แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๖ ในแต่ละวันอย่าให้ความหลง ดึงดูดใจเราลงนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ความดึงดูดของโลก ที่เป็นแม่เหล็กใหญ่ ที่ดึงดูดสัตว์โลกทั้งหลายที่ให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ทุกๆ คนต้องรู้จัก สิ่งเหล่านั้นคืออบายภูมิก็คืออวิชชา คือความหลง คือความไม่รู้ ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันเป็นอบายภูมิ อบายภูมิก็มาจากอบายมุข อบายมุขก็เริ่มต้นจากมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง การปฏิบัติเลยไม่ถูกต้อง ถูกอวิชชา ถูกความหลงมันดึงดูดไป เป็นทั้งแรงดึงดูด, แรงขับเคลื่อน, แรงเหวี่ยง, แรงโน้มถ่วง, แรงเสียดทาน และแรงขนาน เป็นต้น
พระพุทธเจ้าถึงให้เรามารู้จักสภาวะธรรม ว่าเราต้องทวนกระแสที่พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ ได้เสวยภัตตาหารจากนางสุชาดา และก็อธิษฐานจิตลอยถาดทอง นี้เป็นบุคลาธิษฐาน ผู้ที่จะหยุดวัฏฏะสงสารก็ต้องหยุดตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกของตัวเอง คืออวิชชาความหลงที่มันดึงดูดเรา สิ่งเหล่านี้เรียนกว่าอบายมุข อบายมุขก็อย่างต้น อย่างกลาง อย่างละเอียด นี้จัดว่าอบายมุข เพรามันทำให้เราไปสู่อบายต่างๆ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
นรก ก็แปลว่าความทุกข์ แปลตามศัพท์ว่า “ภูมิที่นำคนบาปไป” นรกนี้ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ เริ่มต้นมันต้องเริ่มจากใจของเราในปัจจุบัน จนไปถึงที่นรกใหญ่ที่หลักจากที่เราตายแล้ว เราทุกคนต้องรู้จักวัฏฏะสงสารคือ ต้องมาเสียสละกัน ความสุขของเราถึงเริ่มต้นที่เสียสละ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป เราทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการกับตัวเอง เราจะได้บอกลูกเราได้ บอกหลานเราได้ บอกเหลนเราได้ เราเป็นผู้บวชก่อนเราจะได้บอกลูกศิษย์ลูกหา บอกอะไรส่งไม้ผลัด
เราพากันไปมองหาแต่นรกอยู่ไกลๆ เราไปมองหาตั้งแต่เปรตอยู่ไกลๆ อสุรกายอยู่ไกลๆ สัตว์เดรัจฉานอยู่ไกลๆ อันนี้มันไม่ใช่นะ นรกก็อยู่ในตัวเรานี้แหละ สัตว์เดรัจฉานก็อยู่ในตัวเรานี้แหละ เปรตก็อยู่ในตัวเรานี้แหละ อสุรกายก็อยู่ในตัวเรานี้แหละ
“ทุกๆ คนน่ะมีความทุกข์...คนรวยก็มีความทุกข์ คนจนก็มีความทุกข์... พระสงฆ์องค์สามเณรก็มีความทุกข์ สิ่งเหล่านี้แหละพระพุทธเจ้าท่านว่า เราพากันตกนรกทั้งเป็นเพราะวัตถุต่างๆ มันเผาเรา”
ทุกท่านทุกคนวิ่งหาความสุขความดับทุกข์ด้วยการเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง ทุกๆ คนเลยมีความวิตกกังวลอยู่ในใจลึกๆ เป็นห่วงอนาคตของตัวเอง เป็นห่วงอนาคตของญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลว่า เค้าจะได้อยู่ดีกินดีหรือไม่ ทำอย่างไรเขาถึงจะเจริญ ทำอย่างไรเขาถึงจะร่ำรวย
ท่านว่า...เราทุกๆ คน กำลังตกนรกทั้งเป็นอยู่อย่างนั้น เป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวยเป็นคนจนก็ทุกข์อย่าง คนจน เพราะจิตใจของเรามันหลงมันถูกเผา สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจของเราทุกวันนี้นะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปมองนรกสวรรค์ไกลเกิน นรกหลุมใหญ่อันนั้นมันยังอยู่ไกลอยู่ แต่นรกหลุมเล็กนี่สิ มันเล่นงานเราทุกคน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้จักปัญหา “ปัญหาที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่ใจของเราไม่มี 'ปัญญา' ใจของเรามีความเห็นยังไม่ถูกต้อง ใจของเรามันถึงไม่สงบ"
คนเราน่ะ เราไม่เข้าใจนะ เรารักษาศีลอย่างนี้ก็เพราะจะเอาพระนิพพาน เราทำงานก็จะเอาความรวย มีอยู่ มีกิน มีใช้ เหลือกินเหลือใช้ อำนวยความสะดวกความสบาย เราจะรักษาศีลก็เพื่อเป็นมนุษย์ร่ำรวย เพื่อจะเอาพระนิพพาน ความอยากอย่างนี้แหละเค้าเรียกว่าใจของเรามันเป็นเปรต เราปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เราไม่ใช่เพื่อเอาสวรรค์เอาพระนิพพาน เราปฏิบัติเพื่อพากันมาเสียสละ ทุกคนต้องมีความสุขในการเสียสละอย่างนี้แหละ สัมมาทิฏฐิของเราจะได้สมบูรณ์ เราไม่จำเป็นต้องไปอยาก เราต้องมีความสุขในการที่มาประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มันจะไม่ได้อมทุกข์ไว้
นี่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เราทำอะไรๆ ทุกอย่างอยู่ ทำเพื่อจะเอา มันถึงมีปัญหา มันถึงเป็นโรคผิดหวัง เป็นโรคซึมเศร้า โรคฟุ้งซ่าน เป็นโรคทรัพย์จาง อยากทุกอย่างก็คืออาการของเราเป็นเปรต ไม่อยากก็เปรตอยู่ดี ทุกอย่างมันไม่ได้ตามใจหรอก เพราะที่จะได้ตามปรารถนานั้นมันไม่กี่ % หรอก เราถึงเป็นเปรตในชีวิตประจำวัน ชีวิตของเราเลย มันมีคววามโลภเยอะ พวกเปรตถึงจัดเป็นอันนี้เนอะ แล้วก็จะมีอยู่ในตัวของเราทุกๆ คน ถ้าไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ดูพวกสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันยังไม่สะสม ไม่มีเงินฝากในธนาคาร ไม่มีบ้าน ถ้าเรามีเงินฝากธนาคารก็ต้องให้มันถูกต้อง มีบ้านมีรถก็ต้องให้ถูกต้อง เราต้องพัฒนาใจเราไปพร้อมๆกัน ใจทุกคนถึงจะไม่ได้เป็นเปรต ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่รู้จักตั้งใจเรียน แต่ก็อยากเรียนได้ อยากได้ที่หนึ่ง ใครก็อยากได้เป็นหมอ อยากเป็นอะไรๆ อยากเป็นมหาเศรษฐี โอ้...ใจพวกนี้มันเป็นเปรตเยอะ ไม่มีความสุขหรอก เรียนหนังสือก็ไม่มีความสุข ทำอะไรก็ไม่มีความสุขหรอก ทำงานทำการอย่างนี้ก็ร้อนนัก หนาวนัก
ให้ทุกคนเข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องสภาวะธรรมนะ เราฟังครูบาอาจารย์อย่างนี้มันก็สว่างไสว ฟังไม่กี่ชั่วโมงก็ค่อยลืมไปเพราะว่าเราเสียสละ ติดต่อต่อเนื่องไม่ได้
อสุรกายใจมันกลัวความดี กลัวความถูกต้อง กลัวความเป็นธรรมยุติธรรม กลัวเหนื่อย กลัวยาก กลัวลำบาก สิ่งที่ดีๆ มันกลัว สิ่งที่ไม่ดีมันไม่กลัว เค้าเรียกว่าใจของเรามันเป็นอสุรกาย ความกลัวเป็นอาการของจิตใจชนิดหนึ่ง เป็นอาการของอบายสัตว์ชนิดหนึ่งชื่อว่า “อสุรกาย” ถ้าเราพากันกลัว ไม่กล้าทำความดี เราก็เป็นลูกหลานของเปรตอสุรกายนะ ลูกหลานเปรตอสุรกายมันกลัวไปหมด กลัวผี เป็นคนหวาดสะดุ้งตกใจง่าย เป็นคนสติสัมปชัญญะน้อย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้กลัว ถ้าสิ่งไหนดีๆ ต้องรีบทำต้องรีบประพฤติปฏิบัติ ความแก่เราไม่กลัว เราจะกลัวมันทำไม กลัวมันก็ต้องแก่อยู่แล้ว ความเจ็บเราก็ไม่กลัว เราจะกลัวมันทำไม กลัวมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว ความตายเราไม่กลัว เพราะกลัวมันก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่ตายเร็วก็ตายช้า มันเป็นเรื่องปกติ แต่เรามีความเข้าใจผิด มีความเห็นผิดมันเลยกลัว ความกลัวมันมีทุกข์นะ ทุกข์จนนอนไม่หลับ มันทรมาน ทำไมมันถึงกลัวล่ะ เพราะว่าเราตามอารมณ์ไป ตามความคิด คิดไปจนมันกลัว ความคิดนี้ให้ทุกคนรู้จักนะ เราจะไปตามความคิดไปไม่ได้นะ
ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร ในนครสาวัตถี อสุรินทราหูซึ่งเป็นอสูรอุปราชของท้าวเวปจิตติอสุรบดินทร์ผู้ครองอสูรพิภพ ได้สดับพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากเหล่าเทวดาทั้งหลาย จึงมีความประสงค์จะฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ แต่คิดว่าพระพุทธองค์เป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก ตนเองมีร่างกายใหญ่หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก เมื่ออสุรินทราหู ไปเข้าเฝ้าสำคัญตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า จึงไม่ยอมแสดงความอ่อนน้อม พระพุทธองค์ทรงประสงค์จะลดทิฐิของอสุรินทราหูอสูร จึงทรงเนรมิตกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูอสูร ทรงนอนในลักษณะเสด็จสีหไสยาสน์ พระเศียรหนุนภูเขาต่างพระเขนย พระบาททั้งสองข้างที่วางซ้อนกันอยู่ สูงใหญ่กว่าอสุรินทราหู อสุรินทราหูต้องแหงนคอเพื่อชมพุทธลักษณะ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไปยังพรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์และต่างมองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์ดูมดปลวกตัวเล็กๆ อสุรินทราหูเกิดความกลัวต้องหลบอยู่ข้างหลังพระพุทธองค์ นับแต่นั้นมาก็ลดทิฐิมานะ อ่อนน้อมต่อพระพุทธองค์ และเมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดแห่งชีวิต
ความกลัว ความวิตกกังวลกลายเป็นคนคิดมาก เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ความทุกข์รบกวนจิตใจ ทุกคนเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง ของลูกหลาน ญาติพี่น้องของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่าไม่ให้เราห่วงเรื่องอนาคต เพราะว่าความจน ความรวย ความเจริญ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเราทำดี เราพูดดี เราคิดดี เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดกาล อนาคตดีแน่ เพราะว่าอนาคตมันมาจากผลการกระทำในปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่การกระทำของเราที่ปัจจุบัน อนาคตมันเป็นผลของการกระทำของเราในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้วิตกไม่ให้กังวล ไม่ให้กลัว ถ้าเราจะกลัว ให้เราเกรงกลัวต่อบาป อะไรคือบาป ? บาปก็ได้แก่ความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากทำความดี ไม่อยากเสียสละ ผู้หวังความเจริญน่ะต้องละความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากทำก็ต้องทำ เราจะเอาชอบใจไม่ชอบใจของเราไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่า “ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่ผ่านๆ มา ทุกคนมันขี้เกียจขี้คร้านนะ มันถึงมีปัญหา
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เอากายมาฝึกใจ อย่างการรักษาศีลนี้เป็นการเอากายมาฝึกใจ เพราะว่าใจของเรามันไม่มีตัวไม่มีตน มันต้องอาศัยกายเป็นเครื่องฝึก อย่างฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด พูดจาไม่ชอบ ดื่มน้ำดองของเมานี้ ดูๆ แล้วมันเป็นเรื่องของกายทั้งหมดที่ฝึกใจ
คนเรานะ เวลาทำความดีมันมีอุปสรรคเยอะ มันมีปัญหาเยอะ ทุกคนต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานา สิ่งสำคัญมันอยู่ที่จิตใจนะ ถ้าใจของเราไม่มีปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา เราจะไปกลัวมันทำไม
เรารู้จักแล้ว เราใคร่ครวญชัดเจนแล้วว่า เราทำไปมันถูกต้องมันดี เราติดสุขติดขี้เกียจขี้คร้านนี่มันไม่ดี เราจำเป็นที่จะต้องละ ต้องปล่อย ต้องวาง เราจะไปหวงมันไว้ทำไม เอาไว้ทำไม เรายังไม่ตายเราต้องตกนรกทั้งเป็นนะ
ความขยันนี้มันต้องปฏิบัติเป็นปฏิปทาในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันนี้ กรรมของเราที่มันเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ผลงานของเรามันออกมาไม่ดี เรายิ่งเป็นคนคิดมาก ยิ่งเป็นคนวิตกกังวล เดี๋ยวโรคอาหารไม่ย่อยมันจะตามมา เดี๋ยวโรคประสาทมันจะตามมา เดี๋ยวโรคจิตมันจะตามมา มันขบวนเดียวกัน มันเป็นพรรคพวกเดียวกัน
พระพุทธเจ้าท่านให้เราผ่านไปเถอะ ผ่านการขี้เกียจขี้คร้านนี่ ผ่านการติดสุขติดสบายนี่ ให้มีความสุข มีความพอใจ มีความยินดีทำแต่สิ่งที่ดีที่ถูกที่ต้อง เราอย่าไปกลัวความสุขมันหายไปจากเรา ความสุขนี้มันมีแก่เราแน่ในอนาคต แต่เดี๋ยวนี้เราต้องผ่านอุปสรรค เราต้องฝ่าฟันศัตรู อาศัยกายเป็นเครื่องฝึก มันทุกข์กายไม่เป็นไร ลำบากกายไม่เป็นไร ให้เราพอใจในการสร้างความดี สร้างบารมี เราจะไปโทษใครไม่ได้นะ เพราะเรามันโง่เอง พระพุทธเจ้าว่าเรามันโง่เองนะ ให้เราฉลาดๆ หน่อย เทคโนโลยีเขาพัฒนากันไปไกล แต่ว่าหัวใจคนนี้ไม่ได้พัฒนา พยายามที่จะแก้ไขแต่ภายนอก พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ไขภายใน แก้ไขจิตใจของเรา เอาความกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวออกจากใจของเรา
อย่าไปกลัวผี กลัวอสุรกายอยู่ไกล มันอยู่นี่ ที่ชีวิตของเรานี้ เราต้องรู้จักนะ ที่ไม่ได้ตามใจ มันโมโหร้าย เพราะคนเราจะเอาตามใจตามอะไรมันก็ เป็นเปรต เดี๋ยวมันก็พัฒนาขึ้นไม่ได้ตามใจก็เป็นยักษ์เป็นมาร โอ๋...แต่ก่อนไปหาแต่เปรตแต่ยักษ์แต่มารที่อื่น ไม่ใช่ๆๆ มันอยู่ในใจเรานี่แหละ
สัตว์เดรัจฉาน มันก็เป็นสัญชาตญาณ มันก็กิน มันก็นอน ก็พักผ่อน ก็ผสมพันธุ์ ถ้าเราเอาแต่อยู่เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องพักผ่อน เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ เค้าก็ต้องรู้จักตัวเองว่าอันนี้เรามันเป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน ทุกคนอย่าไปเครียด อย่าไปโมโห ถ้าเรากลับมาหาตัวเอง หาใจตัวเอง หาเหตุผล เราจะรู้ พวกสัตว์มันอย่างนั้นแหละ แต่คนที่ยังไม่ตายมันเป็นมากกว่านั้นอีก เราเป็นเปรตมันก็ไม่อยากทำงาน เพราะว่าพวกที่เป็นเปรตค่อยจะรับส่วนบุญกุศลกับพ่อกับแม่ พวกลูกคนรวยมันก็ไม่ตั้งใจทำงานทำการ ไม่เสียสละ เค้าเรียกว่าถือว่าเป็นพวกเปรตพวกหนึ่งที่ขอส่วนบุญกับพ่อกับแม่ ขอส่วนบุญกับรัฐบาล พวกที่กินบ้านกินเมืองพวกนี้เปรต พวกเปรตกินบ้านกินเมือง ถ้าพระเค้าเรียกว่ากินของสงฆ์ แล้วไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน เค้าเรียกว่าพวกเปรต หรือว่าเอาของสงฆ์ไปให้พี่ให้น้องให้ญาติวงศ์ตระกูล พวกประชาชนพวกกินเงินเดือนหลวง แล้วไม่ตั้งใจทำงานเต็มที่ แล้วไม่มีความสุขในการทำงาน เงินภาษีอากร ของประชนนี่ก็เช่นสร้างถนนหนทาง สร้างเขื่อน สร้างออะไรต่างๆ สร้างอาคารอะไรที่พัฒนาประเทศ ไปเบียดบัง ไปเอาเปอร์เซ็น อย่างนี้เป็นเปรตประจำประเทศ เค้าเรียกว่าไม่ใช่เปรตธรรมดา เค้าเรียกว่ามหาเปรต เปรตมีหลายขั้นนะ พวกที่กินของสงฆ์กับกินของประเทศนี้เป็นเปรตประเภทเดียวกัน ให้พวกที่กินบ้านกินเมืองทั้งหลายพากันรู้นะ ว่าเรานี้แหละเป็นมหาเปรต ประชาชนก็ให้รู้ว่าถ้าใครโกงกินคอรัปชั่น เค้าเรียกว่ามหาเปรต มหาเปรตก็คือเปรตใหญ่ เปรตที่ยิ่งใหญ่ เปรตที่มีอำนาจ เปรตที่มีพลังทำลายโลก ข้าราชการก็เหมือนกัน ข้าราชการนี่ก็คอยแต่เอาเปอร์เซ็น เท่านั้นเปอร์เซ็นเท่านี้เปอร์เซ็น มันจะไปร่ำรวยได้อย่างไรเพราะว่าตัวเราก็เป็นเปรต ตัวเราก็ขี้เกียจขี้คร้าน ลูกหลานเค้าก็ไม่เห็นตัวอย่างแบบอย่าง
เราลองมาคิดๆ ดูน่ะ ถ้าเราวิตกกังวลอย่างนี้เราจะได้อะไร...? พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติ ให้เรามีสมาธิ ให้เรามีปัญญา รู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ของตัวเอง ต้องไม่ให้โลกธรรม หรือว่าอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้มาครอบงำจิตใจของเรา
ถ้าเราจะไปทุกข์ตามอารมณ์เราก็แย่เหมือนกัน เพราะวันๆ หนึ่งเรามันก็คิดมาก ถ้ามันคิดมากเดี๋ยวใจของเราก็มีสุข เดี๋ยวใจของเราก็มีทุกข์... ตัวที่มันสงบๆ น่ะ ทุกๆ ท่านทุกๆ คน ต้องให้ใจของเรามันสงบ ถ้าเราไปรักใครชอบใครอย่างนี้ ก็สิ่งที่มันจะไม่เป็นทุกข์มันไม่มี ถ้าเราไปเกลียดใคร โมโหใครที่จะไม่ทุกข์มันคงเป็นไปไม่ได้
เราจะไปแก้สิ่งภายนอก ไปแก้สิ่งอื่นนั้นน่ะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะปัญหาของมนุษย์ส่วนใหญ่มันอยู่ที่ 'ใจ' ปกติทุกคนมันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากอยู่แล้ว แต่มันพากันคิดมาก มีความต้องการมากเลยสร้างปัญหาให้กับตัวเอง กลายเป็น 'โลกธรรม' ครอบงำ กลายเป็นต้องมีครอบครัว
ถ้าเรามีครอบครัวแล้วทีนี้เราก็ต้องทุกข์กับสิ่งใหม่ๆ เป็น กระบวนการ ต้องแสวงหาทรัพย์สมบัติ แสวงหาวัตถุเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกสบายแก่ตัวเราและครอบครัว เราดูคนส่วนใหญ่เค้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่มันยากลำบาก นี้แหละเราลองมาคิดๆ ดู ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นคนก่อใครเป็นคนทำให้เกิดปัญหา...? "ตัวเรานี้แท้ๆ เป็นคนที่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ขุดหลุมพรางให้ตัวเองไปตก"
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้จักใจ...รู้จักอารมณ์ อย่าพากันไปคิดมาก 'คิดมาก' มันก็ 'บาป' ถ้าเราไม่คิดอะไรเราก็ไม่มีทุกข์ ทุกคนก็ไม่อยากคิด เพราะคิดแล้วมันทุกข์แต่มันหยุด ความคิดตัวเองไม่ได้ มันทำใจให้สงบไม่ได้ ท่านว่า..."เราพากันชอบความวุ่นวายไม่ชอบความสงบ ว่าเรานี้ชอบสร้างปัญหา ไม่ใช่บุคคลที่แก้ปัญหา"
เวลานั่งสมาธิอย่างนี้ หรือทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้ก็ว่า ไม่มีเวลา แต่เวลาดูละครดูโทรทัศน์ดึกดื่นก็ไม่ยอมนอน นี้มันหมายถึงทุกคนไม่ชอบความสงบ การฝึกใจนั้นน่ะ ถ้าเราฝึกเฉพาะนั่งสมาธิ ทำวัตร สวดมนต์นั้น "ยังไม่เพียงพอ" ต้องปฏิบัติในกิจวัตรในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นที่ชอบ ไม่ชอบนั้นน่ะ เราต้องแก้ไจของเราให้สงบ...ให้มันระงับ... ให้มันหยุด...ให้มันเย็น กองไฟนิดเดียวถ้าเราไม่เติมเชื้อเพลิง เดี๋ยวเพลิงนั้นก็ดับไป "การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เราทุกท่านทุกคนจำเป็นต้องพากัน ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน"
ชีวิตของเราทุกคนถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่มีค่า ถ้าเรามาหลงทางโลกทางวัตถุในอนาคตน่ะ เราต้องได้รับความยากลำบากแน่ เรามาดีเรามาสว่าง พระพุทธเจ้าท่านว่า เราต้องสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป ฝึกจิตใจให้มันสงบ ให้มันเย็น ให้ตัวเองมันเข้าสมาธิให้ได้ ทำไปเรื่อยๆ มันอาจจะผิดบ้างถูกบ้างก็ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเราเป็นคนมักง่ายน่ะ ศีลเราก็ไม่อยากรักษา สมาธิเราก็ไม่อยากเจริญ เราจะเอาเจริญปัญญาอย่างเดียวน่ะ"เราเป็นคนขี้เกียจนะถ้าคิดอย่างนั้น"
ถ้าใจของเราไม่ว่าง เราจะคิดว่ามันว่าง... คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นคนติดสุขติดสบาย ไม่อยากประพฤติปฏิบัติแต่ก็อยากได้ อยากมีอยากเป็น เราต้องหยุดตัวเองให้ได้ เราต้องสงบตัวเองให้ได้ ทำใจของเราให้เย็นให้ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เวลาพ่อแม่เรา ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเราจากไปเราจะไม่เป็นทุกข์คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไปแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งไหนที่ข้าพเจ้าชอบข้าพเจ้าก็จะเอา สิ่งไหนที่ข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ไม่เอาต้องทำใจให้มันสงบ ให้หยุด ให้เย็น ถ้าเราไปหาสิ่งที่ชอบใจน่ะเราคงได้รับอันตรายแน่แหละ
เพราะทุกท่านทุกคนน่ะ ได้มีสมบัติติดตัวมาแล้วตั้งแต่เกิด คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ต้องทำความสงบไว้ เมื่อสถานการณ์อะไรต่างๆ เกิดขึ้น เราจะไม่ได้ไปมีทุกข์ เราต้องทำนะ ต้องปฏิบัตินะ
พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องรายรับ รายเสีย ท่านไม่ได้กดดันอะไรเรานะ คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรน่ะ ท่านก็สงสารพวกเราเมตตาเรา การรักษาศีลก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพานการทำสมาธิก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน การเจริญปัญญาก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน การเสียสละทั้งหลายทั้งปวง ก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน เพราะเรา 'มีตัวมีตน' นี้มีทุกข์มาก
คนที่เค้าเจริญก้าวหน้า เค้าก็ต้องคบกับคนดี คบกับบัณฑิต เมื่อเราไม่เป็นตัวอย่าง ลูกเรามันก็ต้องมาถ่ายทอดรับไม้ผลัด เหมือนกับวิ่งเล่นกีฬา มันก็วิ่งตามกัน มันก็เกี่ยวกับความดึงดูดของอวิชชา มันดึงดูดเรามาก เราต้องตั้งมั่นในยานวิเศษ ยานวิเศษก็คือศิลปะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘
พระเรานี้ถ้าไม่สงบทางใจนี่จะมาคอยรับส่วนบุญจากประชาชนที่จะให้ทาน รักษาศีล ทำความดี อย่างนี้ก็เป็นเปรตประจำพระศาสนา เพราะว่าพระเค้าก็มาจากคนรากหญ้า มาจากคนพวกที่ขี้เกียจขี้คร้าน บางทีก็ติดเหล้า ติดเบียร์ ติดยาเสพติด พวกนี้มันติดไม่เป็นไร แต่อันนี้เราก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติ มาช่วยกัน อย่าพากันมาเป็นมหาเปรต มาสอนแต่เรื่องหาวิธีที่จะเอาเงิน เอาสตางค์ อย่างคิดตามละก็ยังไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เรื่องเครื่องรางของขลัง เรื่องสร้างนู้นสร้างนี้ พูดจนโยมอดที่จะถวายตังค์ไม่ได้ เช่น ที่เค้าทำสีมา เดี๋ยวนี้เค้าพัฒนาขึ้น เอาพระไปยืนทุกตารางเมตร มันคิดได้อย่างลึกซึ้ง คิดได้เหนือมนุษย์ วิธีหาเงินน่ะ พระพุทธเจ้าน่ะไม่ได้สอนให้เราโง่อย่างนี้ เราไปสอนประชาชนให้อย่างนี้เนอะ อย่างประเทศไทยเราก็มี บางวัดก็มีลูกนิมิต เท่านั้นลูกเท่านี้ลูก ลูกใหญ่อะไรๆ วัดไหนคนขึ้นเยอะก็เอาลูกละล้านเลย ลูกใหญ่ลูกนึงก็ 5 แสนหลายแสน ถ้าเมืองนอกยิ่งหนักอีก เอาตั้ง 108 ลูก อันนี้ก็ถือว่าระบบความคิดของเปรตนะที่มันมาเสี้ยมสอน ความคิดของอวิชชา เพราะว่าอันนั้นไม่ใช่ศาสนาจะเจริญ
ศาสนาเจริญต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจที่มีสัมมาทิฏฐิที่เสียสละ พูดอย่างนี้ไม่แรงเกินไปหรือ โอ๋...หลอดไฟธรรมดาน่ะ มันไม่ไหวแล้ว ต้องใช้สปอร์ตไลต์แล้ว มืดเหลือเกิน แสงสว่างไม่พอ สปอร์ตไลต์ต้องหลายดวงด้วย พระพุทธเจ้าถึงเอา ๘ ดวงเลย อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนสปอร์ตไลต์ ๘ ดวง ถ้าเราส่องอวิชชา ส่องความมืด เพราะว่าพวกเปรต พวกผี พวกยักษ์ พวกมาร มันกลัวความสว่าง มันกลัวปัญญาของพระพุทธเจ้า พญามารกลัวมากถึงอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าพูดเป็นนัยๆ ให้พระอานนท์รู้ตั้ง ๑๖ ครั้ง พระอานนท์ก็ยังไม่รู้เลย เพราะว่าเป็นพระโสดาบันก็ยังสว่างยังไม่เพียงพอ ความรอบครอบยังไม่สมบูรณ์
ถ้าสิ่งไหนมันจะเป็นทุกข์ มันผุดคิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักแล้วอย่าไปตามความคิดไป เห็นไหมที่เรากลัวในสิ่งต่างๆ สิ่งที่สมควรกลัว เพราะว่าเราตามความคิดไป คิดจนมันกลัวน่ะ
วิธีที่เราจะแก้ความกลัวแก้ความคิดนี้ ให้เรากลับมาหาตัวเอง ด้วยการหายใจเข้าหายใจออกให้มันชัดเจน รู้ตัวทั่วพร้อมให้มันชัดเจน รู้จนจิตใจเป็นหนึ่ง ไม่ส่งออก ไม่ตามอารมณ์ไป จิตใจเป็นตัวของตัวเอง
ผู้ที่ไม่มีความกลัวก็ได้แก่พระอรหันต์ เพราะว่าท่านไม่ได้วิ่งตามความคิด ไม่ได้วิ่งตามอารมณ์ ท่านรู้อยู่แล้วว่าความคิดอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์ จะคิดมันทำไม คิดแล้วมันมีปัญหาเสียศักยภาพ ผู้ที่มีจิตใจกังวลมันมีความกลัวซ่อนอยู่
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักตัวเองนะ เราไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว เราทำดีๆ เราพูดดีๆ เราคิดดีๆ ชีวิตของเรามันก้าวไปด้วยการกระทำ เราจะไปกลัวมันทำไม วิตกมันทำไม ถึงเวลานอนก็ให้เรานอนให้มีความสุข ตื่นขึ้นเราก็จะได้มีเรี่ยวแรง มีศักยภาพทั้งทางกาย ทั้งทางจิตใจ
ธรรมะที่ทำให้ใจเรามีกำลัง ได้แก่ความพอใจในการทำความดี พอใจในการเสียสละ พอใจในการละความเห็นแก่ตัว มีความสุขมาก มีความเบิกบานมากในการทำความดี มีความเพียร มีความบากบั่น มีความพยายามไม่ท้อแท้ ถือเอาอุปสรรคนั้นเป็นการสร้างความดี ให้ถือคติว่าถ้าไม่มีความยากลำบาก มันก็ไม่ได้สร้างบารมีนะ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเป็นคนเหยาะแหยะไม่เอาจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงอุปมาไว้ว่าถ้าเราจะทำอะไรต้องทำจริง เอาจริง ท่านเปรียบเหมือนบุรุษที่ถอนหญ้าคา การถอนหญ้าคาต้องกำให้แน่น ถ้ากำไม่แน่นแล้วมันถอนหญ้าคาไม่ขึ้น เพราะหญ้าคารากมันแน่นมันเหนียว ต้องจับให้แน่น ถ้ากำไม่แน่นแล้วดึงกำหลวมๆ พอเราดึงหญ้าคามันก็บาดมือ ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังสม่ำเสมอ นิสัยเก่า อนุสัยเก่าเดี๋ยวมันก็กลับมาเหมือนเดิม อินทรีย์บารมีทุกคนน่ะ ถือว่าบารมีของเรามันยังอ่อน เราจะเอาใจของเราเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องปรับเข้าหาทางสายกลาง ถือศีล มีความตั้งมั่นคือสัมมาสมาธิ เราใคร่ครวญดูแล้วว่า สิ่งเหล่านี้มันดี มันถูกต้อง มันไม่ผิด คือ ปัญญา
ให้เรารู้จักผีนะ รู้จักเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มันไม่อยู่ไกลหรอก มันอยู่ในใจของเรานี้แหละ มันคอยหลอกคอยหลอนเราอยู่ตลอดเวลา เราอย่าไปกลัวผีข้างนอก ผีไกลๆ อย่าไปกลัว “ความเห็นผิดความเข้าใจผิดมันกลัวความดี”
ชีวิตของเราต้องเอาความถูกต้องเป็นเดิมพัน เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรม เอาพระวินัย เป็นเดิมพัน ต้องเสียสละ เพื่อพัฒนาสร้างอริยมรรค เพื่อตัดซึ่งตัวซึ่งตน ที่มันนำทุกๆ คนให้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสาร ให้เข้าถึงธรรม ถึงปัจจุบันธรรมให้ได้ในในปัจจุบัน เราไม่ต้องกลัว ปัจจุบันอย่างนี้เราต้องมีจิตใจที่โดดเด่น จิตใจที่ไม่มีอะไรครอบงำได้ มีแต่ธรรมะ มีแต่สภาวะธรรมที่ปราศจากตัวตน ให้ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหงอเหมือนแต่ก่อน ในโลกนี้เราไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว เพราะว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตใจของเราย่อมสง่างามโดดเด่นด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา