แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๕๓ แก้จิต แก้ใจ แก้ไขตนเอง เพื่อเป็นผู้นำตนเองและผู้อื่น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมในองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระผู้เป็นประธาน พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน ทุกท่านเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้วันจันทร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่เราพากันเป็นอย่างนี้ก็มาจากพ่อจากแม่ มาจากปู่ย่าตายายที่ทำตามกันมา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี มันเป็นกระบวนการ ที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ในทางพระศาสนาเพราะว่าพระหลายชั่วโคตรหลายชั่วคนที่พากันทำมา ที่ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป มันถึงเป็นพื้นเป็นฐานของพวกนั้น พวกการบ้านการเมืองข้าราชการเขาก็เหมือนกัน ที่เป็นพื้นเป็นฐานที่รองรับให้เราพากันเกิดมาอย่างนี้
พวกเราต้องพากันเข้าใจ เพราะเราเกิดมาเพื่อพระนิพพาน เพื่อจะได้แก้ไขให้เป็นอภิชาตบุตร มันต้องเริ่มจากเราที่ปัจจุบัน สังเกตดูผู้ที่มาบวชอย่างนี้ บุคคลนั้นพ่อแม่เขาดี แล้วก็มีสติมีปัญญา เรียนจบปริญญามาอย่างนี้ เราถือพระพุทธ ศาสนา ก่อนที่จะทำการทำงานเขาก็พากันมาบวช บุคคลนี้แหละดี มีประโยชน์ พูดก็ง่าย บอกก็ง่าย สอนก็ง่าย เพราะเขาเป็นคนที่มีเหตุมีผล มีสติ มีปัญญามากกว่าพระเก่าอยู่ในวัดอีก พระเก่านี่ ผู้ที่เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาสหรือว่าพระเถระมหาเถระ พวกนี้ว่ายากสอนยากกว่าอีก เพราะว่าตัวเขาเองเป็นอลัชชี มันฝังลึกในใจแล้ว จะทำผิดศีลผิดธรรมผิดพระวินัยจนเป็นปฏิปทาแล้ว มันเป็นบาทเป็นฐานที่ให้ผู้ที่บวชมานี้เข้าใจว่าที่ทำตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก นึกว่าเป็นศาสนาแล้วพระที่ต้องการมรรคผลพระนิพพานจะเอาจริงเอาจัง พระพวกนี้แหละจะออกมาให้ความคิดความเห็น อีกหลายปีหลายเดือนพระพวกนี้ก็จะกลายเป็นคนไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาปตามไปด้วย เพราะอันนี้เป็นการที่มองดู ถึงได้กล่าววันก่อนว่าคนเราเดี๋ยวนี้แหละที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้งเอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ที่จะเป็นฐานรองรับให้กุลบุตรลูกหลานในอนาคตได้
เราก็ดูตัวอย่างว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้แหละ เหมือนข้าราชการ ข้าราช การนี้มันเช้าชามเย็นชาม ไม่ตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้ทำงานเป็นข้าราชการเต็มที่ ถ้าทำอะไรก็ต้องมีลายเซ็น มีอะไร? มีใต้โต๊ะ มันถึงเขียนถึงทำตามกัน พวกนักการเมืองยังคุยกันเลยว่าไอ้คนนั้นมันเข้ามาใหม่ มันเล่นการเมืองยังไม่เป็น โอ้..ที่จริงแล้วเล่นการเมืองมันไม่ยากหรอกถ้าเราพากันมาเสียสละ ที่ว่าไม่เป็นไม่เก่งคือไม่เชี่ยว ชาญในการโกงกินคอร์รัปชั่นต่างหาก
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราจะได้สืบต่อจากสายพันธุ์ที่ดีจากพ่อจากแม่ จากพระอริยสงฆ์ ถึงแม้เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่เราก็ต้องเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ คือตามพระธรรม ตามความถูกต้อง เรานักการเมืองก็ต้องเอาธรรมของพระอรหันต์มาปฏิบัติ ข้าราชการก็ต้องเอาธรรมะของพระอรหันต์มาปฏิบัติ ผู้ที่มาบวชก็ต้องเอาพระธรรมของพระอรหันต์มาเป็นหลัก เขาเรียกว่าธรรมาธิปไตย ให้ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติอย่างนี้
การประพฤติการปฏิบัติมันขาดตอนกัน เราต้องมาเพาะพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ใหม่ขึ้นในใจของเราทุกๆคน เพราะเทคโนโลยีก็พัฒนาไกลวิทยาศาสตร์ก็มาไกลแล้วทางวัตถุ ต้องวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นมันถึงมี เพราะหลวงพ่อคำนวณดูหมดแล้ว พระเก่านี่ก็ว่ายากสอนยากกว่า เพราะว่าพวกนี้มันไม่ได้แก้ไขตัวเอง มันไปแก้ไขแต่คนอื่น มันผิดจากหลักตัดสินธรรมวินัยแปดประการทั้งหมดเลย ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ เพื่อการเสริมให้ติด มิใช่เพื่อความคลายกำหนัด นี่คือไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุสาสน์คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อการผูกรัดหรือว่าประกอบทุกข์ ไม่ใช่เพื่อการไม่ประกอบทุกข์ นี้ก็ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส ไม่ใช่เพื่อการละกิเลส ธรรมเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมักมาก มิใช่เพื่อความเป็นผู้มักน้อย ธรรมเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ธรรมเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่อยู่ในคณะ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความสงบสงัด นี่ก็ไม่ใช่เป็นธรรมเป็นวินัยของพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ได้เป็นไปเพื่อการประกอบความเพียร นี่ก็ไม่ใช่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าและธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเป็นผู้เลี้ยงยาก มิใช่เพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่าไม่ได้เป็นธรรม ไม่ได้เป็นพระวินัย ไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่างประเทศเรานี่แหละ ก็มีพระปฏิบัติ มีพระวัดบ้านเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีพระวัดป่าที่จะไปขึ้นอยู่ในชุมชนขึ้นในเขตนั้น พวกนี้เขาจะถูกพวกที่ไม่เอาธรรมไม่เอาวินัยถล่มหมดเลย ไม่ให้สร้าง ถ้าสร้างขึ้นแล้วมันมีสิ่งเปรียบเทียบเพราะว่าชาวบ้านเขามองเห็น ประชาชนเขามองเห็น เห็นการเปรียบเทียบว่า เอ๊ะ..ทำไมวัดนี้ตามพระธรรมตามพระวินัย ทำไมวัดนี้ย่อหย่อนอ่อนแอ กลุ่มที่ย่อหย่อนอ่อนแอก็บอกว่าเคร่งเกิน ความจริงไม่ได้เคร่งเกินคำสอน เพราะพระพุทธเจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร พาทำพาปฏิบัติอย่างไร พระอรหันต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์พาทำพาปฏิบัติอย่างไรก็ทำอย่างนั้น จึงเป็นความพอดี เป็นทางสายกลางของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เดิม ไม่ใช่การเคร่ง แต่ทีนี้ผู้ที่ย่อหย่อนอ่อนแอจึงมาโจมตี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างเช่นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นหลายๆองค์เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ฝ่ายบริหารปกครองก็พยายามต่อต้านเพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ผุดได้เกิด ใส่ความว่าเป็นผู้ที่ทำนอกรีตนอกรอยบ้าง อย่างสมัยก่อนก็ยัดข้อหาว่าเป็นพระคอมมิวนิสต์บ้าง จะล้มล้างระบบบ้าง แต่สุดท้ายความดีก็คือความดีความถูกต้องก็คือความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ก็คือความบริสุทธิ์ เทวดาฟ้าดินย่อมมองเห็น ผลที่สุดก็ผ่านอุปสรรคมาได้
อย่างหลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพงท่านเป็นผู้มีบุญมาเกิด ขนาดพระอุปัชฌาย์ของท่านที่เป็นพระวัดบ้าน อุปัชฌาย์ของท่านเองก็ยังต่อต้านท่านว่าสมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์หรอก มีอยู่แต่สมัยพระพุทธเจ้าโน้น แต่ว่าท่านออกมาทดลอง ไปศึกษาธรรมวินัยจนกระทั่งได้ไปอยู่ประพฤติปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็ได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยตัวของท่านเอง
หลวงพ่อพุทธทาส ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสอนเรื่องความหลุดพ้น สอนพระนิพพาน ก็ถูกกลุ่มอลัชชี อลัชชีก็คือนักบวชนี่แหละที่ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่เอาธรรมไม่เอาวินัยเรียกว่าอลัชชี ไปร่วมกันใส่ร้ายว่าเป็นพระคอมมิวนิสต์บ้าง หาเรื่องหาความให้ท่านมากมาย สุดท้ายของแท้ก็คือของแท้ จึงไม่มีใครทำอะไรท่านได้
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็มาเป็นพันๆปีแล้ว นับตั้งแต่ครั้งเมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อนในคราวสังคายนาครั้งที่สอง ที่กลุ่มภิกษุวัชชีบุตร กลุ่มที่ต้องการจะเปลี่ยนสิกขา บทเล็กๆน้อยๆ ต่อต้านขับไล่พระอรหันต์ คือ ขับไล่พระยสกากัณฑกบุตรออกจากเมือง สุดท้าย พระยสกากัณฑกบุตรที่เป็นลูกศิษย์สายตรงจากพระอานนท์ มาสังคายนาครั้งที่สอง กลุ่มอลัชชีกลุ่มที่ต้องการจะแก้ธรรมแก้วินัยที่เป็นภิกษุปุถุชนกลุ่มนี้ก็แยกตัวออกไป แล้วมีพวกมากด้วย มีมากกว่าพระอรหันต์เยอะ จึงเรียกว่ากลุ่มมหาสังฆิกะ ซึ่งต่อมาก็คือพัฒนาเป็นมหายานนั่นเอง เพราะว่าถ้ามีพระอรหันต์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บอกสอนตรงตามพระธรรมวินัย ภิกษุผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ย่อมเดือดร้อน อยู่ยาก มันหากินยาก เหมือนถูกทำลายหม้อข้าวหม้อแกง เป็นผู้ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป จึงแสดงสันดานหยาบออกมา ร่วมกันใส่ความใส่ร้ายพระอรหันต์พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรื่องเช่นนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ทุกหนทุกแห่งของเมืองไทยส่วนใหญ่จะไม่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้เกิดขึ้นผุดขึ้น เพราะตนเองต้องเปลี่ยนแปลงความประพฤติ จากที่เคยย่อหย่อน เคยยินดีในเงิน ยินดีในสตรีสตางค์ ยินดีในลาภยศสรรเสริญ พวกนี้เลยพากันคัดค้านในการสร้างวัด ในการสนับสนุนพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อมุ่งมรรคผลนิพพานร้อยเปอร์เซ็นต์ เวลาจะไปกราบเจ้าคณะต่างๆก็ถูกด่าถูกว่า ต้องอาศัยสติปัญญาและความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงผ่านพ้นไปได้ บางทีก็ต้องใช้คนรวยผู้มีหน้ามีตา มีอำนาจพาเข้าไปกราบ ไม่เช่นนั้นก็ถูกด่าถูกว่าเหมือน เหมือนมีความผิดอย่างใหญ่หลวง ทั้งที่มีความประพฤติปฏิบัติที่ตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยแท้ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องอาศัยพวกมีสตางค์พาไปถวายเป็นหมื่นเป็นแสน เอาของดีๆไปอัดให้ ๆ ผู้ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลพระนิพพาน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้เขาไม่ได้กลัวพระวินัย แต่กลับไปกลัวคนรวย กลัวคนมีอำนาจที่ให้คุณให้โทษ ให้ลาภสักการะ ให้ยศให้ตำแหน่ง พอจะไปพูดความจริงให้ประชาชนฟังก็ไม่ได้ ถูกปกครองหาว่าเป็นผู้นอกรีตนอกรอย อย่างนี้เป็นต้น มีเป็นประวัติศาสตร์มาให้เห็นอยู่ในประเทศไทยมากมาย
พระเหล่านี้ พระเก่านี่แหละที่เขาเอาคนที่ไม่ได้มาตรฐาน เอาคนที่ติดเหล้าติดเบียร์ติดฝิ่นติดเฮโรอีนกัญชามาบวช ทีนี้ก็เลยทำให้ศาสนามีปัญหา ในใบสอบพระอุปัชฌาย์ เขาถึงมีข้อสอบข้อหนึ่งว่าศาสนาเสื่อมเพราะอะไร? เพราะว่าอุปัชชาย์ อุปัชฌาย์ห้าร้อย อุปัชฌาย์หนึ่งพันสองพัน ให้กุลบุตรลูกหลานมาบวชโดยที่ไม่ได้กลั่นกรอง มาสมัครบวช ให้ซองให้เงินก็รับบวชหมด จึงเป็นทำนองอุปัชฌาย์เป็ดอุปัชฌาย์ไก่ เพราะว่าพอบวชให้แล้วไม่ได้อบรมสั่งสอน ไม่ได้คัดกรองผู้ที่จะเข้ามาบวช ศาสนาเสื่อมมันอยู่ที่พระอุปัชฌาย์ อยู่ที่เจ้าอาวาสตลอดถึงผู้ที่ปกครองไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้อยู่ที่พระใหม่ นี่เป็นเรื่องจริง พระเราส่วนใหญ่มันถึงไม่ขึ้นถึงมาตรฐานของความเป็นพุทธะจริงๆ สักที ทุกอย่างมันแก้ไขได้ อย่างวัดเราก็ต้องเน้นเจ้าอาวาส เน้นพระบวชหลายพรรษา เพราะพวกนี้จิตใจส่วนใหญ่จะเป็นภาพรวมของวัด ของสังคม หากจะเป็นอลัชชี มาตรฐานยังไม่ถึงความเป็นพระพุทธศาสนาก็ต้องมาปรับปรุงแก้ไข อย่างครอบครัวก็ขึ้นอยู่ที่พ่อ ขึ้นอยู่ที่แม่พวกนี้แหละ ทุกคนก็ต้องกลับมาแก้ไขตัวเอง เราไปแก้ไขพ่อเราลำบาก เเก้ไขแม่เราลำบาก เเก้ไขนักการเมืองรุ่นเก่าก็ยาก ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้
เราก็ต้องมาแก้ไขปรับปรุงตัวเองใหม่ เราทำดีอย่างนี้ ๆ หลาย ๆ ปี มันถึงจะเปลี่ยนแปลง ต้องอาศัยเวลาสักยี่สิบปีสามสิบปีสี่สิบปีห้าสิบปี คนรุ่นเก่ามันตายหมดก็ถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหลวงพ่อมาคิดดู พระรูปนั้นพระรูปนี้ที่พ่อแม่เขาได้มาตรฐาน เขาเรียนจบปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอก เขาไม่ได้กะว่าจะมาบวชตลอดชีวิต เขามาเพื่อมาศึกษาคุณธรรม มาประพฤติมาปฏิบัติอะไรอย่างนี้ พระนี้ดี แต่ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระที่ไม่ได้มาตรฐาน พวกนี้ก็จะทำความพินาศให้ ผู้ที่บวชเก่านี่แหละต้องมาแก้ไข เพราะพวกที่มันเสียหายก็คือพวกเรานี่แหละที่ไม่ได้มาตรฐานแล้ว ลูกเราก็ไม่ได้มาตรฐานแล้ว บางทีติดเหล้าติดเบียร์แล้วเอามาบวช อย่างระบบของหลวงพ่อชาหรือว่าระบบของพระฝรั่งที่กำลังมาแรง กว่าจะมาบวชเป็นพระได้ เขาก็ให้บวชเป็นผ้าขาวหลายเดือน บวชเป็นสามเณรด้วย ก็เป็นปีละเขาถึงจะบวชพระให้ ผู้ที่ไปสมัครบวชปีหนึ่งๆ บางทีหลายร้อย เเต่ก็ยังเหลืออยู่แค่ไม่กี่รูป เพราะเขาจะเอาทางศาสนาเป็นการคัดกรอง เป็นการกลั่นกรอง
การที่มาบวชนี้ก็ต้องเข้าใจ ถึงแม้เราจะเป็นคนที่มีเมตตามีกรุณาสูง เราก็ต้องเข้าใจ เราจะได้มีเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา ผู้ที่มาบวชกับพระอาจารย์ชาพ่อแม่ถึงมาฝากให้ แล้วก็แล้วแต่อาจารย์ชาจะบวชให้ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีก่อน บางทีก็อยู่วัดเป็นปีๆหรือมากกว่านั้น พ่อแม่มา ถึงรู้ว่าลูกยังเป็นผ้าขาวอยู่หรือว่าตอนนี้ลูกตัวเองบวชเป็นพระแล้ว เพราะมอบให้พระไปแล้ว ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อ เอาห้าร้อย หนึ่งพัน สองพันถวายอุปัชฌาย์คู่สวดแล้วบวชได้ อย่างนั้นไม่ใช่ ผู้ที่มาบวชต้องเข้าใจ ผู้ที่บวชมาอย่างนี้ต้องตั้งใจฝึกฝน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระธรรมตามพระวินัยให้มันได้ทุกข้อ อุปัฏฐากครูบาอาจารย์อย่างนี้ เวลาเราไม่ลาสิกขา เราก็จะได้เป็นพระอริยเจ้า จะได้บอกพระบอกเณรได้ ผู้ที่มาบวชเพื่ออยู่จำพรรษาหรือว่าบวชไม่กี่วัน สึกไปถึงจะได้รู้จักศาสนา แต่นี่รู้จักแต่เรื่องเครื่องรางของขลัง รู้จักแต่เอาสิ่งที่หลอกลวงประชาชน ผ้ายันต์ ตะกรุด เครื่องรางของขลังบอกว่าเป็นศาสนา รู้จักแต่พวกนั้น ซึ่งสิ่งพวกนั้นมันไม่ใช่พุทธศาสนาเลยมันเป็นศาสนาผี ไม่ใช่ศาสนาพุทธ มันเป็นศาสนาไสยศาสตร์ เป็นศาสนาแห่งความโง่แห่งความงมงาย แล้วอย่าเอามาใส่ในศาสนาพุทธ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพาทำอย่างนั้น พระอรหันต์ไม่เคยพาทำอย่างนั้น แต่ทีนี้ เนื่องจากผู้ที่มาบวชไม่เอาธรรมไม่เอาวินัย บวชตอนแรกจะเอานิพพาน บวชไปนานๆ นิพพานอยู่ไหน พอบางคนนี่นิพพานไม่เกิดในใจไพล่ไปทำเดรัจฉานวิชา เครื่องรางของขลังเพราะมันหาเงินง่าย มันหลอกลวงคนโง่ได้ง่าย สุดท้ายคนยุคใหม่ๆก็เลยเข้าใจว่าศาสนาพุทธจะมีอะไร ก็มีแค่สะเดาะเคราะห์ ต่อดวงชะตา บังสุกุล สังฆทาน แล้วก็เครื่องรางของขลัง มีอยู่แค่นี้ ความเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานหายหมดเลย คนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจ เพราะว่าผู้เก่าๆนี่แหละโง่ทำกันมานานด้วยความงมงาย ด้วยความไม่รู้จริง บางทีรู้แต่ว่าทำเพราะมันอดไม่ได้ ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ ก็เพราะว่าความไม่ละอายต่อบาป ความไม่เกรงกลัวต่อบาปที่อยู่ในใจของตัวเองนั่นเอง
ที่พระพุทธเจ้าท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เนื่องมาจากความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของสัตบุรุษ เป็นเครื่องหมายของผู้ที่เสียสละที่เอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต มีความสุขในการเสียสละ เราได้บริโภคอาหาร บริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ เราได้เครื่องอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่างล้วนแต่เป็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นบารมีของเราเลย ที่เราปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เขากราบไหว้บูชาถวายปัจจัยสี่ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนั้นคือบารมีของพระพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นผู้นำต้องพากันเพิ่มความกตัญญูกตเวทีในใจตัวเอง กตัญญูต่อพระพุทธเจ้า กตัญญูต่อพระศาสนา อย่าพากันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่สำนึก ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกของตัวเอง มันเป็นการถอนรากถอนโคน เป็นการเผาทำลายพระพุทธศาสนา ศาสนาเสื่อมไม่ได้เสื่อมมาจากที่อื่นเลย ไม่ได้มาจากศาสนาอื่นเลย แต่มาจากเจ้าอาวาส มาจากประธานสงฆ์ มาจากผู้ปกครองตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง ถ้าใครคิดดีๆก็จะเห็นด้วยปัญญา นอกจากไม่พิจารณามันจึงไม่เห็น ถ้าพิจารณาจะได้เห็นกันทุกๆคน ผู้ที่มีอำนาจคุมหมู่ชน ผู้ที่บวชมาก่อนนี่แหละ ถ้าไม่เอามามรรคผลนิพพาน ไม่เอาพระธรรมวินัย เป็นผู้ที่ทำลายศาสนา ที่สงฆ์แตกแยกกันเป็นสังฆเภทก็เนื่องมาจากผลประโยชน์ที่ไม่ได้ถือเอาความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ได้ถือทางสายกลาง ที่แยกเป็นหินยาน มหายาน วัชรยาน บางสายบางนิกายแปลพระวินัยเข้าข้างตัวเอง ไม่ได้ปรับปรุงตนเองเข้าหาพระวินัย ประเทศเรามีทั้งธรรมยุต มหานิกาย บางทีธรรมยุติก็มักจะหลงตัวเองว่าเคร่งครัด ดีกว่าฝ่ายมหานิกาย เพราะฉะนั้นเราต้องย้อนมองดูว่า แต่เดิมที พุทธศาสนาไทยเราไม่ได้เป็นแยกนิกาย ต้นฉบับมาจากศรีลังกาทั้งนั้น ต้นฉบับของธรรมยุตก็มาจากลังกาทั้งนั้น คือมีนิกายเดียวกัน ก็คือเถรวาทแบบลังกาตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ที่รับเอาสังคายนาครั้งที่หนึ่งที่พระมหากัสสปะเป็นประธาน เอาวินัยที่ชำระแล้วมาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติจึงเรียกว่าเถรวาท หากใครยังยึดติด ยังถือพรรคถือพวก แบ่งแยกอยู่ในใจแสดงว่าสภาพจิตใจไม่ได้พัฒนาไปถึงไหนเลย ยังยึดติดแต่รูปแบบของการแตกแยกอยู่ ศาสนาพุทธที่ถูกต้องไม่มีแบ่งแยกนิกายใดๆทั้งสิ้น มีแต่พระธรรมวินัยที่เป็นศาสดาองค์แทนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น มีแต่มาแก้ไขที่ตัวของเรา ไม่มีนิกาย ไม่มีพรรค ไม่มีพวก ไม่มีกลุ่ม ไม่มีแก๊ง การแตกแยกที่มีนิกายต่างๆจึงเป็นความแตกแยกความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งจะนำพามวลมนุษย์ให้มันเสียหาย ที่เอาตัวตนเป็นใหญ่ ถือเงินเป็นพระเจ้า ถือวัตถุเป็นพระเจ้า ถือความหลงเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เป็นคุณ เพราะเอาความหลงเป็นที่ตั้ง ไม่ได้พัฒนาวัตถุพัฒนาใจให้มีปัญญา ให้ปราศจากซึ่งตัวตนไปพร้อมๆกัน
สมัยนี้เป็นสมัยเจริญ ทุกคนต้องพากันมีสติปัญญา ทุกคนต้องเอาพระพุทธ เจ้าเป็นหลักเป็นใหญ่ พากันกลับมาหาธรรม มาหาวินัย ทุกคนต้องกลับมาสังคายนาตัวเอง มาแก้ไขตัวเอง เพื่อจะได้แก้ไขสิ่งที่พระรุ่นเก่าๆ ที่พากันหลงผิดพากันปฏิบัติผิด ต้องมาแก้ให้ถูกต้อง เราทุกคนก็เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องพากันมาสังคายนาตนเอง แก้ไขตนเอง เดินจงกรมก็พิจารณากายใจว่าตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า? นั่งสมาธิก็พิจารณากายใจว่ายังตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า? ยืนเดินนอนก็พิจารณาตนเอง เพื่อแก้ไขตนเอง ประพฤติปฏิบัติตนเอง เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า
เราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเพียงได้ยินได้ฟังก็เป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ได้ประพฤติปฏิบัติตามก็ยิ่งเป็นอานิสงส์ใหญ่ ต้องพากันมาพิจารณาตัวเองแก้ไขตัวเอง ประพฤติปฏิบัติตัวเอง เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าการประพฤติการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ จะได้พากันปฏิบัติให้ถูกต้อง
ประการแรกให้เริ่มต้นที่จิตที่ใจ เพราะใจมันสำคัญ กายนั้นเป็นเพียงวัตถุเป็นอุปกรณ์ที่จะให้เราทำการทำงาน อำนวยความสะดวกให้แก่จิตใจเท่านั้น การเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกาย พอเวลาตายกายไม่ได้ไปด้วย ใจมันเป็นผู้ไปเกิด พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราทุกๆคนปรับจิตใจให้เข้าถึงธรรมะ ธรรมะก็คือความบริสุทธิ์ ปราศจากอัตตาตัวตน ปราศจากความโลภความโกรธความหลง ประการแรก เราทุกๆคนยังมีความเห็นผิด เข้าใจผิด เราจึงต้องพากันเอาพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง เป็นหลักการในการประพฤติปฏิบัติ พระรัตนตรัยก็คือพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ผู้ที่เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระธรรมคือคำสอนของพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้แล้วมีเมตตามาบอกมาสอนให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความสุขความดับทุกข์เข้าถึงพระนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคน พระอริยสงฆ์คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นทำจริงปฏิบัติจริงก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทุกๆคน
พวกเราทั้งหลายถึงต้องมาเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะที่พึ่งอื่นนั้นมันพึ่งได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเป็นสิ่งของ สิ่งเหล่านั้นมันก็ยังมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ยังแตกสลายทำลายไปตามปกติของมันเอง เมื่อตัวของมันเองยังไม่เที่ยง ตัวคนนั้นเองยังไม่เที่ยง แสดงว่าเป็นที่พึ่งได้เพียง ชั่วคราว ไม่ได้เป็นที่พึ่งที่ถาวร ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่าสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่คือ พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์มีอยู่กับพวกเราทุกๆคนนั่นแหละ ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ คือตามทางสายกลาง ไม่ว่าเราจะเป็นโยม เป็นฆราวาส หรือเราจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพราะความดับทุกข์ของทุกคนนั้น อยู่ที่จิตใจสงบ จิตใจที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนเน้นกลับมาหาใจ สมาทานเอาธรรมวินัย เอาศีลเอาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งที่จะนำให้เราเป็นพระอริยเจ้าได้
คนเราทุกคนที่ยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน หัวใจของเรานี้จะตกนรกทั้งเป็นร่างกายยังไม่ตายก็ถูกเผาแล้วด้วยความอยาก ถูกเผาด้วยความอยาก ถูกบีบคั้นด้วยความอยากความต้องการ แรกๆจิตใจมันบริสุทธิ์ ที่บอกว่าจิตประภัสสร แต่เมื่อถูกกิเลสที่จรมา เมื่อมีความอยากความต้องการ จิตใจเราทุกคนมันเลยเศร้าหมองมันไม่ผ่องใสเลย
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้เราอยาก ไม่ให้เราต้องการ เราต้องเป็นผู้ให้ เราต้องเป็นผู้เสียสละ อย่างเราทุกคนนี้ ให้ตั้งคติไว้ในใจว่าเราเกิดมานี้ เราจะเกิดมาเป็นผู้ให้ เกิดมาเป็นผู้เสียสละ จะเอาศีล ๕ เป็นที่ตั้งเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ นี่เป็นคุณธรรมของพระโสดาบัน จะเอาศีล ๘ เป็นที่ตั้ง นี่ก็เป็นคุณธรรมของพระอนาคามี จะเอาศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นที่ตั้ง นี่ก็เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจ ให้เราสมาทาน สมาทานไว้ในใจอย่างนี้ เพื่อจะได้มีหลักการ เพื่อจะได้มีจุดยืน พระวินัยจะมีหลายร้อยข้อ ศีลจะมีหลายข้อก็ย่นย่อลงมาที่ใจ คือความตั้งใจ คือความเป็นหนึ่ง ถ้าเรามีสติ เราก็มีศีล มีสมาธิ ถ้าเรามีสัมปชัญญะ เราก็มีปัญญา ถ้าเรามีสติ เราก็มีศีล มีสมาธิ ถ้าเรามีสัมปชัญญะ เราก็มีปัญญา เรามีเจตนาที่จะหยุดที่จะงดเว้น ถ้าสงสัยก็ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ อย่าเป็นคนไม่ฉลาด แล้วก็แปลธรรมแปลวินัยเข้าหาตัวเอง แบบนี้ไม่ได้ ต้องปรับจิตใจของตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัย ถ้าเราไม่อยากรักษาศีล ถ้าเราไม่อยากปฏิบัติธรรมนั้น แสดงว่ามีความเห็นผิด มิจฉาทิฎฐิ ถือว่ายังเป็นผู้ที่ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร เพราะสัมมาทิฏฐิที่เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์บริบูรณ์ในองค์มรรคนั้น ไม่ใช่เพียงแค่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ดีชั่ว นั่นมันเป็นเพียงแค่ระดับอนุบาล การรู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักดีรู้จักชั่ว สัมมาทิฎฐิแท้ ๆ ต้องเห็นอริยสัจสี่ เห็นภัยในวัฎสงสาร จึงจะเป็นความเห็นชอบ แต่ถ้าไม่อยากรักษาศีล ไม่อยากปฏิบัติธรรม ยังไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร อย่างไร ๆ ก็ยังมีความเห็นผิดอยู่ ศีลทุกข้อ วินัยทุกข้อนี้ คือกฎเกณฑ์ที่จะนำเราไปสู่มรรคผลนิพพาน คนเราทุกคนส่วนใหญ่ อยากจะรวย อยากจะเป็นมหาเศรษฐี อยากจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจวาสนา เวลามีเงินก็อยากจะได้เยอะ ๆ ได้เท่าไหร่ ๆ ก็ยังไม่พอ แต่เวลารักษาศีลข้อเดียวก็ยังไม่อยากรักษา จิตใจอย่างนี้ก็ให้เราทุกคนรู้ไว้นะว่า ใจเรานี้ไม่รักธรรมะ ไม่ชอบธรรม ถือว่ายังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่ ความเคยชินของเรามันมีมาก ความเห็นแก่ตัวของเรามันรุนแรง เหมือนกับน้ำ มันไหลบ่ามาจากบนภูเขาสูง จิตใจของเราก็เหมือนกัน การสั่งสมกิเลสอาสวะ มันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน มันมาก
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราทุกคน พากันมามีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน เราเดินก็ให้ใจของเราอยู่กับการเดิน เรานั่งก็ให้จิตใจคือให้สติอยู่กับการนั่ง เรานอนก็ให้จิตใจของเราอยู่กับการนอน เราคิดก็ให้ใจของเราอยู่กับการคิด ให้รู้เท่าทันรู้ว่าใจมันคิดอะไร ถ้ามันคิดไม่ดีก็ไม่ต้องคิด ถ้ามันคิดดีแต่มันคิดมากเกินอย่างนี้ก็ไม่ให้มันคิด เพราะคิดมากเกินแล้วปัญญามันมาก สมาธิมันไม่เพียงพอก็ทำให้ฟุ้งซ่าน การทำงานของเรานี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ต้องให้ใจของเราอยู่กับการกับงานอย่างเต็มที่เต็มร้อย ไม่ใช่ว่าเราทำงานอยู่ที่นี่แต่ปล่อยให้ใจไปคิดเรื่องอื่น เวลาเราพูดนี่ก็ให้ใจของเราอยู่กับการพูด เราจะได้ควบคุมอาการของจิตของเรา ที่มันมีความโลภความโกรธความหลงจะได้ตั้งอยู่ในธรรม คนเราถ้าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันมีทุกข์ ไม่มากก็น้อย แต่มันก็มีทุกข์ ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ใจที่ส่งออกมันเป็นใจที่อกุศลคือมันเศร้าหมอง เป็นใจบาป คนเรานี้มันต้องมีการฝึกใจ เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความสุขความดับทุกข์มันถึงจะเกิดกับเราได้
ในการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราพยายามทำจิตทำใจของเราให้สบาย ไม่ต้องไปเคร่งเครียด ให้เหมือนกับบุรุษของเราที่เขาถือไข่อยู่ในกำมือ ถ้าปล่อยไข่ลงไปไข่มันก็ร่วงแตก ถ้ากำแน่นไข่มันก็จะแตก อย่างเรานั่งสมาธิ เราต้องการให้มันสงบ ความคิดอย่างนี้คิดยังไงมันก็ไม่สงบหรอก เพราะเราอยากให้มันสงบ มันจึงไม่สงบ ทีนี้แหละ ความไม่อยากให้มันวุ่นวายมันก็ต้องมี ความอยากกับความไม่อยากมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการที่เรามีความเพียร มีสติระลึกรู้ อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว มีสติสัมปชัญญะ เมื่ออยู่กับอารมณ์ปัจจุบันได้ มันจึงจะกำจัดความอยาก ความไม่อยาก คือความยินดียินร้าย บาลีใช้คำว่า “อภิชชาโทมนัส” อภิชชาโทมนัสก็คือความยินดียินร้าย ความอยากความไม่อยากนั่นแหละ คนเรามันมักจะมีสองอารมณ์นี้วนเวียนอยู่ในใจตลอดเวลา เห็นโน่นนี่นั่น จิตมันก็ตัดสินแล้วตามกระบวนการของวิถีจิต พอรับอารมณ์เข้ามาพิจารณา มันก็จะตัดสินอารมณ์ ชอบไม่ชอบ อยู่อย่างนี้ บางทีก็เฉยๆ การที่สติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนั้น มันจะกำจัดความยินดียินร้าย-ชอบไม่ชอบออกไป ใจของเรามันจะได้เย็นลง
ปัญหาต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ที่มันกำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้น มันเป็นของมีอยู่เป็นอยู่ประจำโลก ให้เราทั้งหลายพากันมารู้จักรู้แจ้ง มาเป็นผู้มีพุทโธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะเราเป็นมนุษย์ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ไม่สมควรที่จะต้องไปทุกข์อะไร ปัญหาต่าง ๆ ที่เราทุกข์ ที่เราเครียด เพราะใจของเรานี่เอาไปยึด เอาไปถือ เอาไปแบก เราจะให้ทุกอย่างนั้นมันเป็นไปตามใจของเรานั้น มันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ตัวเรา มันก็ไม่เป็นไปเหมือนกับเราต้องการ เราทุกคนไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก แต่ทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมะ มันไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป บางคนก็เข้าใจว่าเมื่อทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ปล่อยวางหมดสิ ไม่ต้องทำอะไร เราไปคิดอย่างนั้นมันไม่ได้ ไม่ถูกนะ คนเรามันมีแต่จะเอาๆๆ เมื่อมันคิดว่าไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ทำ ไม่เสียสละ มันไม่ถูก คนเรานี่ยิ่งไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราก็ยิ่งต้องเป็นคนขยัน เป็นคนรับผิดชอบ เป็นคนเสียสละ เพราะเราทุกคนไม่ใช่คนหมดกิเลส นี่เพียงแต่ทำความเห็นทำความเข้าใจเท่านั้น เราต้องพากันเข้าสู่ภาคปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัตินี้มันเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่ทวนกระแส มันต้องอดต้องทน ต้องขยัน ต้องตั้งมั่น พร้อมด้วยทำใจของเราให้สบายเป็นเปลาะ ๆ ทุกขณะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่ ไม่ว่าอะไรจะดับไป ทุกคนต้องมาแก้ที่จิตที่ใจ ไม่ต้องไปรออนาคต ต้องให้ใจของเรามันดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ให้เข้าถึงพระนิพพานทางจิตทางใจ ตั้งแต่ที่เรายังไม่ตายนี่แหละ เราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ อินทรีย์บารมีของเราจึงจะเจริญ ถึงจะแก่กล้า เราถึงจะแก้ปัญหาได้ดีได้ถูกต้อง
คนเราทุกคนสำคัญอยู่ที่จิตที่ใจ สำคัญอยู่ที่ใจที่ไม่มีทุกข์ อยู่ที่จิตใจไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่แสวงหาการแก้ปัญหาทางภายนอก มันอาจจะแก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง มันยังไม่แน่นอนเท่ากับเรามาแก้ที่จิตที่ใจ คนเราต่อให้เรียนปริญญาเอกจบตั้งหลายใบ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการดับทุกข์ได้ แก้ปัญหาได้ ไม่เหมือนกับที่เรามาแก้ไขจิตแก้ไขใจนะ ตัวเรานี้ การที่เรามาประพฤติมาปฏิบัตินี่แหละ ถือว่าเป็นงานใหญ่ เป็นงานหลักของทุก ๆ คนที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ ดับทุกข์ได้
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้เราวิ่งหาครูบาอาจารย์ วิ่งหาวัดที่ปฏิบัติเคร่งครัด อาจารย์โน้นอาจารย์นี้ ให้เราเข้าใจว่า เราจะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหน เราจะไปหาวัดดี ๆ ที่ไหน มันก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ เพราะว่าผู้ประพฤติปฏิบัตินั้นคือตัวเรา ไม่มีท่านผู้ใดที่จะมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้ แทนเราได้
ให้ทุกท่านทุกคนยกระดับจิตของตัวเองเข้าสู่การปฏิบัตินะ เน้นมาที่ตัวเรานี่แหละ เราอยู่ที่บ้านเราก็ปฏิบัติ ตัวเองอยู่ที่บ้าน ไปทำงานก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ทำงาน เพราะการปฏิบัติมันเป็นเรื่องทางจิตทางใจ ไม่ใช่เรื่องรูปแบบ กลับมาหาลมหายใจเข้าลมหายใจออก การปฏิบัติไม่ใช่รูปแบบภายนอก อย่าไปหลงตัวเองอย่าไปลืมตัวเอง อย่าประมาท มันมีเรื่องเพลิดเพลิน มีเรื่องที่จะให้เราประมาทมากมายในโลก ความเพลิดเพลินนี่แหละ มันเป็นเหตุแห่งความหลง คนเรานี่มันมีความสุขสนุกสนาน สะดวกสบาย เอร็ดอร่อย เป็นเครื่องเพลิดเพลิน มันเป็นนันทิราคะ นันทิราคะสะหะคาตา ตัตตระตัตตราภินันทินี (นนฺทิราคสหคตา ตตฺรตตฺราภินนฺทินี) มันประกอบด้วยความเพลิดเพลิน ประกอบด้วยความยินดี กำหนัดย้อมใจ ด้วยอำนาจความเพลิน สุข สนุกสนาน สะดวกสบาย เอร็ดอร่อย แล้วมันก็ดึงจิตดึงใจให้มัน อภินันทินี-เพลิดเพลินยิ่งๆ ตัตระตัตตรา-อยู่ในอารมณ์นั้น ๆ เรื่อยไป มันเป็นธรรมชาติของตัณหา นี่แหละคือเหตุให้เกิดทุกข์ จะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ในหัวใจของทุกคน มันก็มักจะผัดไปเรื่อยแหละ แล้วทุกคนก็ต้องเสียใจภายหลัง
ให้ทุกท่านทุกคนทบทวนชีวิตจิตใจที่ผ่านมา มันมีอะไรจริงแท้แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดมันก็ต้องจากเราไป สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เลวร้ายมันก็ต้องจากเราไป เราอยู่ว่าง ๆ ก็ทำการบ้านตัวเองบ้างนะ สมมุติว่า คุณพ่อคุณแม่เรา ท่านลาละสังขารจากเราไป จิตใจของเราจะเป็นอย่างไร เวลาบุตรธิดาสามีของเราตายไป เราจะคิดยังไง เวลาเราไม่สมหวัง ผิดหวัง พิกลพิการ เราจะคิดอย่างไร เวลาเราเป็นคนยากคนจนไม่มีเงินไม่มีสตางค์ จะเป็นอย่างไร จะคิดอย่างไร เวลาเราเจ็บป่วย ป่วยไข้ไม่สบาย เป็นโรคร้าย เราจะคิดอย่างไร เวลาเขามาด่ามาว่ามานินทาเรา เราจะคิดอย่างไร ปัญหาต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้มันย่อมเกิดกับเราทุก ๆ คน จะหลีกหนีไปไม่พ้นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกปล่อยฝึกวางไว้ตั้งแต่เหตุการณ์มันยังไม่มาถึง เรียกว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องตั้งอยู่ แลแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องดับไป สิ่งๆนั้นมันก็ย่อมมาถึงเราทุก ๆ คนนะ
เราจึงต้องมาทำจิตทำใจให้สงบ หาโอกาสหาเวลาให้จิตให้ใจของเรา แต่อย่ามัวขอโอกาสขอเวลาผัดวันประกันพรุ่งว่าเดี๋ยวก่อนๆ ต้องหาโอกาสหาเวลาทำจิตใจให้สงบ ทบทวนชีวิตจิตใจของเรา เราจะได้ไม่หลง จะไม่ได้เพลิดเพลินไปเป็นวัน ๆ จะได้ฝึกสมาธิให้สติสัมปชัญญะมันสมบูรณ์ จะได้เข้าถึงพุทโธ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ถ้าสถานการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว จิตใจของเราเศร้าหมอง จิตใจของเราหดหู่ จิตใจของเรามันมีทุกข์ แสดงว่าเราปฏิบัติธรรมะ มันยังใช้ไม่ได้
คนเราเมื่อมีความอยาก มันก็ย่อมมีความไม่อยาก ความอยากมาเล่นงานเรา ทีนี้แหละความไม่อยากมันก็จะเล่นงานเราด้วย สัมมาสมาธิคือความหนักแน่น คือความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทุกท่านทุกคนพยายามมีไว้ฝึกไว้ มันจะได้ไม่สายเกินไป การปฏิบัติธรรมะมันไม่ใช่เรื่องความเครียด แต่มันเป็นความสุขความดับทุกข์ เป็นการกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรามันเครียดเพราะเราไม่อยากปฏิบัติ มันถึงเครียด เรายังไม่มองเห็นคุณค่าในการปฏิบัติธรรม ว่ามันเป็นของดีของประเสริฐ พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาเรา ต้องการให้เราเข้าถึงธรรมะ อันเป็นความสุขความดับทุกข์คือพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายด้วยกันทุกท่านทุกคน พระ พุทธเจ้าท่านให้เอาพระธรรมคำสอน ที่ท่านมีเมตตาบอกกล่าวนี้ ไปประพฤติ ไปปฏิบัติ เพราะชีวิตของเรานั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องมาพากันเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งการเดินทาง นั่นก็คือดับทุกข์ได้ คือพระนิพพาน
ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยและบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้อภิบาลปกป้องคุ้มครองรักษาทุกท่าน ให้เป็นผู้ปราศจากสัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย อันตรายใด ๆ อย่าได้มาพ้องพาน เจริญยั่งยืนนานด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วยกันทุกท่านทุกคน เทอญ