แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๔๖ คนเราเกิดขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวผู้รู้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คนเราเกิดขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวผู้รู้ คือรู้ผิด รู้ถูก รู้รายรับ รู้รายจ่าย พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้รายรับ รายจ่าย หนี้ทางภายนอกอย่างนี้ก็ไม่มี หนี้ทางภายในคือหนี้ทางจิตทางใจ ก็ไม่มี จิตใจของท่านเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่นี่ก็ต้องมารู้จักตัวเอง และก็มารู้รายรับรายจ่าย ในการดำเนินชีวิตของตน เพื่อประพฤติปฏิบัติให้ตัวเองมันเข้าใจและก็ปฏิบัติให้มันได้ เราถึงจะบอกลูกบอกหลานเราได้ เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่เรียนอะไรมา ก็ต้องรู้ชัดเจนเค้าถึงบอกลูกศิษย์ได้ ถ้าอย่างนั้นเราพากันลอยแพ ต้องทำติดต่อต่อเนื่อง เราจะได้บอกลูกบอกหลานเราได้ เราต้องเป็นสถาปนิก และก็เป็นวิศวกร ชีวิตของเราต้องมีโครงสร้างที่ เป็นสถาปนิก เป็นวิศวกร เราสังเกตดูน่ะ พวกที่เรียนหมอ เค้าก็รู้แต่เรื่องหมอ เรื่องอื่นเค้าก็ไม่รู้ เรียนอะไรมาก็รู้แต่สิ่งเหล่านั้น แต่พระพุทธเจ้าน่ะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรามีความรู้มีความเข้าใจ เราก็ปฏิบัติได้ทุกหนทุกแห่ง เพราะเราจะเอาความรู้นี้ไปปฏิรูปใช้ได้
ที่ว่า “ใจเย็น” น่ะ ไม่ได้หมายถึงว่าทำอะไรช้าๆ นะ “ใจเย็น” น่ะคือ รู้ทุก รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์อย่างนี้แหละ ต้องรีบทำสิ่งไหนมันดี สิ่งไหนไม่ดีก็รีบหยุด มันถึงจะเข้าถึง “ความใจเย็น” ได้ นักปฏิบัติบางทียังไม่เข้าใจ นึกว่าทำอะไรช้าๆ ชอบใช้ศัพท์ใช้สำเนียงว่าใจเย็นๆ ใจเย็นๆ มันต้องคิดใหม่ มันต้องรวดเร็วว่องไว เพราะทุกอย่างน่ะมันเป็นปัจจุบันธรรม มันต้องให้มันทันเหตุทันการณ์ มันถึงจะเข้าถึง “ใจเย็น” ได้ ใจเย็นอันนั้นน่ะ มันชอบดีใจ เสียใจ จนมันสำเร็จรูปแล้ว มันกินเข้าไปแล้วยังเหลือแต่ย่อย หรือว่าเหลือแต่มันจะถ่ายออกมา กรรมนั้นมันสำเร็จทางจิตใจไปแล้ว
เพราะเราปัจจุบันน่ะ วิปัสสนาเรามันอ่อน และก็ไปบ่นว่าอะไร ค้าขายอยู่ในบ้าน อยู่ในสังคมน่ะ มันสติไม่ทันน่ะ อันนั้นเป็นเพราะเราไม่ได้ฝึก เป็นเพราะเราไม่ได้ปฏิบัติ เพราะคนเราต้องเอาสิ่งที่เราเห็นด้วยตามาปฏิบัติ สิ่งที่ฟังมาด้วยหู สิ่งที่เรากระทำ สิ่งที่เราพูด มาปฏิบัติในปัจจุบัน มันต้องแก้ไขอย่างนี้ เพื่อให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ และก็บ่นกันว่า สิ่งแวดล้อมมันไม่อำนวย ทำอะไรมันไม่ได้ สติมันไม่ทันอย่างนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้ แสดงว่าเรายังไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องขอบใจสิ่งที่มันกำลังวุ่นวายอยู่ สิ่งที่มันประเดประดังอะไรมา เราจะได้เต็มที่ เราจะได้กระฉับกระเฉงว่องไว เราจะไม่ได้เพลิดเพลินขอโอกาสตัวเองไปเรื่อยๆ (เพราะคนเค้าคิดอย่างนั้น เค้าว่ามันสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยก็ สติมันไม่ทัน เพราะว่าเค้าความเคยชินมันเป็นนิสัยแล้ว ด้วยตัวเองไม่ได้ประพฤติ ไม่ได้ปฏิบัติ) แล้วชอบบ่นว่าส่วนใหญ่สติมันไม่ทัน ไม่ใช่ไม่ทันหรอก ไม่ได้ปฏิบัติ ปล่อยให้กรรมมันสำเร็จรูปไป ต้องตั้งอกตั้งใจ ถ้าเราคิดว่าสติมันไม่ทันอย่างนี้แหละ เราไม่ตั้งใจปฏิบัตินะ