แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๙ แก้ไขตนเอง เป็นผู้นำตนเอง ให้สมกับตำแหน่งหน้าที่ ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องยุติธรรม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีไหม “ดี” ที่เรารับแต่งตั้งเป็นนาย ก นาง ข นั้นดีไหม “ดี” ที่เราได้รับแต่งตั้งเป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นกำนัน เป็น อบต. เป็น อบจ. เป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ เป็นสิ่งที่ดีนะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรา ให้เป็น ให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง ประการแรก ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันมาแก้ตัวเองก่อน เราถึงสมควรที่จะไปแก้คนอื่น การที่จะแก้ตัวเองก็ต้องเอาความถูกต้อง เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรมมาประพฤติ มาปฏิบัติ เพื่อเราทุกคนจะได้เคารพกราบไหว้ตัวเอง และก็คนอื่นจะได้เคารพกราบ ต้องเป็นให้ถูกต้อง เป็นให้สมบูรณ์ เราถึงจะได้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ไม่ใช่เป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราจะได้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นข้าราชการ นักการเมืองที่ถูกต้อง
ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ทุกท่านทุกคนมีความบกพร่องมาก สถาบันครอบครัว สถาบันในส่วนราชการ สถาบันทางการเมืองถึงเกิดปัญหา เกิดขัดข้อง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่เอาธรรมะ เราจะไปเอาตั้งแต่ลายเซ็นต์ เอาแต่ปากกา อันนี้เค้าเรียกว่ามันเป็นปริยัติ เรายังไม่ถึงขั้นประพฤติขั้นปฏิบัติ ผลออกมามันก็ดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ เข้าสู่ความสงบ เข้าสู่สันติ เข้าสู่ความสงบความเยือกเย็น เป็นความสมัครสมานสามัคคี เป็นพระนิพพานไปไม่ได้
เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ จะไปเอาตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกไม่ได้ เหมือนที่กล่าวมาเริ่มต้นจากพ่อจากแม่ เราทุกคนต้องจัดการกับตัวเอง แล้วให้ตัวเองสมบูรณ์แบบทั้งความคิด ทั้งคำพูด การกระทำ เพื่อเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นการตั้งระบบเพื่อมาโกงกินคอรัปชั่น มันไม่ได้ มันไม่ถูก เราจะไปแยกธรรมะออกจากการดำเนินชีวิตไม่ได้ เราจะเอาทางตัวตน เอาความเห็นแก่ตัวที่ว่าทางโลก ทางธรรม ทางโลกก็ได้แก่ทางร่างกาย ทางธรรมก็ได้แก่ทางจิตใจ กายกับใจมันเป็นของอยู่ด้วยกัน จะไปแยกกันได้อย่างไร ถ้าแยกแล้วก็มันก็ไม่ได้เป็นมนุษย์แล้ว เค้าเรียกว่าคนตายแล้ว เราไม่ตายมันก็ตายจากคุณธรรมคุณงามความดี
ทุกท่านทุกคนต้องปฏิบัติให้ตัวเองได้มาตรฐานเหมือนๆ กัน เป็นstandard เหมือนพริกทุกเม็ดก็เผ็ด น้ำตาลทุกชิ้นก็หวาน ให้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์ เราทุกท่านทุกคนจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ถ้าอย่างนั้นเราจะเป็นนาย ก นาง ข ได้อย่างไร เราจะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นแม่ เป็นเจ้าอาวาส เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้าประชาชน ได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมะเป็นใหญ่ เราเอาตัวตนเป็นหลัก การเรียนการศึกษาเรามันก็มีแต่เข้าสู่ความพินาศ กลายเป็นโจร เรียกว่า 99.9% เราดูแล้วมันก็น่าสลดสังเวส ในโครงสร้างของความเป็นมนุษย์ โครงสร้างของครอบครัว ในการบ้านการเมือง ทุกท่านทุกคนต้องพากันคิดดีๆ นะ กามนี่มันเป็นสิ่งที่เสพติด ทุกคนมันละยาก แต่ก็ต้องละ ไม่อย่างนั้นนะ ระบบมันขัดข้อง มันไปไม่ได้
ระบบพรรคพวก ระบบหมู่เฮา ทุกท่านทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เราทุกท่านทุกคนต้องอยู่เหนือความชอบความไม่ชอบ เพราะความชอบความไม่ชอบ คือความเห็นแก่ตัวในความปรุงแต่งนั้นเอง ความดีใจเสียใจคือความเห็นแก่ตัวนั้นเอง อันนี้มันเป็นความปรุงแต่ง ก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ถ้างั้นน่ะ หือ...เราพากันมาพาครอบครัวลงสู่อบายภูมิกัน ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติ มันไม่มีก็ต้องสร้างให้มันมี มันไม่เป็นการสร้างให้มันเป็น เกิดจากความเห็นถูกต้อง เกิดจากการเสียสละ เราจะปล่อยไปโดยไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ ที่เค้าเป็นอะไรในตำแหน่งต่างๆ ดีไหม “ดี” แต่ต้องเอาตำแหน่งตรงนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ และก็ให้เป็นธรรม ความยุติธรรม ตำแหน่งที่เราได้รับนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มีประโยชน์ต่อส่วนรวม
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “อุฏฐานวโต สตีมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความเพียร, มีสติ, มีการงานสะอาด, ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ, เป็นผู้สำรวม, มีชีวิตอันประกอบด้วยธรรม, และไม่ประมาท”
ในที่นี้ได้ ธรรม ๗ ประการอันเป็นเหตุให้ยศเจริญ คือ ความเพียร, สติ, การงานอันสะอาด, การใคร่ครวญก่อนทำ, ความสำรวม, ชีวิตอันประกอบด้วยธรรม และความไม่ประมาท
ความเพียร นั้น คือสภาพอันตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน กล่าวคือ ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการทำงาน ในการประกอบการกุศล ความกล้าในการประกอบกิจอันชอบให้ลุล่วงไปด้วยดี มีความบากบั่นมั่นคงไม่ถอยหลัง ไม่ทอดธุระ ไม่เป็นคนอยู่เฉยโดยไม่ทำงาน
สติ คือ ความรอบคอบ และความระวัง จะทำจะพูดอะไรก็คิดโดยรอบคอบก่อน ระวังเกรงความผิดพลาด เพราะความพลาดบาง อย่างต้องใช้เวลาแก้นาน จึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
การงานสะอาด นั้น คือ การประกอบการงานอันสุจริต เว้นงานที่ทุจริตผิดกฎหมาย และศีลธรรมทั้งปวง
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ คือ ไตร่ตรองด้วยดีว่า เมื่อทำอย่างนี้ ผลอย่างไรจะเกิดขึ้น เว้นการกระทำอันจักอำนวยผลเป็นทุกข์เสีย ประกอบกระทำแต่เฉพาะเหตุอันจักอำนวยผลเป็นสุขให้
ความสำรวม นั้น คือความสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้
ชีวิตอันประกอบด้วยธรรม คือ มีชีวิตอยู่อย่างแนบสนิทกับธรรม ไม่เหินห่างจากธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่เสมอ ได้พบได้เห็นอะไรก็นำเข้าไปหาธรรม เทียบกับธรรม หรือน้อมธรรมเข้ามาใส่ตนอยู่เสมอ
ความไม่ประมาท มีสติไม่ห่างเหิน สิ่งที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง
1. ไม่ประมาทในเวลา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า "วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่" อย่ามัวเมาทำในสิ่งไร้สาระ ให้เร่งรีบทำงานให้เต็มที่แข่งกับเวลา เพราะเวลามีน้อย เมื่อกลืนกินชีวิตไปแล้วก็เรียกกลับคืนไม่ได้
2. ไม่ประมาทในวัย มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าตัวยังเป็นเด็กอยู่ จึงเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปวัน ๆ เพราะถ้านับอายุตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ แต่ละคนต่างมีอายุคนละหลายหมื่นวันแล้ว
3. ไม่ประมาทในความไม่มีโรค มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเราจะแข็งแรงอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้ากรรมชั่วในอดีตตามมาทันอาจป่วยเป็นโรค หรือไม่ บายเมื่อไรก็ได้เพราะฉะนั้นในขณะที่สุขภาพยังดีอยู่นี้ ต้องรีบขวนขวายสร้างความดีให้เต็มที่
4. ไม่ประมาทในชีวิต มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า อย่าคิดว่าเรายังมีชีวิตอยู่สุขสบายดี เราจะยังมีชีวิตอยู่อีกนาน เพราะจริง ๆ แล้วเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ มัจจุราชไม่มีเครื่องหมายนำหน้า จึงเร่งรีบขวนขวายในการละความชั่วสร้างความดีและทำจิตใจให้ผ่องใสอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบ ทุกโอกาส
5. ไม่ประมาทในการงาน มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะทำงานทุกอย่างที่มาถึงมือให้ดีที่สุด ทำอย่างทุ่มเทไม่ออมมือ ทำงานไม่ให้คั่งค้าง ไม่ท้อถอย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
6. ไม่ประมาทในการศึกษา มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะขวนขวายหาความรู้อย่างเต็มที่อะไรที่ควรอ่านควรท่องก็จะรีบอ่านรีบท่องโดยไม่แชเชือน ตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ ซึ่งจะเป็นกุญแจไขปัญหาชีวิต
7. ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า จะปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอไม่ย่อท้อ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่รอจนแก่ค่อยเข้าวัด จะฟังเทศน์ก็หูตึงฟังไม่ถนัด จะนั่งสมาธิก็ปวดเมื่อยขัดยอกไปหมด ลุกก็โอยนั่งก็โอย เมื่อระลึกได้เช่นนี้จึงมีความเพียรใส่ใจในการปฏิบัติธรรม เพราะทราบดีว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ทำให้เกิดความสุขแก่ตนทั้งโลกนี้และโลกหน้า และเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่ทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดแห่งชีวิต คือ นิพพาน
ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมทั้ง ๗ ประการนี้
ยศนั้นท่านจำแนกไว้ ๓ คือ
๑. อิสริยยศ ความเป็นใหญ่
๒. เกียรติยศ ความมีเกียรติ มีคุณงามความดีมาก
๓. บริวารยศ ความเป็นผู้มีบริวารมากและบริวารดี
ยศที่กล่าวถึงในที่นี้พระอรรถกถาจารย์ขยายความว่าได้แก่ ๑. โภคสมบัติ ๒. ความนับถือ ๓. ความมีเกียรติ และ ๔. ความสรรเสริญ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย ได้ยศแล้วไม่ควรเมา"
ยศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นสิ่งที่ได้มาด้วยบารมี เป็นสิ่งที่เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล เป็นเครื่องกำหนดหมายชั้นของบุคคล
ยศ ทำให้บุคคลนั้นๆ เป็นคนที่มีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม ทำให้คนทั้งหลายยกย่องเคารพ
แต่บุคคลบางคน เมื่อได้ยศมาแล้วกลับหลงมัวเมาในยศ ใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่มีในทางที่ทุจริต ใช้ยศใช้ตำแหน่งไปกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบคนอื่น แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวโดยเบียดเบียนคนอื่น ถือตัวว่าตนเองมียศมีศักดิ์ คนเช่นนี้เรียกว่าเมายศ
คนที่เมายศฐาบรรดาศักดิ์ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าตัวเอง คือใช้ยศตัวเองนั้นฆ่าตัวเอง สุดท้ายการใช้ยศในทางที่ไม่ถูกไม่ควรนั้น จะทำให้เขาเองต้องเสื่อมยศ จากสูงสุดคืนสู่สามัญ เมื่อเสื่อมยศก็เสื่อมเกียรติ แล้วความเสื่อมอื่นๆ ก็จะตามมา
ดังนั้น ท่านจึงสอนว่า อย่ามัวเมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะยศนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีได้ก็เสื่อมได้ ให้หมั่นสร้างคุณงามความดี เอาไว้มากๆ ดีกว่า
เมื่อเราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ใครเค้าจะเชื่อเรา เราเป็นโจร เราไปบอกให้คนเค้าทำความดี ใครเค้าจะเชื่อเรา ใครจะยอมรับเรา การเป็นอะไรน่ะมันดีแล้ว แต่พวกเราก็ชอบแย่งกันเป็นโน้นเป็นนี่ เพื่อหวังประโยชน์ทางวัตถุ หวังประโยชน์ในความเห็นแก่ตัว อย่างนี้ไม่ถูก ผู้ที่เสียสละเท่านั้นถึงจะทำได้ เพราะงานเสียสละทุกอย่างในชีวิตของเรานี่ มันเป็นงานของพระพุทธเจ้า เป็นงานของพระอรหันต์ แต่เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้น โครงสร้างของเราคือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ เพื่อเราจะได้สลัดตัวตน จะได้สลัดกามออกจากใจของเรา ที่เรานิสัยเสีย ชอบมี sex ทางความเห็นแก่ตัว ทางขี้เกียจขี้คร้าน หรือว่า รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เอามาแล้วไม่ได้ทำหน้าที่แห่งความเป็นผู้นำ การที่เราไปเรียนไปศึกษาก็เพื่อจะมาเป็นผู้นำตัวเองและก็เป็นผู้นำคนอื่น ปริยัติเป็นสิ่งที่ดี เป็นแผนที่ และก็ปฏิบัติมันเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เค้าแชร์ตำแหน่งกันอะไรต่างๆ แชร์ตำแหน่งเพื่อให้ทุกคนเป็นโจรเป็นขโมยนะ เช่นว่าเจ้าตำบลอยู่วัดนู้น เจ้าอำเภออยู่วัดนี้ เจ้าจังหวัดอยู่วัดนั้น ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ของเราที่มาเป็นผู้นำ มาพากันปฏิบัติ เพื่อจะแก้ไขน่ะ แชร์ตำแหน่งกันเป็นโจรนะ ต้องรู้จักนะ
ประเทศเรานี้มันอยู่ในกลียุค เพราะว่ายุคแห่งโจรครองเมือง ไม่ว่าฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายคณะสงฆ์ เพราะเราไม่เอาความถูกต้อง ไม่เอาความเป็นธรรม ความยุติธรรม เค้าเรียกว่าอยู่ในกลียุคที่ปกครองด้วยเอาโจร เอามหาโจรเป็นผู้ครองเมือง ทุกท่านทุกคนต้องเดินตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดช ผู้ที่ให้เราพัฒนาทั้งเทคโนโลยี พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ต้องเสียสละ ถ้าเราทำได้คนอื่นเค้าก็ทำได้ เพราะคนอื่นตาเค้าก็ไม่บอด หูก็ไม่หนวก เค้าก็ดูเราอยู่ ถ้าเราเอาตำแหน่งเพื่อมา เพื่อหวังผลประโยชน์ เค้าเรียกว่ามีอำนาจอย่างโง่ๆ มีความรวยอย่างโง่ๆ อย่างนี้ไม่สง่างาม
เราสมัครเพื่อจะทำงานเราก็ทำงาน สมัครเพื่อทำงานแล้วก็ไม่ทำงาน งานของเราก็คืองานเสียสละ พระพุทธเจ้าน่ะทรงบรรทมวันหนึ่ง 4 ชม. ทำงานเสียสละ มีความสุขในการเสียสละวันละ20 ชม. เราเป็นประชาชนเราก็นอนวันหนึ่งก็ 6 ชม. 8 ชม. อะไรอย่างนี้เป็นต้นสำหรับเด็ก เพราะเรื่องกินเรื่องกามอย่างนี้เราต้องรู้จัก เพราะอาหารทุกอย่างเป็นยา บ้านที่อยู่อาศัยที่เรานอนพักผ่อน ก็ถือว่ามันเป็นยาชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้นอนพักผ่อนสบายมันก็นอนไม่อิ่ม มันต้องมีที่อยู่ เรามีอุปกรณ์อะไรต่างๆมีรถ มีเรืออย่างนี้มันถูกต้องแล้ว เราก็อย่ามีอย่างโง่ๆ รวยอย่างโง่ๆ เราทำได้ปฏิบัติได้ ให้มันใจเด็ดใจเข้มแข็ง เราอย่าไปเกรงใจพรรคพวก เราต้องเกรงใจสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นน่ะความถูกต้อง มันจะไม่มี เราก็ถือโอกาส ถือเวลาเอาตำแหน่งนี้แหละ ต้องพัฒนาตัวเองก่อน ไม่ใช่เป็นมนุษย์จัดฉากนะ ต้องออกมาจากจิตจากใจ มนุษย์จัดฉากคือพวกลิเก พวกละคร พวกหนัง ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวบทละคร เค้าเรียกว่ามนุษย์จัดฉาก ไม่ได้ออกมาจากใจ ไม่ได้ออกจากการเสียสละ
ถ้าคนนี้ทำ คนนี้เดี๋ยวก็ทำ เดี๋ยวมันก็ความบกพร่องต่างๆ มันก็ค่อยน้อยลงๆ ถ้าเราเสียสละอวิชชา เสียสละความหลง มันถึงจะเป็นคนเก่ง คนฉลาด นี่แหละที่เรามองดูเราเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านลอยๆ เป็นอบต. ก็เป็นอบต. ลอยๆ เป็นข้าราชการก็เป็นลอยๆ มันเป็นการไปซ้อนกันอยู่ โดยที่ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นเจ้าคณะต่างๆ ก็เป็นลอยๆ อย่างมากก็มีแต่เดินเอกสาร ก็ไม่เห็นมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องจัดการสิ่งไหนไม่ดีก็ต้องให้มันดี ถ้าเราไม่โกงกินคอรัปชั่นน่ะ ทุกคนเอาด้วย จะเก็บภาษีเอาไปเพื่อไปโกงกินคอรัปชั่น มันก็ไม่อยากเสียภาษีนะ เพราะว่าเราทำไม่ถูก เราจะเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว รัฐบาลเล่ามันก็แก้ปัญหาไม่ได้ จะเอาคนเก่ง คนฉลาดมาบริหารไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นแต่เปลี่ยนโจรชุดใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ชุดเก่ามันแก่ไปแล้ว ชุดใหม่มันยังหนุ่มอยู่ก็มันยิ่งฉลาด เพราะว่ามันเรียนนอก ไม่ได้เรียนในไทย
อย่างพระคุณเจ้านี่ก็บางทีก็ไปเอาทางโลกเค้า ไม่ได้เอาตามพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธเจ้าท่านให้ฉันในบาตร มองดูในบาตร พระคุณเจ้าก็ไปฉันโต๊ะจีน ฉันอะไรๆ โอ๋ไปกันใหญ่ เดี๋ยวก็นั่งอยู่ให้เค้ามาเสริฟอะไร มีแต่เอาระบบฮ่องเต้มาใช้ บริวารก็คอยยืนดูว่าทานอันนี้หมดหรือยัง หมดแล้วเค้าจะเอาอันใหม่มาเสริฟ มีถ้วยเล็กๆ อันนี้เค้าเรียกว่ามันเพี้ยนไปใหญ่ละนะ พวกพระผู้ใหญ่อย่าไปทำให้พระผู้น้อยเสียคน นี่หลวงพ่อเห็นอยู่ประเทศเกาหลี นี้มันเป็นระบบที่พวกบริโภคกามเค้าพากันทำ โต๊ะจีนฮ้องเต้ หรือว่าประธานาธิบดีเค้าทำกัน ที่เรียกกันว่าท่านๆ พระคุณเจ้าก็หลงประเด็น ไปนั่งกินโต๊ะจีน มันก็ไม่ได้สำรวมในบาตร มันก็สำรวมเหมือนพวกประชาชนที่เค้าบริโภคกาม เราดูๆ แล้วมันก็น่าจะสลดใจ ถ้าพระพุทธเจ้าดูเรา ท่านก็คงส่ายพระพักตร์ว่า น่าสลดสังเวช พวกนี้มันมืดเหลือเกิน ผู้ที่แก่เรียนผู้ที่จะประสาทสัมผัสเร็วหน่อยก็รู้ตัวนะ อย่าให้มันเพี้ยนไปมากนะ เรากำลังจับกลุ่ม จับพรรคพวกกันไปในทางที่ไม่ดีนะ
เราต้องเคารพยำเกรงต่อพระพุทธเจ้ามากกว่าคนอื่นใด เราอย่าไปเกรงใจคนรวย อย่าไปเกรงใจผู้มีอำนาจทางการเงิน ผู้มีอำนาจทางการเมือง เราอย่าไปคิดว่าเราให้เกียรติแก่คนเหล่านี้ เพราะเราต้องยำเกรงในพระพุทธเจ้า เราต้องให้เกียรติพระพุทธเจ้า เหมือนหลวงพ่อชาไปฉันในวัง ทุกท่านก็ฉันในสำรับที่เขาจัดมา แต่ท่านหลวงปู่ชาเอาอาหารที่เขาประเคนแล้วเอามาใส่บาตรๆแล้วก็ฉัน พวกเจ้าคุณทั้งหลายก็ถาม ท่านอาจารย์ชาไม่ฉันอาหารที่เขาจัดมาอย่างดี ทำไมไปเอาใส่บาตร เราต้องให้เกียรติพระเจ้าอยู่หัว หลวงพ่อชาบอกว่า ผมหน่ะให้เกียรติพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านประเสริฐ เพราะท่านทรงทศพิธราชธรรม ทำตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พวกเราถึงได้มาที่นี่ เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะเรื่องกตัญญูกตเวทีเป็นเรื่องใหญ่ ทุกอย่างเราก็ทำเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อธรรมะ เพื่อวินัย เพราะทุกคนจะได้ดีก็เพราะพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างอื่น พระธรรมวินัยถึงเป็นสิ่งที่เคารพนับถือของพวกเราทุกๆคน
ชีวิตที่ผ่านมาถ้าใครทำผิดพลาดในเรื่องนี้ก็ต้องหยุด เราอย่าไปเอาตัวอย่างที่มันไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่การเสียสละ มาใช้มาปฏิบัติ เราไปประชุมกัน ก็ต้องพากันทำให้ดีๆ ให้เป็นตัวอย่าง เพราะเราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นผู้นำ ก็ต้องเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง อย่าพากันเพี้ยน ประชาชนทุกคนพร้อมที่จะเสียภาษี เสียอากร ถ้าไม่มีข้าราชการโกงกินคอรัปชั่น ถ้าไม่มีนักการเมืองโกงกินคอรัปชั่น ใครทุกคนก็อยากให้ประเทศชาติบ้านเมืองมันเจริญ แต่เมื่อรู้เห็นเต็มหูเต็มตามันทำใจไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องพากันได้ยินได้ฟัง พากันคิดพิจารณานะ แล้วเราจะเฉยไปเรื่อย เหมือนหมีกินผึ้งหลับตาไปเรื่อยไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมรับฟังความถูกต้อง เราก็ไม่แตกต่างอะไรกับหมีกินผึ้ง ลืมตาไม่ได้เดี๋ยวผึ้งจะต่อยตา คือเลยว่าไม่ถูกต้อง ว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่น บ้านเมืองฉิบหายนะ พระศาสนาฉิบหาย เราเป็นผู้นำไม่ได้ ผู้นำต้องพากันมาเสียสละ ผู้นำต้องไม่มีโจรอยู่ในใจ มีแต่ธรรมะอยู่ในใจ มีแต่ความถูกต้องอยู่ในใจ ไม่มีอคติทั้ง ๔
ที่เราลองมาคิดในใจว่า ในกรุงเทพ ทำไมวัดหลวง วัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง สมเด็จก็อยู่ที่นั้น เจ้าคณะภาคก็อยู่ที่นั้น เจ้าคณะอะไรก็อยู่ที่นั้น อยู่ที่นั้นมันดีแล้วมันถูกต้องแล้ว จะได้ทำงานไปในแนวเดียวกัน ทีมเดียวกัน มันจะได้มั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เพื่อให้ไปในทางเดียวกัน เดียวนี้นะถึงแม้จะอยู่ไกล ก็คุยกันต่อหน้าเลยก็ได้ เพราะไอที สื่อสารมวลชนมันทำได้ แต่ต้องพากันมาเสียสละ ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ทุกๆ คนที่จะได้มีความสุข จะได้อนุโมทนา ในความมีความเป็นที่ถูกต้อง เราดูแล้วมันแก้ได้อะไรได้ เหมือนพระไม่เอาเงินเอาทอง ค่าน้ำก็ไม่ลำบาก ค่าไฟก็ไม่ลำบาก ค่าดูแลวัดตัดหญ้าซ่อมแซมมันก็ไม่ลำบาก ถ้าเราเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ระบบที่สละเสียซึ่งตัวตน มันไม่มีปัญหา
เมื่อเราทำผิดกันเป็นขบวนการ ประเทศชาติก็สะดุด ติดในบาปในกรรม ต้องแก้ต้องปรับทุกฝ่าย ทุกคนต้องไม่เห็นแก่ตัวมันถึงจะได้รับประโยชน์กันทุกฝ่าย กิเลสมันเป็นของไม่ดี ความเห็นแก่ตัวเป็นของไม่ดี ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องเป็นผู้เสียสละเป็นผู้เกื้อกูล...
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรม ท่านมาเทศน์มาสอนธรรมที่เป็นข้อสำคัญข้อแรก ท่านสอนให้มีเมตตา การให้ทาน ความเสียสละ เพราะคนเรามันเป็นผู้ที่หลงผิดเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว มันถึงได้เกิดมา เรามองเห็นง่ายๆ เช่นเรามาอยู่ในท้องก็เป็นผู้เอาแล้ว เอาเลือดเอาเนื้อจากพ่อจากแม่ เอาอาหาร การดูแล การอุปถัมภ์อุปัฏฐาก จากพ่อแม่ การเรียนการศึกษาก็เอาจากพ่อจากแม่ ไปทำการทำงานก็จะไปเอาจากคนอื่น เราล้วนแต่เป็นผู้เอา "พ่อแม่ยากจน ไม่วยไม่มีทรัพย์สมบัติให้ ก็ไปว่าพ่อแม่อีก...."
พระพุทธเจ้าของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านถึงให้เราเป็นผู้เสียสละนะ... ที่เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เราเป็นผู้เอาทั้งนั้น ไม่เสียสละ การเสียสละถึงจะมีคุณธรรม คุณงามความดีเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนต้องพึงปฏิบัติ ถ้าเราไม่หยุดเป็นผู้เอา มันก็เพิ่มความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เราไปยิ่งทวีคูณ พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาให้เราสร้างความดีสร้างบารมี
"จะพากันโลภไปถึงไหน...?" วันหนึ่ง วันหนึ่ง เราทานอาหารไม่หมดมากเท่าไหร่ ก็ต้องรู้จักแบ่งปันให้คนอื่นเกื้อกูลคนอื่น เวลาตายไป เวลาละสังขาร ยมบาลเขาไม่ได้ถามว่าตอนที่เกิดเมืองมนุษย์เรารวยมั้ย เป็นมหาเศรษฐีมีเงินกี่ล้าน เค้าไม่ถามอย่างนั้น มีตำแหน่งอะไร เป็นนายพลหรือเปล่า เป็นซี 10 ซี 11 หรือเปล่ เป็นเจ้าคุณหรือเปล่า เค้าไม่ได้ถามอย่างนี้ เขามีแต่ถามว่าเมื่อเปิดโอกาสให้เกิดในเมืองมนุษย์ ได้ทำความดีอะไรไว้บ้าง?
คนรวยส่วนใหญ่เมื่อตายแล้ว เมื่อละสังขารแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงว่า คนรวยๆ ไปเกิดในนรกมาก เพราะมีความโลภมาก มีความหลงมาก พวกคนจนยังไม่ตายก็ตกนรกแล้ว เพราะมันทุกข์ มันยากมันจน ไม่ขวนขวาย ไม่เสียสละ ไม่ขยันหมั่นเพียร หลงในอบายมุข ทำแต่บาปกรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าก็ตกนรกเหมือนกัน เป็นสัตว์เดรัจฉาน ส่วนใหญ่เหมือนกัน
เราจะเป็นคนจนคนรวยไม่สำคัญนะ มันสำคัญที่เราต้องเป็นคนดี มีศีล ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อตัวเองนำตัวเองออกจากวัฏฏสงสาร...
ถ้าใจของเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมองไม่เห็นนะ คนเรามันลืมอดีตที่ผ่านมา เมื่อเราเคยทำอะไรเมื่อปีก่อน ในวันเวลานั้นๆ เราลืมหมด เขาเรียกว่า “สันตติ" มันขาดไป มันไม่ติดต่อ มันจำไม่ได้ นอกจากพระอริยเจ้าผู้ที่ท่านทรงอภิญญาฌาน เขาเข้าสมาธิระลึกชาติได้ บางองค์ก็ระลึกชาติได้หลายชาติ แต่ก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ระลึกได้หมด แม้แต่ตัวท่านเองและบุคคลอื่นท่านก็ระลึกได้หมด
บ้านเมือง สังคม ประเทศชาติ มันเป็นภาพรวม มันเป็นส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่แก้ยาก คิดไปแล้วมันก็ปวดหัว เป็นไมเกรน เป็นโรคประสาท
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปแก้ไกลขนาดนั้น ท่านให้เราไปแก้ที่ตัวเองนี้...เราจะให้คนอื่นเค้าดีทั้งเมืองมันไม่ได้ อันนี้มันเป็นโลก เป็นสังคม เป็นวัฏฎสงสาร แม้แต่นิ้วมือของเรา มันก็ยังยาวสั้นไม่เสมอกัน ทั้งๆ ที่มันเกิดวันเดียวกัน ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าอันนี้มันเป็นโลกเป็นวัฏฏสงสาร เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เราสร้างความดีสร้างบารมี อย่าไปดูคนอื่น ให้กลับมาดูกาย มาดูวาจา มาดูใจของเรา เมื่อมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ ก็ให้มาแก้ไขที่ใจของเรานี้แหละ... เพื่อเราจะเป็นคนมีคุณธรรม ได้ดีมีคุณธรรม พูดดีมีคุณธรรม เราจะได้เป็นผู้นำของตนเอง ให้เราถือว่าเราเกิดมาเพื่อทำความดีเพื่อสร้างบารมี เกิดมาก็มาคนเดียวนะ เวลาตายก็ตายไปคนเดียว
"เมื่อเราเป็นคนดีมีความเกื้อกูลต่อคนอื่น มันดีมีประโยชน์" พระอาทิตย์อย่างนี้ที่มันขึ้นตอนเช้า ตกตอนค่ำ มันดวงเดียวนั่นแหละ... แต่มันให้ความสว่างแก่โลกทั้งโลก...
เราคนเดียวนั่นแหละ ที่ให้ความสุขความสงบแก่โลก อย่าได้ไปท้อแท้ท้อถอย คนเรามันติดความคิดของตนเอง...มันคา มันเลยบอกตนเองว่า 'ทำไม่ได้' อย่างนี้ มันไปคิดไกลเกิน...
คนเรานี้มันมีพลังจิตนะ... มันต้องสู้ชีวิตอย่างสุดๆ เพราะความคิดเรามันเป็นธรรมโอสถ ยิ่งประพฤติปฏิบัติไป ทำยิ่งๆ ขึ้นไปทุกวัน ยิ่งมีความสุขนะ เหมือนมีผืนแผ่นดินโล่งๆ เราท้อใจในความแห้งแล้งความว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ถ้าเราปลูกต้นไม้ เราคิดว่ากว่ามันจะโตก็หลายปี ความคิดอย่างนี้ เค้าเรียกว่าเป็นความคิดที่พ่ายแพ้ เป็นความคิดของผู้แพ้
เราอย่าไปคิดเรื่องอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีๆ เราลองคิดดูประเมินตัวเองว่าแต่ก่อนเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่คิดว่าเราจะเป็นคนเฒ่าคนชรา เราเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่...ไม่รู้ เป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน ความคิดของเรานี้มันอยู่กับอดีตกับอนาคตมากเกินไป... ไม่ทุ่มเทในปัจจุบัน ไม่กระตือรือร้นในปัจจุบัน สิ่งไหนมันไม่ดีในอดีตเก็บไว้หมด สิ่งดีๆ ไม่เก็บไว้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นผู้ที่เข้มแข็ง มีพลังจิตประดุจช้างสาร มองเห็นสิ่งที่ใหญ่ๆ โตๆ นี่เท่ากับเมล็ดงา เมล็ดงานี้ ช้างตัวใหญ่ๆ มันเตะมันเหยียบแตกหมด ให้เรามีพลังจิตพลังใจอย่างนี้
ความท้อแท้ท้อถอยให้พากันทิ้งไปให้หมด ต้องสดชื่น หนักแน่น เข้มแข็งด้วยการต่อสู้ ด้วยการทำความดี อย่าให้ความคิดความเห็นของเรามันไขว้เขว ให้ตั้งในความดีในความถูกต้องตลอดกาล... จริงแท้ต่อพระนิพพานต่อความดี อย่าพากันหลงช้ายหลงขวา บริโภคความขี้เกียจขี้คร้านความเห็นแก่ตัว...ไปวัน ๆ
ที่ใจของเรามันมีสะดุด มันมีความสะทกสะท้านในภัยอันตราย มันไม่ใช่ใจนะ...! มันคือพวกเหล่าเสนามารทั้งหลายทั้งปวงที่มาแทรกในหัวใจเรา เราอย่าไปหลบช้ายหลบขวา แล้วว่าปัญหาต่างๆ มันจะหมด ถ้าเราไม่แก้ไข ไม่กระตือรือวัน เราไม่ต่อสู้ เราไม่ผ่านอุปสรรคด่านนี้... พวกเหล่าเสนามารทั้งหลายทั้งปวงมันจะยิ่งมีพลัง มันคุมเราไว้หมด มันควบคุมให้เราเดินตาม เราอย่าไปกลัวเหนื่อยกลัวยากลำบาก ต้องอดต้องทนให้มันเกิดสมาธิขึ้นให้ได้ ถ้าเราไม่อดไม่ทนสมาธิมันไม่เกิด ต้องทั้งอด ทั้งทน ทั้งเห็นคุณประโยชน์ในการทำความดี ว่าทำอย่างนี้ดีแล้ว อย่าไปกลัว อย่าไปลังเลสงสัย ถ้าเราไม่เอาใหม่ก็ต้องเป็นอย่างเก่านี้แหละ...
เพราะโลกเป็นสิ่งเสพติด เหมือนยาเสพติด เป็นสิ่งที่ละได้ ต้องเข้มแข็ง กล้าละ กล้าปล่อย กล้าวาง ใช้เวลาอบรมบ่มอินทรีย์ ทำความดีต่อๆ กัน หลายๆ เดือน หลายๆ ปีติดต่อกันแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันจะดีของมันเอง
ขอให้ทุกท่านทุกคนนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนจะนำตัวเองออกจากวัฏฏสงสาร เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ดี เป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่ดี เป็นคุณหมอที่รักษาโรคทั้งทางกายทางใจที่ดี เป็นเป็นข้าราชการที่ดี นักการเมืองที่ดี ที่ประเสริฐ เป็นที่เคารพบูชาของประชาชน ทำงานเสียสละเพื่อปวงประชาให้มีความสงบสุขถ้วนหน้ากัน