PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
  • มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๗ ให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อสู้ เพราะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้
มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๗ ให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อส ... รูปภาพ 1
  • Title
    มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๗ ให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อสู้ เพราะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้
  • เสียง
  • 10966 มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๗ ให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อสู้ เพราะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ /lp-kanha/2022-05-26-12-37-31.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ชุด
มาประพฤติพรหมจรรย์
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • Tags
    มาประพฤติพรหมจรรย์ | เพศสัมพันธ์
  • โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.) ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๗ ให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อสู้ เพราะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ (บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทุกคนต้องเดินตามพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราต้องพากันทำอย่างนั้น เพราะเราตามใครก็ไม่ได้ เราพึ่งพ่อ พึ่งแม่ พึ่งบ้าน พึ่งรถ ข้าวของเงินทองเกียรติยศก็พึ่งได้ชั่วคราว พึ่งได้แต่ส่วนทางร่างกาย แต่จิตใจนั้นเราต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือใคร พระพุทธเจ้าคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ นั้นคือพระพุทธเจ้าอย่างนี้แหละ เราถึงปกครองตน หรือนำตนโดยเอาธรรมเป็นหลักการ คนเราจะมีเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นหลายล้านก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เราทุกคนรับได้ สุขก็สุขด้วยกัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน ถ้าเราเอาตัวตนเป็นใหญ่ หรือว่าเอาประชาธิปไตยเป็นหลักอย่างนี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้ ต้องธรรมาธิปไตย สามัญชนคนทั่วไปเอาส่วนรวมเป็นหลักอย่างนี้ ถือการเลือกตั้ง ถือคะแนนเสียง หรือถือ vote อย่างนี้ เอาคะแนนเสียงอย่างนี้ก็ ถือว่ามันก็ยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ถูกต้องแต่มันก็ดีระดับส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยิ่งเท่ากับเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่างลูกเรา ทำไมมันเถียงพ่อเถียงแม่ ก็พ่อแม่เอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ตัวเอง เอาแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ ลูกหลานก็เลยเถียง ทำไมประธานสงฆ์ถูกลูกวัดแอนตี้ ไม่ทำตาม ไม่ปฏิบัติตาม ก็เพราะเราเอาใจตัวเอง เอาอารมณ์ เอาความรู้สึกตัวเอง เรียกว่ามันไปไม่ได้ เราดูอริยสาวกของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพจะอยู่เป็นหมื่น เป็นล้านองค์ ก็เงียบสงบ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนก็มีความเห็นถูกต้อง เหมือนกัน มีกาย วาจา ใจ กระทำถูกต้องเหมือนกัน มันก็ไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่มีปัญหาก็เพราะเราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ การปกครองตัวเองอย่างนี้ เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ จะเอาใจตัวเอง เอาอารมณ์ตัวเอง เอาความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร มันไม่ฉลาดนะ มันโง่นะ มันเป็นบรมโง่นะ ที่วัดหนองป่าพงที่มีอาจารย์ชา หลวงปู่ชาเป็นผู้นำ ตั้งใหม่ๆ ไม่กี่ปี มี 2-3 สาขาอย่างนี้ อาจารย์ชาก็ส่งพระผู้ที่หลายพรรษาไปอยู่ ทุกๆ คนก็ยอมรับเชื่อฟังอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเอาพระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าสอน ที่อาจารย์ชาบอกสอน ว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่อย่างนี้แหละ ระบบจิตใจของเราเอาพระนิพพานเป็นหลัก มันก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าเจ้าอาวาสยังถูกความดึงดูดของโลก ยังทำไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหา ทุกคนก็ไว้วางใจอย่างนี้ ถึงตื่นพร้อมกัน เลิกพร้อมกัน ทำอะไรพร้อมๆ กันเพื่อมรรคผลนิพพาน เรียกว่า “สาราณียธรรม” เมื่อเจ้าอาวาสพากันไปอยู่หลายปีอย่างนี้ก็ ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ที่นี้แหละพระเค้าก็เห็นเณรเค้าก็เห็น เพราะว่าเค้าไม่ใช่คนหูหนวก ตาบอด ถึงปากเค้ายังไม่เถียง ใจของเค้าเถียง เพราะว่าคนเราเครดิตความเชื่อถือมันสำคัญ ที่นี้แหละเราดูที่มันเป็นดอกเห็ดไปทั่วเลยทีนี้ เจ้าอาวาสทุกเจ้าอาวาสก็ตามใจ ตามอะไร โอ๋...ทีนี้แหละทะเลาะกัน ทั้งวัดเลย ทั้งหมู่บ้านเลย เพราะว่ามันไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ การปกครองมันไปไม่ได้ ถ้าไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันเป็นระบบเรา ระบบหมู่เฮา ระบบตัวตน ทุกคนอย่าไปว่าตัวเองเก่งนะ ตัวเองฉลาดนะ นี่มันเป็นบารมีของธรรมะ บารมีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่บารมีของเรานะ บางทีทุกคนก็หลงตัวเอง นึกว่าลูกมันไม่มีสิทธิ์เถียง เพราะว่ามันเป็นลูก หลานไม่มีสิทธิ์เถียงเพราะว่าเป็นหลาน อันนี้มันไม่ใช่อย่างนี้แหละ เรามันเพี้ยนแล้วนะ ไม่ใช้เพี้ยนธรรมดานะ บรมเพี้ยนแล้วนะ เราต้องให้มันถูกระเบียบ ใครบวชก่อนคนนั้นก็ต้องเอาธรรม เอาพระวินัยให้เต็มที่ ให้ตัวเองเคารพตัวเองได้ กราบไหว้ตัวเองได้ นี่ตัวเองก็เคารพตัวเองไม่ได้ กราบไหว้ตัวเองไม่ได้ คนอื่นเค้าก็ยิ่งไม่รู้เรื่องของเรา เค้าจะมากราบไหว้ได้อย่างไร วัดวาศาสนาทำไมถึงเกือบจะหมดคนมาบวช มันจะมาบวชอะไร เพราะว่าไปทำตามโจร ทำตามภูตผี ปีศาจ ยักษ์ มาร อสูรกาย สัตว์นรก มันจะบวชเอาอะไร เค้าก็กลัวจะเป็นเหมือนพวกที่มาบวช ให้ทุกคนรู้จักปัญหานะ ปัญหามันอยู่ที่ตัวเอง ถึงแม้เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เราก็ต้องปฏิบัติธรรมของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้า เพราะศีลนั้นคือพระพุทธเจ้า ธรรมนั้นคือพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าสู่ระบบแห่งกระบวนการกระแสแห่งพระนิพพาน เค้าเรียกว่าเข้าสู่กฏแห่งกรรมที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล เราจะได้อบอุ่น เราจะได้มีความสุข หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถ้าพระไม่ดีจะทำอย่างไง ถ้าพระไม่เอามรรคผลนิพพานทำอย่างไง มันก็เป็นโจร เป็นมหาโจรน่ะ ดังที่พระพุทธเจ้าอุปมาถึงมหาโจร ๕ ประเภท คือ โจรที่รวมพวกกันได้นับร้อยนับพัน ยกพลบุกเข้าปล้นบ้านเผาเมืองฆ่าฟันผู้คน แย่งชิงปล้นเอาทรัพย์สินของเขามาเป็นของตนเอง เทียบได้กับภิกษุลามกรวบรวมบริวารแวดล้อมได้เป็นร้อยเป็นพัน ทำทีจาริกเข้าไปในหมู่บ้าน นิคม เมืองใหญ่ ใช้กลอุบายหลอกลวงให้ชาวบ้านหลงเชื่อเคารพบูชา เพื่อให้ตนได้มาซึ่งลาภสักการ จนร่ำรวยด้วยปัจจัย ๔ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๑” ภิกษุลามกบางรูปที่ได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยอันล้ำลึก ซึ่งพระตถาคตผู้ทรงตรัสรู้อริยสัจได้ประกาศแล้ว กลับฉ้อฉลอ้างว่ารู้มาด้วยตนเอง คิดขึ้นมาได้เอง ไม่ได้เล่าเรียนมาจากใคร ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๒” ภิกษุลามกบางรูปที่ปั้นเรื่องเท็จใส่ความเพื่อนพรหมจรรย์ผู้บริสุทธิ์ให้ได้รับความเสียหาย กล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๓” ภิกษุลามกบางรูปอยากได้ลาภยศสักการจากคฤหัสถ์ เบียดบังเอาครุภัณฑ์ ครุบริขาร เครื่องใช้ไม้สอยของวัด ที่ดินพัสดุของสงฆ์ นำไปยกให้แก่คฤหัสถ์ ประจบประแจงเอาใจ ภิกษุเหล่านี้ถือว่าเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๔” ภิกษุลามกพวกสุดท้ายที่จัดเป็น “มหาโจรชั้นเลิศ” ทั้งในโลกมนุษย์ มารโลก และพรหมโลก คือ ภิกษุที่อวดตนว่ามีวิชาความรู้วิเศษ ทั้งๆ ที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไม่สามารถทำให้วิเศษขึ้นได้จริงตามที่อวดอ้าง แต่เมื่อให้ได้มาซึ่งความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา ได้มาซึ่งลาภสักการ อันเป็นการกระทำด้วยอุบายหลอกลวงเหมือนดังนายพรานผู้วางเหยื่อดักสัตว์ เพื่อจับกินเป็นอาหาร แม้ผู้นั้นห่อหุ้มคลุมกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้ชื่อว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านในแบบลักขโมยด้วยการเนรคุณ ภิกษุลามกทุศีล “อวดอุตริมนุสสธรรม” เช่นนี้ถือว่าเป็น “ภิกษุอภิมหาโจรชั้นเลิศ” ประเภทที่ ๕ จึงต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่เหมาะสมที่จะต้องรับประเคนนะ เราจะเหมาะสมแก่เค้าเอาของมาประเคนหรือ ของมาทำบุญตักบาตรหรือ มันถูกต้องไหม มันเป็นธรรมไหม มันยุติธรรมไหม มันไม่ถูกต้องนะ เค้าถึงเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ นั่งเป็นแถว เดินเป็นแถว บวชก่อนบวชที่หลังอย่างนี้แหละ อย่าเอาของวัด ของสงฆ์ ของโรงครัวอะไร หรือว่าครุภันณ์นี่ไปแจกญาติ แจกโยม แจกเพื่อน แจกฝูง อันนี้เป็นระบบหมู่เฮา เดี๋ยวมันเสียการปกครองของพระพุทธเจ้า เสียปกครองของพระอรหันต์ ไม่ใช่ใครทำลายหรอก มิจฉาทิฏฐิที่มันมีอยู่ในใจของเราทุกๆ คนนี่แหละ เราอย่าไปเอาอย่างอื่น เราปรับปรุงกัน แก้ไขกัน เพราะว่าพระต้องมาว่าอยู่ที่วัด เกือบจะไม่มีพระแล้ว เพราะว่ามันทำไม่ถูก ทำไมมันหาคนบวชยาก เพราะว่าเรามันทำไม่ถูก ทั้งที่ระบบของประเทศไทยเรา การปกครองของประเทศต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้โอกาส ให้ข้าราชการมาบวช หรือว่าให้ประชาชนมาบวช เป็นผู้ที่บวชอาชีพ บวชไม่สึก ก็ต้องเอาระบบของพระอรหันต์มาใช้กันมาปฏิบัติกัน อย่าเอาระบบทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน นักบวชด้วยกันก็ไหว้ตัวเองไม่ได้ ประชาชนก็ไหว้ตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องสะพายยามไปหาซื้ออาหาร ซื้อของ มันต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรเยี่ยงอย่างประชาชน เยี่ยงอย่างฆราวาส อย่างนี้แหละถือว่ามันผิดพลาดนะ ไม่ใช่ผิดพลาดมาน้อยๆ นะ ผิดพลาดมามากแล้ว ตัวเองต้องมีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำสมาธิคือความตั้งมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปมี sex ทางความคิด มี sexทางอารมณ์ อย่างนี้ไม่ได้ เราเอาใหม่ปฏิบัติใหม่ ผู้ที่อยู่องค์สององค์ก็ชั่งหัวมัน มันก็คิดแก้ไขใจของตัวเอง ถึงจะอยู่น้อยองค์มันก็ดี ดีกว่ามีโจรเป็นเพื่อน บางคนก็เอาพรรคพวกเป็นพวกโจร เป็นเพื่อนกันเพื่อเกาะกลุ่มให้มันมีกำลัง มันจะเป็นอย่างไรก็ชั่งหัวมัน มันห่มผ้าเหลืองโกนหัวก็เอาแล้วอะไรอย่างนี้ คิดอย่างนั้นก็ไม่ได้เนอะ เพื่อจะหาผลประโยชน์ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเคร่งครัด ต้องเข้มงวดกับตัวเอง จิตใจต้องเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ปฏิปทาต้องแน่นอนต้องตั้งมั่นไม่ลูบๆ คลำๆ เรามาคิดดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา บางท่านก็มีศรัทธาตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติเนกข้มมบารมี แต่ไปพ่ายแพ้อารมณ์ของตัวเอง ก็ทำให้ตัวเองนั้นตกต่ำแล้วก็เสื่อมลง จิตใจไม่มีกำลัง จิตใจหมดศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติ ท่านว่า มันเป็นอันตรายสำหรับพระผู้ใหม่ และก็เป็นอันตรายต่อท่านผู้เก่าที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนพิจารณาจิตใจของตนเองว่า "จิตใจของตนเองนั้นเป็นอย่างไร...?" ได้บำเพ็ญ 'เนกขัมมบารมี' เหมือนพระพุทธเจ้าท่านพาเราทำหรือไม่ หรือว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตนเองเลย ความสุข ความสะดวกความสบายทางโลกๆ ทางวัตถุ...พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกเราสอนเราว่า "มันไม่จีรังยั่งยืน มันเจือปนด้วยยาพิษ..." อย่างเราเป็นพระ เป็นเณร จิตใจมันก็อ่อนแอ มันเลยคิดแต่เรื่องความสุขความสบายอย่างโลก คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงเรื่องอยู่ เรื่องกิน เรื่องเที่ยว ตลอดจนคิดถึงเพศตรงกันข้าม ถึงแม้ร่างกายของเราจะมาเป็นเพศนักบวช ปลงผม ห่มจีวร ซ้อนผ้าสังฆาฏิ แต่จิตใจของเรานั้นยังเกลือกกลั้วคลุกคลีในเรื่องทางโลก ทางวัตถุ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ เรายังมีอันตราย ถึงจะบวชกี่ปี การบวชของเรานั้นก็เป็นหมัน มันไม่เกิดประโยชน์ ธรรมมันจะเกิดไม่ได้ ปัญญามันจะเกิดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเราเป็นห่วงเรา กลัวเราจะพากันหลงในสิ่งเหล่านี้คนเรานะ... ถ้าจะคิดว่าทำทุกอย่างเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น มันคงเป็นไปไม่ได้...!ที่เราทำไม่ได้ ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าไม่ได้นั้นแสดงถึง ความที่เรายังยึด ยังถืออยู่ การรักษาศีล' พระพุทธเจ้าท่านถึงบัญญัติว่าไม่ให้เราทำอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ศาสนาเสื่อม...' ศาสนานี้มันไม่ได้เสื่อมนะ แต่เพราะหัวใจของทุกคนมันเสื่อม จนเป็นประชาธิปไตย พระเก่าที่บวชมาหลายปีถือว่าเป็นผู้ที่สำคัญ ถ้าพระเก่าไม่ได้มาตรฐานทำให้ส่วนรวมเสื่อม การฝึกตนเอง' จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อเราเป็นพระใหม่อยู่ ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจฝึก พระเก่าที่ยังไม่ได้มาตรฐาน พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราฝึกเหมือนๆ กับพระใหม่นั่นแหละ หลวงพ่อชาท่านฝึกพระปีหนึ่งๆ จะมีพระอาคันตุกะที่เข้ามาศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ ปีๆ หนึ่งหลายสิบรูป หลวงพ่อชาท่านก็ให้ พระอาคันตุกะที่เป็นเถระ ที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึก ท่านก็ให้ฝึกเหมือนพระใหม่ สะพายบาตรเอง ล้างบาตรเอง เพื่อฝึกให้เป็น ยังไม่ให้พระหนุ่มอุปัฏฐาก ถึงจะพรรษามาก บวชนาน แต่ยังไม่ได้ฝึกประพฤติปฏิบัติ บางทีก็ห่มผ้าง่ายๆ แบบมักง่าย วิธีเก็บบาตรก็ยังไม่รู้ เก็บผ้าก็ยังไม่รู้ รู้เพียงสัญชาตญาณ ยังไม่ได้ผ่านการประพฤติปฏิบัติ "พระพุทธเจ้าท่านสอนหมด การห่มผ้าให้เป็น 'ปริมณฑล' การอุ้มบาตร เก็บบาตร การพนมมือไหว้ ฯลฯ ต้องฝึก" อย่างสายของหลวงตามหาบัว ส่วนใหญ่พระที่มีพรรษามากๆ เขาก็จะไม่ให้พระหนุ่มเณรน้อยรับบาตร เขากลัวพระเถระ พระผู้ใหญ่จะหลงตัวเอง ตามธรรมวินัยแล้วก็ พระพรรษาห่างกัน ๑ พรรษา ๒ พรรษา ต้องรับบาตร รับจีวร อย่างหลวงพ่อชาท่านจะสอนละเอียด เรื่องรับบาตร รับจีวร ท่านจะถือวินัยละเอียดมาก เรื่องประเคน รับประเคน บางทีของยังไม่ได้ประเคน พระไปจับ ไปแตะ เคลื่อนที่ พระองค์นั้นก็ฉันไม่ได้ หรือพระทั้งวัดก็ฉันไม่ได้ เรื่องประเคนเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราคิดว่าอาหารนั้นเราจะฉันเหลือ รับประเคนแล้ว เราจะฉันหลังเที่ยงไม่ได้ ถึงแม้บางอย่างจะฉันได้ก็ตาม ครูบาอาจารย์ให้เราตั้งใจฝึก... พระพุทธเจ้าท่านให้ตั้งใจฝึก...เพื่อพัฒนาจิตใจของตัวเองจะได้มีธรรมวินัยเป็นเครื่องอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กับตัวเองไม่ได้...ไม่เป็น จะไปอยู่แต่สิ่งภายนอก จะอยู่แต่การพูดคุยคลุกคลีกัน เมื่อมันอยู่กับความสงบไม่ได้ อยู่กับธรรมวินัยไม่ได้ ก็ไปคลุกคลีพูดคุยเรื่องคนอื่น เรื่องสิ่งภายนอก ชอบไปคุยเรื่องคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น การที่พูดเรื่องคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ถูก พระของเราไม่สมควรที่จะไปพูดเรื่องคนอื่น... เขาเรียกว่า "ชอบนินทาคนอื่น" โดยเฉพาะพระเก่าๆ นี่ต้องสำรวมระวัง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเอง ปัญหาของเรามันก็ไม่หมดไป ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ... เป็นพระที่ไม่มีเครื่องอยู่ เป็นพระที่ชอบพูดเรื่องคนอื่นนินทาคนอื่น ตามพระวินัย มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันทำให้เรื่องที่ไม่มี ให้มีเรื่อง เรื่องเล็กก็กลาย เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องมันไม่มีสาระแก่นสาร ก็ทำให้มันมีเรื่องขึ้นมาจนได้ พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็น 'เดรัจฉานกถา' มันทำให้จิตใจของเราตกต่ำเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใครชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น นินทาคนอื่น ชอบพูดคุยเกี่ยวกับ สิ่งภายนอก ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ไขปรับปรุงตัวเอง จะได้เป็นพระที่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พวกแม่ชี ผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน พวกโยมเก่าๆ ที่โรงครัว ให้ระวังคำพูดของตัวเอง ให้ระวังปากของตัวเอง อย่าไปนินทาคนอื่น อย่าไปเอาเรื่องคนอื่นมาพูด มันหยุมหยิม เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฝึกเป็นคนนิ่งๆ สุขุมเสียบ้าง รู้จักหยุด รู้จักปล่อย รู้จักวาง ใครมันจะดีจะชั่ว ก็ช่าางหัวเขา เราเองก็เอาตัวให้มันรอด เป็นคนที่น่ารัก น่าเคารพนับถือ อย่าเอาแต่นินทาคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น "เรื่องคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา แต่เรื่องเรามันมองไม่เห็นนะ..." ให้เรามีความสุขในการทำการทำงาน เพราะการทำการทำงาน ก็เป็นการเจริญสมาธิ เจริญปัญญา ท่านไม่ให้เราสรวลเสเฮฮาเหมือนชาวประมงหาปลา โหวกเหวกเฮฮาเหมือนสนามชนไก่ คนเรา ถ้ามันยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข มันก็อายุยืน แต่ถ้ามันเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนคอนเสิร์ต มันก็ไม่ไหวนะ พระพุทธเจ้าท่านให้พระเณรทุกๆ รูป พิจารณาให้ดีๆ ...ถ้ามิอย่างนั้นการบวชของเรา ก็จะไม่เกิดประโยชน์ การบวชของเราก็จะเป็นหมัน ทำให้วัดนั้นๆ เสื่อม ทำให้สังคมส่วนรวมเสื่อม ทำความชั่วทำสิ่งที่ไม่ดี ใหม่ๆ ก็ละอาย หลบๆ ซ่อนๆ นานๆ ไป กลายเป็นความไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ต่อไปก็ไม่เลย ไม่มีเลย ไม่ละอาย การเจริญเนกขัมมะบารมีสำคัญมาก...สังเกตดู ผู้บวชมาไม่ว่าจะเป็นพระ เณร หรือแม่ชี จิตใจเขาไม่ทิ้งเรื่องทางโลกทางบ้าน อย่างนี้ปัญญามันไม่เกิด ธรรมะมันไม่เกิด ทำวัตรก็ขยันทุกๆ วัน นั่งสมาธิเป็นชั่วโมงๆ แต่ปัญญาไม่เกิด เพราะอะไร...? เพราะว่าเราไม่ตัดปลิโพธเครื่องกังวล ไม่ทิ้งทางครอบครัว ญาติๆ พี่ๆ น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ไปห่วงลูก กลัวลูกมันจะไม่รวย กลัวลูกมันจะเอาตัวรอดไม่ได้ เป็นห่วงหลาน ลูกไปทำงาน...ไม่มีใครเลี้ยงหลาน นั่งสมาธิก็ที่นั่งทางกาย แต่ใจมันไปเลี้ยงหลาน ใจไปอยู่กับธุรกิจหน้าที่การงานโน่น เป็นพระยังอยากรวยอยู่ เป็นแม่ชีมันก็ยังอยากจะร่ำจะรวยอยู่ อยากถูกหวยอยู่ ยังอยากถูกเลข ถูกเบอร์ เราคิดดูมันก็น่าอายนะ เป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี มันยังอยากรวยอยู่ ถ้าเราไม่ฝึกปล่อย ไม่ฝึกวาง จิตใจของเราจะเข้าถึงเนกขัมมะไปไม่ได้ เพราะใจของเรามันเศร้าหมอง ทำให้ปัญญาไม่เกิด เมื่อบวชหลายปีมันก็คิดท้อแท้แล้ว ทำไมธรรมะไม่เกิด...? ถ้าเรามาคิดดู มันจะเกิดได้อย่างไร? เพราะเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเนกขัมมบารมีเลย เราไม่ได้ละ ได้วาง ได้ทิ้ง ญาติโยมมากราบ ไหว้เรา เราก็ยังกระดากใจอยู่ เพราะเรามันไม่มีอะไรให้เขากราบเขาไหว้ มีแต่กิเลส ตัณหา อุปาทาน เรานี้แย่มาก อยู่ไปหลายปี บวชหลายปี ยังพากันสึก เพราะเราไม่พากันเจริญ 'เนกขัมมบารมี' เราเคยอยู่บ้าน เราเคยดูหนัง ฟังเพลง เราเคยท่องเที่ยว จิตใจมันชำนิชำนาญในสิ่งเหล่านั้น... พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เรามาหยุดสิ่งเหล่านั้น มาทิ้งสิ่งเหล่านั้น เห็นภัยเห็นโทษในสิ่งเหล่านั้น ถึงใจมันจะชอบจะยินดี เราก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยต้องวาง ส่วนใหญ่เราทุกๆ คนน่ะมันยังไม่ได้แก้ไขตัวเอง แล้วก็พากันไปคิดว่าวัดโน้นเขาปฏิบัติดี ครูบาอาจารย์เขาเข้มงวดดี ต้องไปอยู่ วัดนั้น วัดนี้ บางทีก็จะได้ดีกับเขาบ้าง "เราไปอยู่ที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติให้เรานะ ทุกท่าน ทุกคนต้องตั้งใจเอาเอง ปฏิบัติเอาเอง" 'อดเอา ทนเอา ฝืนเอา' ความอดทนนี้ทำให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เราอย่าไปว่า.. เป็นเพราะครูบาอาจารย์ เป็นเพราะเพื่อนฝูง เป็นเพราะรูป เสียง มากวนเรา สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้มากวนเรา แต่เป็นเพราะเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ สิ่งเหล่านั้นมันถึงมาเกิดที่จิตที่ใจของเรา ถ้าเราปรับปรุงใหม่อะไรใหม่มันก็จะดี เหมือนที่กล่าวหลวงปู่มั่นท่านก็พาพระเณรเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นยุคต้นที่เป็นพระอรหันต์ก็พาสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ทุกคนก็ไว้วางใจ ทุกคนก็มีความสุข มันก็อยากให้ มันก็อยากไหว้ เพราะไหว้มันได้บุญ มันก็อยากกราบ กราบมันได้บุญ อยากทำบุญตักบาตร เพราะได้บุญ เราทุกคนเจ็บไหม เจ็บปวดไหมที่ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารณ์น่ะ มันจะเป็นโรคประสาทแหล่ ไม่โรคประสาทแหล่ ไม่เป็นขบวนเลย ทุกๆ คนค้องพากันเข้าใจ พัฒนาทั้งเทคโนโลยี พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆกัน เราต้องมีสาราณียธรรม มารวมกันในครอบครัวของเรา ต้องเป็นครอบครัวของพระอริยเจ้า อย่าเป็นครอบครัวหลงในอบายมุขอบายภูมิ กินเหล้า เมาเบียร์ เมาเมีย เมาวิทยุโทรทัศน์ เมาอะไร เราต้องมีหลัก เพราะชีวิตของเรานี้ไม่ถึง 100 ปีก็ต้องจากโลกนี้ไป เราจะมีมรดกอะไรให้ลูกให้หลานที่เค้าจะได้ดำรงชีวิต เค้าจะได้เดินทางถูก ต้องฝึกอานาปานสติให้มันชำนิชำนาญ สมณะที่ 1-2-3-4 อยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8 เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ทีนี่แหละ เมื่อเราเอาระบบตัวตนอย่างนี้ เราไม่เอาธรรมเป็นหลัก ในครอบครัวเราก็ต้องทะเลาะกัน เพราะเราเอากิเลสเป็นสรณะ เราเอาตัวตนเป็นสรณะ มันก็เป็นมหาวุ่นวาย เอาใหม่ๆ มันเซ่อมันเบลอไปแล้วก็เอาใหม่ ตื่นเถิดชาวพุทธ พุทธนี้ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นหรอก หมายถึงมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ศาสนาทุกศาสนา ถ้าเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ก็ถือว่าเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเหมือนกัน ไม่เกี่ยวกับคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ อะไรต่างๆ ถ้าเราเอาธรรมเป็นหลักแล้วก็ เพราะว่าพุทธนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถ้าตัวตนนั้นไม่ใช่พุทธ พวกที่มีสังฆเภท เดินขบวน แย่งขยะกันนี่ไม่ใช่พุทธ คริสต์ก็ไม่ใช่ อิสลามก็ไม่ใช่ มันเป็นตัวตนเป็นวัฏฏะสงสาร การปกครองเรา ปกครองครอบครัว หรือว่าปกครองประเทศนี่ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ การปกครองประเทศนี่ไม่เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาธรรมะเป็นใหญ่ ประเทศเรามันจะไปได้อย่างไร ใครจะมาเคารพนับถือ ตัวเองก็แย่อยู่แล้ว ทิฏฐิมานะขนาดนั้น ตัวตนมากขนาดนั้น มันจะไปได้อย่างไง ว่าพรรคนู้นพรรคนี้ พรรคทั้งหลายทั้งปวง สรุปแล้วมันรวมอยู่พรรคเงินนะ พรรคเงินกับพรรคพวก กลุ่มนี้มันเป็นสังฆเพศนะ ที่มันทะเลาะกันเยอะๆ รัฐบาลสังฆเภท คณะสงฆ์สังฆเภท หรือว่าครอบครัวสังฆเภทนะ ถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เรานี้โชคดีจนาดไหนที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช นำเรามาหลาย 10 ปี ต่อด้วยสมเด็จพระราชโอรสที่เป็นผู้นำ การปกครองตัวเอง การปกครองครอบครัว หรือส่วนข้าราชการก็ดี หรือการเมืองก็ดีก็ต้องเอาความถูกต้อง เอาความเป็นธรรม ความยุติธรรม ทุกคนมันถึงจะยอมรับกันได้ ถ้าอย่างนั้นน่ะ มันคิดไม่ออกว่ามันจะไปได้อย่างไร คิดจนหัวระเบิด 7 เสี่ยง มันก็เป็นไปไม่ได้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ที่เป็นไปได้ก็คือ เป็นธรรมะ จะให้ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างไง เพราะคนเค้าไปทางโลก ความเห็นแก่ตัวมันคิดอย่างนั้น ไม่ได้หรอก ถึงแม้เรายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราก็ต้องเอาความถูกต้องของพระพุทธเจ้า หรือว่าเอาความถูกต้องของธรรมะเป็นหลักการ หลักวิชาการ การศึกษาของเรามันถึงจะไม่วิบัติ การปกครองของเรามันถึงจะไม่วิบัติ เรารวยเป็นเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีอย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่สมควรที่จะไปดำเนินอย่างนั้น ให้เอาใหม่ ให้ทุกคนมีศีล มีธรรม มีคุณธรรม ต้องไล่เปรต ไล่ผี ไล่ยักษ์ ไล่อสูรกาย ออกจากใจของทุกท่านทุกคนที่ คนที่ยังไม่ตายที่มีชีวิตอยู่ ต้องอยู่ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจปฏิบัติ ปักหลักต่อสู้ การปฏิบัติ อย่าเป็นคนสมาธิสั้น ทำอะไรก็จับจดไม่หนักไม่แน่น ญาติโยมที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ถือว่า 'เวลาชีวิต' มันใกล้ชิดเข้ามาทุกที...พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกชำระจิตใจของตนให้ขาวรอบ ฝึกตัดอาลัยในลูกในหลาน ฝึกตัดอาลัยในเรื่องเป็นเรื่องตาย เรื่องร่ำเรื่องรวย เรามาคิดดูนะ ไอ้ลูกของเรานี้ที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ลูกของเรา เพียงแต่เขามาเกิดกับเราเพื่อสร้างความดี สร้างคุณธรรม มันจะเป็นลูกเราได้อย่างไร แม้แต่ตัวเรามันก็ไม่มี ตัวลูกเรามันก็ไม่มี เดี๋ยวมันก็แก่ เดี๋ยวมันก็เจ็บ เดี๋ยวมันก็ตาย เดี๋ยวมันก็กลายเป็นของว่างเปล่า แต่ก่อนมีปู่ ย่า ตา ยาย มีบรรพบุรุษ เดี๋ยวนี้มันไม่มี เพราะว่า มันเป็นของไม่มี มันเป็นปรากฎการณ์ชั่วคราว ชั่วขณะ เราต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราจะเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่ได้สร้าง ความดี สร้างคุณธรรม มัวแต่มาหลงสมบัติ หลงลูกหลานอยู่นี้ เราก็ลองมาคิดดูดีๆ นะ คนที่เขาตายไป เขาเอาอะไรไปด้วยไหม...? เกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา มีแต่ตัวเปล่าๆ เขาสรรเสริญเราดีอย่างนี้ เก่งอย่างนี้ มีบุญมีวาสนา เราก็หลง ก็โป่งก็พอง ก็ชื่น ก็บาน ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของมันอยู่ปกติอย่างนี้ เขาว่าเราไม่ดี ไม่เก่ง ว่าเรายากจน ว่าเราโง่ไม่ฉลาด ใจของเราก็เหี่ยวแห้ง เราดูดีๆ นะ ถ้าเราไม่รู้จักคิดพิจารณาในสิ่งที่เขาสรรเสริญ นินทา ปัญญาเราก็ไม่เกิด เพราะว่าอันนี้มันเป็นโลก มันไม่ได้เป็นธรรม โลกมันทำเรา เพราะเราไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ให้เราพัฒนาตัวเอง อย่าให้โลกธรรม มาครอบงำจิตใจของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นชั่วขณะ มันตั้งอยู่ไม่ได้นาน ไม่เกิน ๗ วันนะ ถ้านานกว่านี้เดี๋ยวเราก็เป็นโรคประสาท พยายามฝึกปล่อยฝึกวางในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราไปจมอยู่กับลูก กับหลาน ไปจมกับเรื่องจนเรื่องรวยอย่างนั้น ปัญญาของเราไม่เกิดแน่ เพราะไม่รู้จักทำจิตใจของตนให้ขาวรอบ... ให้เอาใหม่ ให้ทุกคนมีศีล มีธรรม มีคุณธรรม ต้องไล่เปรต ไล่ผี ไล่ยักษ์ ไล่อสูรกาย ออกจากใจของทุกท่านทุกคนที่ คนที่ยังไม่ตายที่มีชีวิตอยู่ ต้องอยู่ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service