู่ดีๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นพระอรหันต์แต่งตั้ง กลายเป็นพุทธแต่งตั้ง เราเป็นพุทธจริงๆ มันไม่ได้ สมบูรณ์ด้วยทั้งอักษร พร้อมด้วยพยัญชนะ การปกครองมันถึงจะสมบูรณ์แบบ เพราะว่าประเทศเรามันจะได้มีความสุขขึ้นอีก เห็นไหมเราวิ่งตามแต่วัตถุ ไม่ได้พัฒนาเศษฐกิจพอเพียงเลย ไม่ได้พัฒนาใจ ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน มันสุดโต่งทั้งสองอย่างแหละ ที่สุดสองทางมันจะไปไม่ได้ กายกับใจมันไปด้วยกัน ธรรมกับโลกก็ไปด้วยกัน จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ
เราไม่เอาระบบที่มีพระไว้เพียงสวดผี มีพระไว้ทำงานมงคลต่างๆ อันนั้นก็ถือว่ายังไม่ใช่พระที่แท้จริง เป็นภิกษุ ประชาชนต้องรู้จัก ผู้ที่บวชมาต้องรู้จักว่าเรามีสิ่งที่ประเสิรฐ แต่เราไม่รู้จักสิ่งที่ประเสริฐมันก็เป็นสิ่งที่เสียหายอันตราย เราทุกคนต้องมาเข้าใจ ความสมัครสมานสามัคคีมันก็จะมี เพราะแต่ก่อนระบบยึดมั่นถือมัน หมู่เรา หมู่เฮา เห็นแก่ตัวนี่ก็มันก็ไม่ใช่ความสามัคคี ถ้าเราเข้าหาธรรมะตัวเราก็จะจางหายไป ในครอบครัวเราก็จะไม่พากันมาแย่งขยะ แย่งมรดก พ่อแม่แย่งที่ดิน แย่งที่ทำมาหากิน แย่งอาชีพ เพราะเราเป็นผู้ที่รู้จักว่าเราดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ สิ่งต่างๆ นั้นเป็นเพียงยารักษาโรค เป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ ปัจจัย 4 ทั้งหมดคือมันบรรเทาทุกข์ เปรียบเสมือนเป็นยารักษาโรค คือให้ร่างกายของเรา กิน นอน พักผ่อน แล้วก็จิตใจดำเนินสู่มรรคผลนิพพาน
ทำไมเราเกิดมาเราถึงฉลองวันเกิดกัน เพราะว่าชีวิตของเรามันประเสริฐ เรามีโอกาสได้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน พอเป็นพวกสัตว์เดรัจฉานเป็นอะไรมันก็ทำไม่ได้ เราทุกคนน่ะทำอย่างนี้แหละ เราก็จะเคารพกราบไหว้ตัวเองได้ คนอื่นก็เคารพกราบไหว้เราได้ คนอื่นเค้าอยากเสียภาษี ประเทศชาติคนอื่นเค้าอยากเสียภาษี เพราะทุกคนไม่โกงกินคอรัปชั่น ใครก็อยากให้ครอบครัวตัวเองมีความสุข ให้วัด ให้โรงเรียน ให้ประเทศผาสุก เพราะเราเอาธรรมเป็นใหญ่ เรื่องมิจฉาทิฏฐิเรื่องความเห็นผิด เข้าใจผิด มันเป็นสิ่งที่เสียหาย อย่างนี้นะ พวกนี้หายใจเข้าก็ไม่มีความสุข หายใจออกก็ไม่มีความสุข เพราะว่าจิตใจมันซึมเศร้า จิตใจมันฟุ้งซ่าน จิตใจมันไม่สงบ มันไม่รู้จักบ้านที่แท้จริง คือธรรมะ คือพระนิพพาน คือที่สุดแห่งกองทุกข์ คือความสงบ ต้องกลับมาหาสติสัมปชัญชญะ กลับมาหาลมหายใจ กลับมาหาพุธโท เราจะได้เสวยวิมุตติสุขทางจิตใจ เราถึงจะเข้าถึงธรรมะอย่างนี้ๆ อย่างนี้แหละ พ่อแม่ก็จะบอกสอนลูกได้ เพราะว่าพ่อแม่เป็นธรรม เป็นมรรคผลนิพพาน พระสงฆ์องคเจ้าที่เป็นประธานสงฆ์ เป็นคณะสงฆ์ จะได้ไปบอกพระลูกวัด ไปบอกประชาชนได้ เพราะว่าเราละเสียซึ่งนิติบุคคล มีแต่ธรรม มีแต่วินัย มีแต่มรรคผลนิพพาน เราก็มีความสุข เราว่าไปอย่างนี้คือหลักการ คือจุดยืน โครงสร้างที่แข็งแรง พระพุทธเจ้าท่านถึงงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ด้วยหลักการ หลักกระบวนที่เข้าสู่ความสุขความดับทุกข์ที่อริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี่มีสิ่งนี่มันถึงมี ทุกอย่างไม่ใช่หมดสมัย ไม่ใช่ล้าสมัย มันทำมาจริง แล้วมันน่าจะนิ่งทันสมัย ต้องแก้ไขสิ่งไม่ถูกต้องให้ถูกต้อง สิ่งที่เสียทรุดโทรมให้มันดี เราจะเข้าถึงกฏแห่งกรรม กรรมที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล เข้าถึงพร้อมความไม่ประมาท เพราะเราจะได้กินเวลา ไม่ใช่เวลากินเรา โดยที่เราเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราจะได้คิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ เราจะได้การประพฤติการปฏิบัติมันถึงสูงสุด
เราปฏิบัติได้ทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่บ้าน ทั้งที่วัด ทั้งโรงเรียน ทั้งที่โรงงาน เราก็ปฏิบัติได้ เพราะว่ามันอยู่ที่ใจของเราในปัจจุบัน อยู่ที่วาจาของเราในปัจจุบัน อยู่ที่เราทุกหนทุกแห่ง เราอย่าไปแยกธรรมะจากการดำเนินชีวิต เพราะกายกับใจมันต้องอันหนึ่งอันเดียวกัน ศีล กับสมาธิ กับปัญญา ก็คืออันเดียวกัน เราจะเป็นหนึ่งคือ เอกายนมรรค คือความประพฤติเป็นหนึ่งทางกาย วาจา ใจ
เราเดินตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงบำเพ็ญจนได้ตรัสรู้ เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ที่เป็นที่เคารพบูชาของปวงชนชาวไทย และชาวโลก อย่าได้คิดอย่างอื่น ทำอย่างอื่น และใจของเราไปตามสิ่งแวดล้อมมันยิ่งหยาบ ยิ่งสกปรก สิ่งที่ปฏิกูลหนอนมันก็ชอบ หนอนมันชอบกัน แต่คนมีปัญญาไม่ชอบนะ มนุษย์ที่มีปัญญาไม่ชอบนะ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอา 'ธรรมวินัย' ไว้... พวกเราทุกคนพ่อแม่ก็รัก ครูบาอาจารย์ก็รัก ทุกคนก็รัก หวังให้ท่านเป็น 'พระสุปฏิปันโน' เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้ทุกคน ทุกท่านระลึกไว้ให้ดีๆ พยายามให้ 'ศีล' แก่ตนเองพยายามให้ 'สมาธิ' แก่ตนเอง พยายามให้ 'ปัญญา' แก่ตนเอง
ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากพระพุทธเจ้า นอกจากพระธรรมวินัย นอกจากพระอริยสงฆ์ พยายามให้กำลังใจตัวเองว่า พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ไม่ได้กดดันเรา ท่านกำลังเมตตาเรา ให้ขุมทรัพย์เรา ให้อริยทรัพย์แก่เรา "พระภายนอก พระทองเหลือง พระทองคำ มันสร้างง่ายกว่า "พระในจิตในใจ' ที่เราปฏิบัติกันอยู่"
พวกท่านทุกคนอย่ามักง่าย ดูท่านพระอาจารย์ชา ดูหลวงตามหาบัว ดูหลวงปู่มั่น ท่านก็เป็นคนบ้านนอกบ้านนา เรียนก็จบแค่ ป.๔ แต่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า "พวกท่านนี้เรียนมากกว่า เป็นดอกเตอร์ เป็นเถ้าแก่กันตั้งเยอะแยะเลย"
เราอย่าไปเชื่อตัวเองนะ ในสิ่งที่มันไม่ดี ไม่ถูก อย่าไปเชื่อคนอื่น "ถึงคราวแล้ว ถึงโอกาสแล้ว" พระพุทธเจ้าท่านให้เราพึ่งธรรมวินัย ถ้ามันตาย...ก็ให้มันตาย เพราะเราได้ปฏิบัติเพื่อรักษาศีล รักษาพระธรรมวินัย เป็นผู้จรรโลงพระพุทธศาสนาที่แท้จริง "การทำจิตใจอย่างนี้เขาเรียกว่า พระธุดงค์ เณรธุดงค์ ญาติโยมธุดงค์" "เราอย่าเป็น 'พระทะลุดง' ทะลุดงโน้น ทะลุดงนี้ มันออกไปแต่ข้างนอก ไม่ได้ปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจ"
สิ่งนี้มี สิ่งโน้นมันจึงมี หมายถึง เรามีตัวมีตนก็เลยมีวัฎฎสงสาร มีมานะทิฏฐิ เป็นอาการของจิตที่มีตัวตน ที่เป็นภพเป็นชาติ มันแสดงความหยาบคาย มันหน้าด้าน ไม่มียางอาย ครูบาอาจารย์ห้ามก็ไม่อยู่
พระพุทธเจ้าห้ามก็ไม่อยู่ เราจะไปปฏิบัติอย่างนั้นไม่ได้... หวังว่าทุกท่านทุกคนจะรับเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องเพศตรงกันข้าม เกี่ยวกับการคลุกคลี เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เกี่ยวกับเดรัจฉานวิชา การทำให้จิตใจตนเองเสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม
เราทุกคนมีโอกาสพิเศษที่สังคมเขาสมมุติให้เราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ทุกอย่างอำนวยความสะดวก สบายหมด พวกเราและท่านจะมาทำผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ "เราต้องเน้นมาหาใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เจตนาที่ไม่มีความผิด ทั้งทางใจ ทางคำพูด ทางการกระทำ"
"เราทำไม่หยุด ปฏิบัติไม่หยุด มรรคผลนิพพานก็เกิดขึ้นกับเราได้โดยไม่ต้องสงสัย" ที่ทำไปสงสัยไป แสดงว่าใจเราไม่แน่วแน่ ถ้าจิตใจเราไม่แน่วแน่ในพระธรรมวินัย 'ยังเป็นผู้ไม่สุจริต' ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้กราบไหว้ตัวเองได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมากราบไหว้ 'พวกนั้นมันบาป'
เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้แข่งเรื่องมีลาภมาก มีบารมีมาก ท่านให้เน้นที่จิตที่ใจเพื่อดับกิเลส ดับตัวตน...