แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๖๔ กลับมาหาบ้านเราคือธรรมะ บ้านของเราคือการเสียสละปล่อยวางอยู่กับปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อพระนิพพาน เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ทรงบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เราที่ท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารนี้ เพราะว่าเราทำตามใจของเรา ที่ใจของเรายังมีอวิชชา มีความหลง มีความยึดมั่นถือมั่น อายุของเราทุกๆ คนส่วนใหญ่ไม่เกิน 100 ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่จริงๆ แล้วเราจากทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบันนี้ไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ที่มีปัญหาว่าตายแล้วไปไหน ก็ไปตามที่ชอบๆ เราชอบคิดอย่างไรมันก็ไปอย่างนั้น เพราะเรามีความหลง เพราะใจของเรามันชอบ ถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด ใจของเรามันก็เปรียบถึงเหล็กเล็กๆ ที่ถูกแม่เหล็กใหญ่มหึมาดึงดูดเข้าสู่กระแสตัณหา ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์เหล่านั้นเยิ้มอยู่ด้วยราคะ ร้อนอยู่ด้วยโทสะ งงงวยอยู่ด้วยโมหะ จึงไม่อาจก้าวล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ ต้องตกอยู่ในวังวนของตัณหานั้น เหมือนแมงมุมตกไปยังใยที่ตนสร้างไว้นั่นเอง”
ทุกคนน่ะมีเหตุมีผลมีอะไรมันมีเหตุผลที่เกิดจากอวิชชาเกิดจากความหลง มันมีความสุขก็สุขจริงอยู่ สุขอยู่ในเป็นมนุษย์รวย เป็นมนุษย์ที่เก่ง เป็นมนุษย์ที่ฉลาด แต่ว่าอันนั้นไม่ใช่เป็นพระอริยเจ้า ยังไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ตามอารมณ์ไป ตามอะไรไป
ในชีวิตของเรา เราถือว่ามันเป็นบทเรียนตามรูป เค้าเรียกว่าบทเรียน หูฟังเสียง เค้าเรียกว่าบทเรียน เพื่อให้เราฉลาด เพื่อให้เราตอบปัญหาและก็สอลตรงนั้นในปัจจุบัน ปริญญาที่เราเรียนมาน่ะ มันเพื่อประกอบอาชีพ ต้องเอาพัฒนาทั้งเทคโนโลยีและพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราจะได้ตอบข้อสอบ ปฏิบัติข้อสอบในปัจจุบันไป เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เพราะเราจะไปตามชอบใจ มันก็ต้องมีไม่ชอบใจ
ร่างกายของเราทุกคนมันก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย ได้เห็นพ่อแม่พี่น้องญาติวงศ์ตระกูล แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นเทวทูต เป็นเทวธรรม เป็นธรรมชาติมาบอกมาสอน เราทุกคนต้องพากันรู้จัก ไม่ว่าเราจะเป็นคนรวย คนจน เป็นเชื้อชาติศาสนาอะไร เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติให้มัน แก้ปัญหาได้ ทุกคนก็ต้องมีความเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ในปัจจุบัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น อยู่ที่เราเอง แต่ก่อนเราโง่ไปตั้งหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนชาติ เราพากันตามอารมณ์ไป พากันไปแก้ปัญหาภายนอก
ที่แท้จริงปัญหาอยู่ในใจของเรานี้ เรากลับมานะ กลับมาหาบ้านเราคือธรรมะ บ้านเราคือการเสียสละ บ้านเราคือศีล บ้านเราคือสมาธิ บ้านของเราคือการเสียสละปล่อยวางอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับหายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย อานาปานสติทุกคนต้องทำให้คล่องแค่วชำนิชำนาญ บ้านคนไม่คล่องแค่วไม่ชำนิไม่ชำนาญ จะมานั่ง 4-5 นาทีมันก็ไม่สงบแล้ว เพราะความดีถ้าไม่ทำเป็นประจำ มันก็เก้อเขิน
พระพุทธเจ้าท่านให้เรา รู้จักการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เรามีธาตุ 4 ขันธ์ 5 มีอายตนะทั้ง 6 ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่า เราเอาเค้ามาใช้งาน เอามาทำงาน ที่อายุเราที่ไม่เกิน 100 ปี ท่านจึงสอนเราทุกคนว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา เพราะทุกอย่างมันไปตามสภาวะธรรม อันนี้คือร่างกายสังขาร แต่ว่าใจของเราก็ ที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด ที่มันเป็นพลังงาน ที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด มันมีอิทธิพลมาก
ปัจจัย 4 ที่เราใช้สอย พระพุทธเจ้าถึงให้เราพิจารณาด้วยปัญญา ว่าเรามีความแก่ ความเจ็บ ความตาย และก็พิจารณาเรื่องอาหาร บ้านที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อันนี้เป็นเพียงใช้ชั่วคราวไม่ใช่ของจีรังยั่งยืน เราต้องรู้จัก ถ้าเราไม่รู้จักไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้จัก เราจะรวยอย่างไม่ฉลาด รวยอย่างคนไม่มีปัญญา เราจำเป็นก็ต้องมีบ้าน มีรถ มีอุปกรณ์ใช้ต่างๆ เพราะอันนี้มันเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวก แต่เราต้องเสียสละทางจิตใจนะ ถ้าอย่างงั้นเราจะพากันหลงอยู่ เหมือนพระภิกษุที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ชอบหลง ชอบอวด ชอบคุย ว่าเรานี้มีอาหาร มีที่อยู่ มีที่อาศัย และวันต่อไปเราเค้าก็จะยังมีถวาย เค้านิมนต์ อันนี้พระพุทธเจ้าเปรียบถึงอุจจาระ ปัสสาวะ อันนี้นะ
คนเราน่ะอย่างเทคโนโลยีที่เราพัฒนามาทุกวันนี้ มันก็ยิ่งดีที่อำนวยความสะดวกสบาย แต่ว่าเราต้องรู้จัก เราต้องใจเข้มแข็ง สัมมาสมาธิที่เราตั้งไว้ที่พระนิพพานเราก็พัฒนา เพื่อให้มันเข้าถึงธรรม เข้าถึงปัจจุบันที่เป็นธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันยึดมั่นถือมั่น ปัจจุบันหลงอย่างนี้ไม่ได้ ผู้ไม่เข้าใจนึกว่าไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีอะไรต่างๆ มันไม่ใช่ เค้าเรียกว่าต้องเป็นผู้มีอย่างมีปัญญา เพราะเราต้องเสียสละ เสียสละความขี้เกียจขี้คร้าน เราทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติเอง ปัจจัยคืออาหารนี่มันเป็นชั่วคราวนะ พระพุทธเจ้าถึงให้ทานอาหาร มันต้องมีหวาน มีเค็ม มีมัน แต่มีวิตามิน มีโปรตีนที่ตามอันนี้ บางทีเรามันก็ขาดเกินไป บางทีก็เพิ่มเกินไปจนเป็นโรคเบาหวาน ทีนี้แหละโรคภัยไข้เจ็บมามากมาย
พระพุทธเจ้าทรงประทานแนวคิดให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งเสวยพระกระยาหารมากกว่าปกติว่า “มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี มหาวราโหว นิวาปปุฏฺโฐ ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มนฺโท คนที่หาวนอนด้วย กินจุด้วย ชอบแต่นอนกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนหมูใหญ่ที่เขาเลี้ยงไว้ด้วยอาหาร เขาย่อมมีปัญญาเฉื่อยชา ชอบเข้าห้องนอนเป็นอาจิณ” พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สำนึก จึงเสวยอาหารตามที่ทรงแนะนำ ทำให้มีความสบายไม่อึดอัดและง่วงนอนอย่างแต่ก่อน จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสพระคาถานี้ด้วยสามารถอุปการะแก่พระราชาว่า :- มนุชสฺส สทา สตีมโต มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน ตนุกสฺส ภวนฺติ เวทนา สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยนฺติ. คนผู้มีสติทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้แล้วนั้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บน้อย แก่ช้า อายุยืน. ดังนี้แล้ว โปรดให้อุตตรมาณพเรียนไว้แล้ว ทรงแนะอุบายว่า "เธอพึงกล่าวคาถานี้เฉพาะในเวลาที่พระราชาเสวย และพึงให้พระราชาทรงลดโภชนะลงด้วยอุบายนี้" เขาได้กระทำเช่นนี้. ผลก็คือ พระองค์ทรงสามารถลดปริมาณพระกระยาหารที่เสวยต่อมื้อลงได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ทรงลดน้ำหนักลงไปได้สำเร็จ3
อาหารเป็นยารักษาโรคนะ บางทีอย่างกาแฟ กาแฟนี่มันก็เป็นยาสำหรับกระปรี้กระเปร่า หายง่วงนอน น้ำชา กาแฟ แต่เราก็พากันไปกินมา กินจนติด ทุกอย่างมันเป็นยา แต่ว่าเราติด มันเลยยาไป แต่ละคนก็ติดอาหารภาคของตัวเอง พ่อแม่บรรพบุรุษเคยกินก็ติด โอ๋...มันติด ติดแล้วก็ยังไม่พอ ก็พากันมาอวดมั่ง อวดมี อวดดี อวดอะไร ตรงนี้แหละพวกที่ติดนี่ สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์นะ
พวกที่อย่างเราเป็นคนเก่ง คนฉลาด มันก็คิดเก่ง คิดฉลาด ตามความคิดไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันจนนอนไม่หลับ คนนอนไม่หลับนี่มันเป็นคนเก่งคนฉลาดนะ มันคิดไปทางโน้นมากจนมันขาดสารในร่างกาย เราต้องดูอาหารทางร่างกายเราส่วนไหนมันจะทำให้อันนี้นะ พวกเค้าถึงจะมีดีท็อกซ์ ดีท็อกซ์คือถ่ายเทของเสีย พวกอเมริกาพาทำเมื่อสมัยเกือบ 100 ปีมาแล้ว ต้องระบายของเสียออก ทุกคนต้องมาพิจารณาบางทีอาหารมันต้องเพิ่มอาหาร เสริมอาหารอะไรๆ มันต้องควบคุมอาหารของเรา อาหารทางกาย อาหารทางใจ อาหารทางกายอันไหนทานได้หรือไม่ได้
ที่สำคัญต้องฝึกอานาปานสตินะ บางทีเรา อานาปานสติไม่แข็งแรง มันตื่นขึ้นมา คนคิดเก่งก็คิดต่อไปเลยมันก็นอนไม่หลับ อย่างนี้แหละเค้าถึงมีระเบียบในการคิด คนเราต้องมีระเบียบในการคิดทุกอย่าง อย่างมนุษย์เราประชาชนคนที่อยู่ทางบ้าน วันหนึ่งน่าจะนอน 6 ชม. นอนสี่ทุ่ม ตื่นตีสี่ ลุกขึ้นมาไหว้พระนั่งสมาธิสวดมนต์ ตั้งมั่นในคุณธรรมดีๆ ตอนค่ำ 2-3 ทุ่มแล้วก็ไหว้พระ นั่งสมาธิ จิตใจมันสงบ ส่วนใหญ่มันมีเรื่อง ที่จะทำให้หลับไม่ลง ต้องแก้ด้วยอานาปานสติ มันต้องมีระเบียบมีอะไรอย่างนี้นะ เราทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง เป็นคนรวยเป็นคนมีอำนาจแล้วก็ยังนอนไม่หลับ พวกนี้แหละมันอดที่เสียสละของอร่อยไม่ได้ มันต้องทานแต่ว่า ทานปริมาณน้อย
เพราะคนเรานี้มีกรรมเก่าที่จะต้องทำให้ถูกต้อง คนเรามันเกิดมาธาตุขันธ์เรามันกดดัน กดดันเหมือนแม่เหล็กใหญ่ที่ดึงเศษเหล็กวิ่งเข้าหา วันก่อนพูดเรื่องแร่ที่เป็นแม่เหล็กที่ดึงเข็มทิศไปหา พวกธาตุพวกขันธ์ก็เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่กดดัน ที่ให้เราใจไม่เข้มแข็งมันต้องข้ามให้ได้ ต้องแก้ไขตัวเอง เพราะต้องมีระเบียบในการคิด เพราะทุกอย่างไปจากความคิด ต้องฝึกอานาปานสติ อานาอานสติเราอาศัยแต่จะไปฝึกตอนนั่งสมาธิก็ไม่ได้ ต้องฝึกทุกๆอิริยาบถ เพราะเวลาเราทำงานก็มีความสุขในการทำงาน เพราะเราต้องมีความทำงานอย่างนี้ มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ เพราะความสุขเราจะไปเอาตอนไหน เราต้องเอาตอนปัจจุบัน ต้องมีความสุขในการทำงาน ขยัน เสียสละ รับผิดชอบ ไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง เพราะความสุขเรา จะว่าความดับทุกข์ก็ได้ ที่มันแก้ปัญหาได้ แล้วก็ต้องฝึกอานาปานสตินี้แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญ พวกที่คิดเก่ง วางแผนเก่ง เค้าเรียกว่าปัญญามันมากกว่าสมาธิ สมาธิกับปัญญามันไม่เสมอกัน ใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจมันฟุ้งไปข้างหน้า มันต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเราเป็นคนมีบุญนะ ก็เพราะว่าเหมือนพระพุทธเจ้าจะไปตรัสรู้ บำเพ็ญที่ไหนก็ไม่ดีเท่าความเป็นมนุษย์อายุไม่เกิน 100 ปี เพราะความเจ็บ ความแก่ ความตาย มันมาบอกให้เราไปพระนิพพาน เราไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักตาย ก็ถือว่าเราเป็นคนวิกลจริต เป็นคนบ้า เป็นคนหลง ที่มันหลงจนเข้าศรีธัญญา มันมากเกินไป
คนเรามันตามใจตัวเองได้อย่างไร เพราะว่าตามใจตัวเอง มันก็ได้ตามใจไม่กี่เปอร์เซ็นต์หรอก คนเค้าถึงเป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคฟุ้งซ่าน เพราะทุกอย่างมันไม่ได้ตามใจอยู่แล้ว เราถึงมารู้จักธรรมะ มารู้จักสัจจะธรรมอย่างนี้นะ เราจะได้พัฒนาตัวเอง ไม่ต้องไปที่ไหนหรอก เราก็อยู่ที่บ้านเรา อยู่ที่ครอบครัว อยู่ในสังคม เมื่อเราทำได้เป็นได้ เราก็บอกเพื่อนบอกฝูง เราจะส่งไม้ให้คนอยู่เบื้องหลัง เค้าจะได้รู้วิธี เพราะส่วนใหญ่ ถ้าได้รับความสำเร็จก็จะทำตามกัน ดูพระพุทธเจ้าได้รับความสำเร็จก็มาสอนประชาชน ประชาชนว่าไม่ทำตาม อย่างนี้มันขาดตอนไป ขาดตอนไป เหมือนคนทำดีอะไรก็ดี คิดดี เค้าก็เห็นเป็นเรื่องแปลกไป เราอย่าไปความสุขทางวัตถุ โอ...เรียนหนังสือก็เพื่อความพินาศ เรียนเพื่อวิบัติ ทำงานทำการไม่ได้อยู่ในศีลธรรม เพื่อวิบัติ มันต้องเพิ่มสัมมาทิฏฐิขึ้นไปอีก สันติภาพถึงจะเกิดในตัวเราทุกๆ คน เกิดทั้งในโลก ให้เอาธรรมะนี้ไปใช้ ทุกคน ทุกศาสนา เพราะคำว่า พุทธ นี้ ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคลนะ หมายถึง ตัวผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันไม่ใช่บุคคล คือธรรมะ คือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่หยุดการเวียนว่ายตายเกิด คำว่าศาสนาก็ให้เข้าใจ อย่าไปงมงายเอาสวรรค์ เอาวิมาน เอาอะไรๆ อย่างนี้เนอะ เราจะได้เข้าใจว่า โอ้...ทำอย่างนี้แหละมันถึงถูกต้อง ไปหาสิ่งที่ไม่มีมันไม่เจอหรอก ไปเจอแต่ของปลอมเยอะ ทุกวันนี้ของปลอมเยอะ
ส่วนใหญ่เรามันไม่ได้เบรกตัวเอง เราชอบทำตามใจตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้ตามใจตัวเอง ให้เราพยายามเจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อย่าได้ตามใจตัวเอง เบื้องต้นให้รู้จักตัวเองคนเราส่วนใหญ่ไม่รู้จักตัวเอง มันทำตามสัญชาตญาณที่มันเคยชิน
สถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน...พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คน อย่าได้พากันคิดอย่างนั้น เรามีชีวิตอยู่ เรามีลมหายใจอยู่ อย่างนี้มันก็ดีแล้ว มันก็เพียงพอแล้ว ให้เราพยายามขวนขวาย ให้เราพยายามเสียสละ ความตั้งใจอยู่ที่ไหน ความขยันอยู่ที่ไหน ความอดทนอยู่ที่ไหน ความสำเร็จมันก็อยู่ที่นั่น
คนเรานั้นมันต้องมาแก้ที่ใจตัวเอง แก้ที่การกระทำของตัวเอง แก้ที่คำพูดของตัวเอง เราเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม ไม่มีศักยภาพ ก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้มากๆ ให้เป็นพิเศษ ปฏิบัติความดีให้มันต่อเนื่อง เราปล่อยปละละเลยตัวเองมาตั้งหลายปี จะให้มันแก้ไขได้ทันทีนั้น มันเป็นไปไม่ได้! มันต้องอาศัยการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน
เรามันเกิดมาเป็นผู้เอา เป็นผู้ยึดถือ... เราเอาจากพ่อแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง จนเติบโตก็ยังเป็นผู้เอา ความคิดอย่างนี้ มันเป็นความคิดเห็นที่ผิด เข้าใจผิด คนเราถ้าเกิดมาไม่มีคนมาเอาอกเอาใจ ก็เป็นคนที่มีปัญหา ว่าตัวเองนี้ "บุญน้อย วาสนาน้อย พ่อแม่มีปัญหา ไม่ได้รับความเมตตา ไม่ได้รับความอบอุ่น เหมือนคนอื่นเหมือนลูกคนอื่น" ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะเป็นคนอ่อนแอ
เราจะเป็นคนที่ไม่มีกำลังใจ หมดกำลังใจที่จะทำความดี หมดกำลังใจที่จะทำงาน "มันจะชอบก็ทำ มันจะไม่ชอบก็ทำ มันจะเบื่อหรือไม่เบื่อก็ทำ" ปกติคนเราที่มีการเวียนว่ายตายเกิด ที่มีปัญหานี้ เพราะมันชอบทำตามอารมณ์ ไม่ได้ทำตามความถูกต้อง ขยันก็ทำ ไม่ขยันก็ไม่ทำ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้ เราจะเป็นคนสมาธิไม่แข็งแรง
พระพุทธเจ้าท่านให้เราถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ท่านให้เราตั้งใจปฏิบัติดีต่อเนื่องกัน ๕ ปีเต็มๆ ถ้าใจเรายังไม่ได้นิสัยของพระพุทธเจ้า ท่านก็ให้เราปฏิบัติเรื่อยๆ เพราะต่อไปในอนาคต เราต้องเป็นพ่อแม่ เราต้องเป็นครูบาอาจารย์ ต้องเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ ชีวิตของเรามันไม่ได้จบลงแค่ปัจจุบัน เราบวชนาน เราไม่อยากนั่งหัวแถว เราก็ต้องอยู่หัวแถว เราบวชนานพรรษามันก็แก่ ร่างกายมันก็แก่ สายพันธุ์มนุษย์นี้เป็นสายพันธุ์ที่ประเสริฐ มันก็ต้องแก่กล้าไปด้วย เราต้องทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเรา ให้เรานั่งอยู่เราก็รู้ ให้เราเดินอยู่เราก็รู้ ให้ใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว "เอาใจของเราอยู่เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์" ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ไหน เดินบิณฑบาต นั่งฉัน ก็ให้เรารู้ตัวเอง แล้วก็ให้รู้ใจตัวเอง ตัวเองคิดอะไร คิดดี คิดชั่ว คิดผิด หรือคิดถูก เราจะได้แก้ไขความคิดของเรา แก้ไขอารมณ์ของเรา
เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ ฝึกปล่อย ฝึกวาง ละตัวละตน เรามีตัวตนมากเท่าไรก็ให้รู้จัก "คนที่เขาเป็นบ้าก็ดี เป็นโรคประสาทก็ดี ส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบ้า เป็นประสาท เขาถือว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาดมีเหตุมีผล.."
"การที่เราอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ทุกๆ คน ก็ต่างมาทำความดีร่วมกัน" พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้เราไปมองดูคนอื่น เขาจะดี เขาจะชั่วอะไร... เดี๋ยวเราจะไปรับเอาสิ่งที่เขาไม่ดีมาใส่ใจเรา ให้เราพยายามเอาธรรมะมาใส่ใจของเรา เอาใจพระพุทธเจ้ามาใส่ใจของเรา
ถ้าเรารับประทานอาหาร ถ้าเราฉันข้าวในแต่ละวันนี้เพื่อความสุขในร่างกาย เพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อการพักผ่อน ก็ถือว่าเราไม่ได้พัฒนาตนเอง ไม่ได้เอาใจใส่ตนเอง
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เราจะมีสงครามในจิตในใจ เราจะอยู่ด้วยการขัดแย้ง อยู่ด้วยการต่อต้าน ไม่ได้กลับมาแก้จิตแก้ใจของเรา ไม่รู้จักว่า "โลกนี้เขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เรายังไม่เกิด" ให้เรารู้จักหยุด ให้รู้จักเย็น รู้จักฟังคนอื่นเค้าบ้าง เราจะเอาหัวชนฝาอย่างเดียว มันก็ตายเปล่า มันไม่มีประโยชน์อะไร
การบริโภคความสุขมันไม่มีเพียงพอ... มันมีอันนี้ ก็อยากได้อันโน้น มันวิ่งไม่หยุด มันวิ่งทั้งกาย มันวิ่งทั้งใจ ก็ให้เรารู้จักปล่อย รู้จักวาง เราขับรถก็รู้จักใช้เกียร์ว่างบ้าง รถมันจะได้พักผ่อน
'มนุษย์สายพันธุ์เก่า' นี้เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว แสวงหาแต่ความเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็เพื่อเห็นแก่ตัว การมาพัฒนาตัวเองใหม่ ก็ต้องมาละความเห็นแก่ตัว นั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ ก็ปวดขานิดๆ หน่อยๆ มันก็ไม่อดไม่ทน มันไม่อยากยึดมั่นถือมั่น มันเลยไม่อดไม่ทน
'การอดการทน' นี้เป็นการสร้างบารมี บ่มอินทรีย์ นั่งอยู่กับเพื่อนหลายๆ คน มันก็อยู่ไม่ได้ มันไม่ว่าง มันไม่สงบ ความคิดอย่างนี้ เป็นความคิดที่เรากำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เพราะเราเอาอัตตาตัวตนของเราเป็นใหญ่ เป็นความคิดที่มีเมตตาน้อย ถ้าคนมีเมตตาน้อย เห็นอะไรก็ไม่สบอารมณ์ มันจะเอาแต่พี่น้องพ่อแม่ตัวเอง แต่กับคนอื่นก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง
พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนให้เราว่าง แต่เราไปว่างแบบคนขี้เกียจน่ะ ที่อยู่อาศัยก็สกปรกเศร้าหมอง กลับเข้ากุฏิที่พักจะนอนก็นอนเลย ไม่มีการกราบพระ ไหว้พระ นั่งสมาธิ เข้ามาในศาลาอย่างนี้ มันยังไม่อยากกราบพระ มันว่าง มันคิดว่าพระอยู่ในใจ "นี่มันว่างอย่างคนมีความเห็นแก่ตัว..."
เราคิดอย่างนี้ 'ความว่าง' มันไม่ถูกต้อง มันเป็นความว่างที่เห็นแก่ตัว เพราะจิตใจมันไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม มันมีแต่อัตตาตัวตน "ต้องฝึก ต้องพัฒนา ไม่ใช่แค่นิดหน่อยนะ ต้องมากจริงๆ ถึงจะเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา... "
ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็ทำเพื่อละ เพื่อวาง เพื่อปล่อย เจริญเมตตามากๆ โดยนำตัวเองมาฝึก 'ฝึกไม่เห็นแก่ตัว' นะ... "ทำไป ฝึกไป ปฏิบัติทุกๆ วัน" ไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เรา ถึงเวลาทำอะไร เราก็รักษาระเบียบ รักษาวินัย เรามันยังมีกิเลสมาก มันต้องมีระเบียบมีวินัยใช่ไหม...? ในชีวิตของคนเรามันก็ต้องเป็นอย่างนั้นนะ คนเราต้องแก่ คนเราต้องเจ็บ ต้องตาย ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรากลัวนะ อย่างพระเรา เณรเรา ถ้าบวชไม่สึก มันได้เป็นอยู่แล้วครูบาอาจารย์ มันได้ช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
"มันแก่อยู่ แต่ว่ามันแก่แต่กาย" ต้องฝึกจนจิตใจมันเป็น ต้องฝึกจนจิตใจมันไม่สะดุด ถ้ามันกลัวอุปสรรคกลัวปัญหา แสดงว่าจิตใจมันยังสะดุดอยู่ จิตใจมันยังติดอยู่ เช่น ให้เราเทศน์ ให้เราแสดงธรรม ถ้ามันกลัวอยู่นี้ แสดงว่าเป็นอาการสะดุดทางจิตใจ มันเป็นจิตใจที่มีอัตตาตัวตน จะให้พรเราก็กลัว จะให้ศีลก็ยิ่งกลัว...
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีความสุข ให้เราเป็นคนรู้จักพอ พอใจในการทำดี พอใจในการเสียสละ
ทุกท่านทุกคนต้องฝึกสมาธิ เช่น เราทำการทำงาน ก็ให้ใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว อย่างนี้ท่านเรียกว่า 'เรากำลังเจริญสมาธิ' คนที่มีสมาธินี้ เป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีจิตใจเปรียบเสมือน 'แอร์คอนดิชั่นติดในหัวใจ' 'เรื่องพูด' เราอย่าไปทะเลาะกับใคร ให้ฝึกพูดดีๆ พูดเพราะๆ เราเองก็มีความสุข คนเรามีปัญญา ส่วนใหญ่คนที่มีความรู้มาก ก็มีเหตุผลมาก เราต้องมีเทคนิคในการพูด
เราเป็นญาติเป็นโยม เราต้องออกกำลังกายให้ร่างกายของเรามันแข็งแรง ฝึกหายใจออก...หายใจเข้าสบาย เดิน โยคะ จ๊อกกิ้งอะไรต่างๆ แกว่งแขน 'เวลานอน' ก็ให้เราตั้งใจนอน เพราะเวลานอนไม่ใช่เวลาคิดเรื่องธุรกิจการงาน เอาไว้ก่อน พักไว้ก่อน คนเรานอนไม่พอ พักผ่อนไม่พอ เพราะมันฟุ้งซ่าน มันควบคุมตัวเองไม่อยู่ เวลาเรานอนถ้าเราตั้งจิตไว้ที่ลมหายใจตรงปลายจมูก มันไม่สงบ ก็ให้เราตั้งไว้ที่ท้องหรือลิ้นปี่ มารู้ที่ท้อง ท้องยุบรู้ ท้องพองรู้ ให้มีความสบายที่ท้อง เดี๋ยวมันก็หลับไปเอง
เวลาตื่นขึ้น ตี ๑ ตี ๒ มันไม่ใช่เวลาตื่น ถ้าเราต้องการห้องน้ำปัสสาวะ ก็ห้ามไม่ให้เราคิดเรื่องอะไร เรื่องการงาน เรื่องลูก เรื่องหนี้สิน เรื่องพี่น้อง เรื่องอนาคต ถ้าเราคิดแล้วมันจะทำให้เรานอนไม่หลับ ถ้านอนไม่หลับแล้ว ตอนกลางวันมันจะไม่ค่อยมีความสุขสดชื่น ร่างกายของเรามันจะร่วงโรย การทำงานของเราก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพ ไม่ได้ศักยภาพ ถ้าเราปล่อยตัวเองตื่นขึ้นมาตอนดึกๆ มาคิดเรื่องต่างๆ นั้น อีกไม่นานเราต้องเป็นโรคประสาทแน่ๆ เป็นโรคอาหารไม่ย่อย กินข้าวไม่อร่อย ร่างกายเสื่อมโทรม เสียทั้งกำลังกาย เสียทั้งกำลังจิต
พระพุทธเจ้าท่านให้เราถึงเวลาปล่อยวาง ก็ปล่อยวาง ถึงเวลาทำก็ทำ ถึงเวลาหยุดก็หยุด เป็นคนมีระเบียบวินัย ตื่นขึ้นก็กราบพระไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำใจให้สบาย แผ่เมตตา ตั้งใจทำงานให้มีความสุขสิ่งไหนไม่ดี เราอย่าไปคิด มันเป็นไปไม่ได้ก็อย่าไปคิด ให้เราเบรกตัวเองไว้ หยุดตัวเองไว้
"ฐานที่สำคัญของเรา ก็คือความคิดนี่แหละ..." ฝึกพัฒนาความคิด' อย่าเป็นคนวุ่นวายกับความคิดมาก เพราะคนมันยังไม่ตายก็ต้องคิดโน่นคิดนี่ ยิ่งเราเป็นคนฉลาดมากปัญญามาก ก็ยิ่งคิดเยอะ ให้เรารู้จักความคิด เราอย่าไปวุ่นวายกับความคิด รู้มาก ฉลาดมาก เป็นคนเก่ง เราต้องเอาสมาธิเข้ามาช่วยให้อยู่กับการหายใจเข้าสบายบ้าง ออกสบายบ้าง
คนเรามันฉลาดมันคิดไม่หยุด ให้เรามีความสงบกับความคิดสลับกันไป เพื่อให้ 'สมาธิ' กับ 'ปัญญา' กลมกลืนเป็นธรรมชาติ เพื่อจิตใจของเราจะได้เกิดความสงบ ความร่มเย็น
คนเราต้องเสียสละ ใจดี ใจสบาย ตื่นขึ้นถึงนอนหลับ อย่างนี้ คือการทำความดี พระพุทธเจ้าทรงบรรทมคืนหนึ่งแค่ ๔ ชั่วโมง ท่านมีความสุขในการทำงานเสียสละเพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง พระพุทธองค์จึงทรงมีความสุขที่สุดในโลก
การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม เป็นการสร้างบารมี "การสร้างบารมีนี้ มันต้องทวนกระแส" พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ธรรม ได้รับถวายข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา เมื่อพระองค์เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์เอาถาดทองคำมาอธิษฐานจิตว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดทองคำไหลทวนน้ำทวนกระแส" ถาดทองคำก็ไหลทวนน้ำทวนกระแสไป จากนั้นท่านได้รับถวายหญ้าคา จากนายโสตถิยะ ๘ กำ ท่านก็มานั่งสมาธิขัดบัลลังก์บนหญ้าคา ๘ กำนั้นทรงอธิษฐานว่า "แม้เลือดเนื้อของข้าพเจ้าจะเหือดแห้งไปก็ตามที่ ถ้าข้าพเจ้าไม่ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมลุกจากอาสนะที่นั่ง"
พระองค์ท่านเข้าสมาธิ พญามาร เสนามารมากันเป็น กองทัพสนั่นหวั่นไหว พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้สะทกสะท้าน สุดท้ายพญามารต่างๆ ก็พ่ายแพ้ไป สุดท้ายก็ได้บรรลุพระส้มมาสัมโพธิญาณ เป็นที่เคารพที่สักการะของเหล่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
การตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ของตัวเองนี้ คือการก่อภพ ก่อชาติ พระพุทธเจ้าท่านจึงเมตตาให้เรากลับมาเมตตาตนเองด้วยการ 'เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีศีล' เพราะที่พึ่งอื่นนั้นมันพึ่งได้ ชั่วคราว ไม่เหมือนการพึ่งพระรัตนตรัย ที่จะสามารถนำเราสู่สวรรค์ มรรคผล และพระนิพพาน
เรามีโอกาส มีเวลา พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างบารมี สังคมก็ให้โอกาสเราสร้างบารมี มันเป็นความโชคดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐของเรา เรามีวัด มีสถานที่ มีปัจจัย ๔ ให้เราประพฤติปฏิบัติ มันเป็นความโชคดีของเรามากๆ