แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องมาประพฤติพรหมจรรย์ ตอนที่ ๔๐ ความใจอ่อน ไม่เข้มแข็ง คือความล้มเหลวทั้งทางโลกทางธรรม
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมในองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระผู้เป็นประธาน พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน ทุกท่านเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้วันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดี ส่วนที่สองเราก็ต้องประพฤติต้องปฏิบัติตามความเห็นที่ถูกต้องนั้น แล้วก็ต้องมีความตั้งมั่นอีก เพราะความตั้งมั่นเป็นประธานของทุกอย่าง อริยมรรคมีองค์ ๘ ข้อสุดท้ายสัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่เป็นประธาน ท้ายแห่งการบำเพ็ญพุทธบารมีแห่งองค์พระพุทธเจ้านี้ ที่ต่อยอดมาจากสัมมาทิฐิคือมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มาจบลงที่สัมมาสมาธิ ที่เป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะว่ามีความตั้งมั่น อย่างผู้ที่ต้องการพระนิพพานนี้ก็มีเยอะ แต่ว่ามันใจอ่อน ผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมีที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ ก็มีเยอะ แต่ว่ามันก็ใจอ่อน พอใจอ่อนแล้วไปไม่ได้ การที่ใจแข็ง ใจเข้มแข็งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกคนจะเป็นคนใจอ่อนไม่ได้ ต้องใจเข้มแข็ง ต้องเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่
ที่เราไปไม่ได้ หรือว่าญาติพี่น้องของเราไปไม่ได้ หรือว่าบริษัทห้างร้าน หรือว่าผู้บริหารข้าราชการหรือว่านักการเมือง ที่ไปไม่ได้ก็เพราะใจอ่อน ใหม่ ๆ ก็ดูเหมือนเป็นคนดี ดูเป็นผู้ใหญ่อยู่ แต่เพราะความใจอ่อนนี่เองที่ทำให้เสียหาย ดังนั้นเราอย่าไปมองข้าม ถ้าอย่างนั้นเราจะไปใจอ่อนไม่ได้ เราสมาทานว่าจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่แล้วเราก็ทำไม่ได้ ก็เพราะเราใจอ่อน ใจไม่เข้มแข็ง อย่างพระเรานี้ข้อวัตรข้อปฏิบัติก็มีอยู่แล้ว ถึงเวลาโน้นทำอย่างโน้น ถึงเวลานี้ทำอย่างนี้ เหมือนนาฬิกา เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะจัดการเรื่องความใจอ่อน ความขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องจิตใจเข้มแข็ง จิตใจแข็ง ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ถ้าเราใจไม่เข้มแข็ง ศีลเราก็ร้กษาไม่ได้หรอก เพราะสิ่งต่าง ๆ มันจะมายั่วยวน สิ่งที่มายั่วยวนก็คือเป็นสิ่งที่ให้เราได้ฝึกใจ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยยาก ความลำบาก อากาศร้อน อากาศหนาว สถานการณ์ทุกอย่าง แม้แต่จะเอาชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้ ถ้ามันทำให้เราใจอ่อน สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
อย่างมีชายคนหนึ่งบ้านอยู่ทางภาคอีสาน ก็เป็นหนุ่มเป็นคนรวยเป็นผู้ดีมีสตางค์ เขาก็ติดต่อผู้หญิงสวยให้อย่างนี้แหละ ทีนี้ล่ะปากว่าไม่สนหรอก แต่ใจ
ก็อ่อน รับโทรศัพท์เขา คุยกับเขา เขาก็นั่งเครื่องบินมาหาถึงที่บ้าน มาที่บ้าน ห้องนอนมันก็มีอยู่เป็นห้องใครห้องมัน ห้องแม่ ห้องลูก ห้องน้อง ไม่มีห้องว่าง ไม่รู้จะให้ไปนอนที่ไหน ก็ต้องไปนอนห้องตัวเอง อาทิตย์แรกก็ยังใจเข้มแข็ง แล้วเขาก็กลับไป แล้วอาทิตย์ที่สองนี่มันก็ใจอ่อน อย่างนี้มันก็เสียคน แล้วก็ทำอย่างนี้ไปหลายครั้ง จนต้องประกาศให้คนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของตน อันนี้ก็เพราะว่าความใจอ่อน
อีกอย่างที่เราเรียนหนังสือมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นคนดีเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด เราเสียคนก็เพราะเราใจอ่อน เช่นว่า เรามีสติปัญญา มีความรู้
ความ สามารถ เราก็ทำธุรกิจร่วมกัน ตั้งบริษัทร่วมกัน เพราะเงินทองผลประโยชน์นั้นไม่เข้าข้างใคร ผู้ที่เป็นคนบริหารเงินบริหารบัญชีมันก็เม้มเอา ผลที่สุดบริษัท
มันก็อยู่ไม่ได้ เราก็ต้องทะเลาะกับเพื่อน อันนี้ก็เพราะความใจอ่อน เราไม่ได้รักษาความเข้มแข็ง ไม่รักษาความเป็นธรรมความยุติธรรม ภาพรวมของการทำงานบริษัทร่วมกับเพื่อนร่วมกับคู่หูจึงล้มเหลวกันมีให้เห็นมากมายทั่วโลก ถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลักไม่เอาธรรมเป็นใหญ่
อย่างเมืองไทยของเรานี่มีตระกูลหนึ่ง มีลูกร่วม ๆ ๑๐ คนที่กรุงเทพฯ เป็นลูกคนจีน ครอบครัวคนจีน ทำธุรกิจบ้านจัดสรร ขายที่ดิน ขายบ้านจัดสรร ลงทุนหลายหมื่นล้าน แม่ก็ให้ลูกคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร พี่น้องก็ให้คนหนึ่งเป็นผู้บริหาร กิจการ
ก็ไปได้ดีเจริญรุ่งเรือง มีกำไรขึ้นมาเป็นหมื่นล้านแสนล้าน คราวนี้ลูกชายก็เป็นผู้บริหาร ได้เมียขึ้นมา เมียก็เป็นคนเก่งคนฉลาด เมียก็หาวิธีที่จะยึดเอาเงิน เอาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของตัวเอง เพราะจบบริหารมาจบกฎหมายมา ก็เลยต้อง
ทำให้แม่อายุตั้ง ๙๐ กว่า ๆ ต้องได้ขึ้นโรงขึ้นศาล นี่ก็เพราะว่าเราใจอ่อน เราไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง พ่อแม่จึงต้องเป็นผู้ที่ใจแข็ง ใจมีคุณธรรม มีความยุติธรรม
เราดูข้าราชการนักการเมือง ใจอ่อนนะ บางทีนายคนนั้นก็ดูเป็นคนดี หรืออาจจะเป็นคนดี แต่ก็ไปไม่ได้ ก็เพราะเป็นคนใจอ่อน อย่างที่คนหนึ่งที่จังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีฐานะร่ำรวย มีเงินหลายร้อยล้าน อยากให้พี่น้องญาติตระกูลได้รวยเหมือนกัน ก็ไปค้ำประกันญาติ ญาติของตัวเองที่จะทำคล้าย ๆ กัน โดยที่ไม่บอกให้ทางสามีรู้ เขาเรียกว่า “อำพราง” คือ อำไว้ คิดว่ามันจะเป็นไปได้ สุดท้ายมันก็ต้องล่มสลาย ก็เพราะว่าผู้ที่ไปทำงานไปติดอบายมุข กว่าสามีจะรู้
ก็จนทางธนาคารทางเจ้าหนี้เขาจะมายึดทรัพย์สินเอาแล้ว มูลค่าก็หลายร้อยล้านบาท สุดท้ายก็ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งตระกูล ทั้งสายตระกูลพี่ ตระกูลน้อง
ต้องพังทลายลงไป อันนี้ก็เป็นเพราะความใจอ่อน ที่เรามีพี่มีน้อง ไม่ได้เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ต่างคนก็ต่างมีสามี มีภรรยา มีครอบครัว ที่แย่งมรดกกัน ก็เพราะความใจอ่อนทั้งนั้น
อย่างพระที่เสียคน พระใหญ่ ๆ พระดัง ๆ ที่คนรอบข้างมาเสีย ก็เพราะว่า
ใจอ่อนนี่เอง เสียคนก็เพราะใจอ่อน ใจแข็งนี่ไม่ใช่แข็งอะไรนะ เพียงแต่เอาความถูกต้องเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก เอาความยุติธรรมเป็นหลัก คนเรามันถึงเวลา
ทำอันโน้นก็ทำอันโน้น ถึงเวลาทำอันนี้ก็ทำอันนี้ ถ้าอันนี้ไม่ดีก็ไม่คิด อันนี้ไม่ดีก็ไม่พูด อันนี้ไม่ดีก็ไม่ทำ คนเราเช่นว่าเอาอาหารมาวางไว้อย่างนี้แหละ ถ้าไม่ถึงเวลาทานก็ไม่ทาน จะอร่อยแค่ไหนก็ไม่ทาน มันต้องทำอย่างนี้ ทำให้ได้อย่างนี้
ที่พูดมานี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะ อย่างบริษัทแห่งหนึ่ง อากงอาม่ากับ
ลูกชาย ๒ คนมาพูดให้ฟัง หลวงพ่อก็บอกว่ามันก็ต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้ เราไม่ต้องไปพากันขโมยเอา ลักเอา พากันเม้มเอา อย่างนั้นไม่เอา ต้องเอาบ้าง เรา ๒ คนเป็นพี่น้องกันก็ต้องฟังกัน อย่าเอาเมียเป็นหลัก ทำอย่างนี้อย่างนี้แหละ ทีนี้ เราจะรวย อย่างน้อยเราก็ได้กำไรอย่างน้อยร้อยกว่าล้าน ให้ทำอย่างนี้ เขาก็เอาไปทำตาม เขาก็ได้กำไรร้อยกว่าล้าน ทุกคนมีความสุขไม่ระแวงกัน เดี๋ยวนี้ก็ไปได้อย่างสง่างาม เราจะไปใจอ่อนไม่ได้ อย่างบริษัทคนจีนอย่างนี้แหละ บริษัทจะอยู่ได้
เขาไม่ให้ผู้หญิงมาร่วม ไม่ให้ลูกสะใภ้มาร่วมกับพวกผู้ชาย ที่มันไปไม่ได้ก็เพราะมันใจอ่อน อุดมการณ์มันตั้งไม่ได้ โดยเฉพาะของคนจีน มาตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้กระทั่งการปกครองบ้านเมือง ฮ่องเต้ปกครองประเทศ ฝ่ายในห้ามยุ่งเกี่ยวกับราชกิจ เพราะว่าถ้าหากมีฝ่ายใน ก็คือเหล่ามเหสีพระสนมมายุ่งกับการปกครองแล้วทำให้เสีย การบริหารของคนจีนเขาเลยไม่ให้ผู้หญิงมาร่วม ไม่ให้สะใภ้มาร่วม เพราะว่าที่มันไปไม่ได้ก็เพราะว่ามันใจอ่อน อุดมการณ์มันตั้งไม่ได้ แม้จะสมาทานเป็นคอมมิวนิสต์ไม่โกงกินคอร์รัปชั่น แต่มันก็อดไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นนายกฯ เป็น ส.ส. เป็น ส.ว. มันก็ใจอ่อน อดไม่ได้ บางทีก็เอาพวกพ้องช่วยเหลือคนผิดจนไม่มีที่อยู่ก็มี ใหม่ ๆ มันก็ดีหรอก ยังเข้มแข็ง แต่เพราะมันโยงใยกันก็ด้วยความใจอ่อนทั้งสิ้น
อย่างพระเราก็เหมือนกัน นี่มันเป็นเรื่องจริงที่เรารักษาศีล ๕ ไม่ได้ ก็เพราะอะไร เพราะเราใจอ่อน ที่เรารักษาศีล ๘ ไม่ได้ ก็เพราะเราใจอ่อน ที่เรารักษาสิกขาบทของพระ ๒๒๗ สิกขาบทไม่ได้ ก็เพราะเราใจอ่อน ใจไม่เข้มแข็ง ที่เรารักษาธุดงค์ ธุดงควัตร ๑๓ ไม่ได้ ก็เพราะเราใจอ่อน ที่เราประพฤติปฏิบัติตามข้อวัตร ๑๔ ไม่ได้ ก็เพราะเราใจอ่อน ที่ว่าใจอ่อน ไม่ใช่ใจเนื้อนะ แต่มันเป็นอวิชชา มันเป็นความหลง มันเป็นตัวเป็นตน ใจมันเป็นของบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะความยึดมั่นถือมั่นต่างหากที่ทำให้เราใจอ่อน เราเป็นคนใจอ่อน เราก็จะเป็นคนผัดวันประกัน พรุ่ง มันก็ไปจะกับตัวเก่า ร่องเก่า รอยเก่า เรียกว่าเป็นคนเพลิดเพลิน เป็นคนตั้งมั่นในความประมาท ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเข้มแข็ง ต้องเด็ดเดี่ยว
การดำเนินชีวิตของเราส่วนใหญ่ยังถือว่ายังไม่ถูกต้อง ที่เราเรียนหนังสือ ที่เราทำงาน ทำอะไรก็ทำเพื่อจะให้ตนเองมีแต่ความสุข ทำงานเพื่อให้ตนเองมีความสุข อย่างนี้เขาเรียกว่ายังมีตัวตนแอบแฝงอยู่ มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ พระพุทธเจ้าให้เรามีปัญญาฉลาดกว่านั้น เราไม่ต้องไปอยากไปมีความหลงแอบแฝง ให้มีความสุขในการเรียนหนังสือ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขใน
ความขยัน อดทนและรับผิดชอบ โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ถึงจะได้ความสุขทั้งกายทั้งใจ เป็นความสุขที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นกามคุณ คือมันเป็นคุณ ใจจะได้ไม่เป็นโทษ ถ้าเราเรียนหนังสือ ทำงานขยันอดทนรับผิดชอบ เพื่อความสุข
ความสะดวกสบาย จะได้แค่เพียงอารมณ์ของมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ได้แต่เป้าหมายบนดิน อย่างมากก็แค่เป้าหมายบนฟ้า ใจเราจะไม่สะอาด ไม่อาจจะก้าวไกลไปถึงพระนิพพานได้ เป็นเพียงความสุขความดับทุกข์แค่ระดับต้น ๆ แล้วก็ระดับกลางเท่านั้น ไม่ใช่ความสุขความดับทุกข์ที่สูงสุด
ความสุขเหล่านี้ให้เราพากันเข้าใจ ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานที่สมบูรณ์ สวรรค์เราก็ได้อยู่แล้ว มันไม่ได้หนีไปไหนหรอก เพราะว่าหนทางมันเป็นไป
อย่างนั้น เมื่อเรามีความสุขในการเรียน มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยันรับผิดชอบ ประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวทีอย่างนี้ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ สุคติโลกสวรรค์เหล่านั้นเราก็ได้อยู่แล้ว เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแต่หน้าที่ของเรา ต้องรับผิดชอบในการประพฤติปฏิบัติธรรม ที่สำคัญคือเสียสละ มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ทุกคนจะได้ไม่มีคำว่ายากจน มันจะพอดี มันจะไม่บกพร่อง มันจะไม่เกิน จะพอดี..พอดีอย่างนี้แหละเรียกว่าทางสายกลาง เราพัฒนาทั้งกายทั้งใจ
มีอยู่มีกินมีใช้ และมีปัญญาไม่หลงไม่ติด เพราะชีวิตเราคือการเสียสละ เราทำ
อย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตเราก็มีแต่ความสุข ความเป็นอยู่หรือว่าธรรมชาติของมนุษย์มันพอดี อายุขัยก็ไม่ยาวเกินไปไม่สั้นเกินไป เราก็ได้เกี่ยวข้องกับเทวทูตทั้ง ๔ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความหนาวร้อน ความสุข
ความทุกข์ รวมทั้งเห็นวิถีชีวิตของผู้สละโลก ผู้สละเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน บำเพ็ญพรตบำเพ็ญตบะ เพื่อเข้าถึงความเป็นสมณะผู้สงบระงับ เราเห็นตลอด เห็นคนนั้นแก่ เห็นคนนั้นเจ็บไข้ไม่สบายเจ็บป่วย เห็นคนนั้นต้องตายจากไป เห็นการพลัดพราก แต่เราเห็นกี่ครั้ง เห็นกี่รอบ แต่ทำไมใจเรายังไม่ถ่ายถอน ยังไม่ถอดถอนออกมา ก็เพราะว่ามันติด มันอาลัยอาวรณ์ ก็เพราะว่าใจอ่อนนั่นเอง ยังใจอ่อนอยู่ ใจไม่เข้มแข็ง ทั้งที่เห็นวิถีชีวิต เห็นปฏิปทา ได้ฟังปฏิปทาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จิตใจมันฮึกเหิม แต่ว่าทำไมมันเดี๋ยวเดียวกลับไปร่องเก่ารอยเก่าอีกแล้ว ก็เพราะว่าความใจอ่อนนี่เอง
เมื่อใจของเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีใจเสียสละในปัจจุบัน เราจะมีความสุขความดับทุกข์ได้ทันตา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย เราจะยินดีในความแก่ของเรา ยินดีในความเจ็บของเรา ยินดีในความตายของเรา ยินดีในความร้อนความหนาว ในความยากดีมีจน เราจะมีความสุข เพราะใจเราเป็นสัมมาทิฏฐิ ใจของเราเสียสละและใจของเราเข้มแข็ง ใจไม่อ่อน อบายมุขพวกนี้มันเป็นสิ่งที่หลอกล่อให้คนใจอ่อนกันทั้งโลก อบายมุขมันเป็นสิ่งที่หยาบ พวกขี้เกียจขี้คร้าน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ เจ้าชู เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืนพวกนี้ สิ่งเหล่านี้มนุษย์เราต้องพากันรู้จักโทษ พิจารณาเห็นโทษให้แจ่มแจ้ง รู้จักยังไม่พอ ต้องไม่บริโภคสิ่งเหล่านี้ แม้แต่จะเห็นคนอื่นบริโภค เราก็อย่าไปยินดี ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอปัสเสนธรรม หมายถึงธรรมะที่เป็นที่พึ่งพิง เป็นเหมือนกับพนักพิงหลัง เวลาที่เราจะนั่งรถ จะนั่งเครื่องบิน นั่งเรือ มีพนักพิง เพื่อให้นั่งอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง อปัสเสนธรรมเปรียบเสมือนกับธรรมะที่เป็นพนักพิงเป็นที่พึ่งพิง เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อย่างเรียบง่าย ถูกต้องดีงาม มี ๔ ประการ
หนึ่ง สังขาเยกัง ปฏิเสวติ พิจารณาแล้วเสพ คือการเลือกพิจารณาเสพ บริโภค ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของวัตถุ บุคคล ปัจจัย ธรรมใด ๆ ให้เลือกเฟ้นในการเสพ ทำไมพระพุทธองค์จึงสอนให้มีปัจจเวกขณศีล พิจารณาแล้วถึงบริโภค ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ พิจารณาปัจจัยสี่อย่างถ่องแท้อย่างแยบคายแล้วจึงบริโภค เราไม่ได้กิน ไม่ได้ใช้สอย ไม่ได้บริโภคเพราะว่า เพราะความติด หลงใหล พัวพัน มัวเมา ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อสนุกสนาน ไม่ใช่เพื่อความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่เพื่อให้มันดำรงอยู่ได้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พิจารณาแล้วจึงบริโภค หากบริโภคโดยไม่ได้พิจารณา พระพุทธองค์บอกว่าบริโภคโดยความเป็นหนี้ ๆเพราะถึงแม้จะมีศีลแต่บริโภคใช้สอยโดยไม่ได้พิจารณา ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอิณบริโภค คือ บริโภคด้วยความเป็นหนี้ หากเป็นผู้มีศีลด้วย พิจารณาทุกครั้งในการใช้สอยอะไร จึงจะเป็นทายัชชบริโภค บริโภคด้วยความเป็นลูก ด้วยความเป็นทายาทแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้า ละเอียดอ่อนมากกว่านี้
สอง สังขาเยกัง อธิวาเสติ พิจารณาแล้วอดกลั้น การอดทนอดกลั้นต่อสภาวะ ภาวะต่าง ๆ ที่มันมากระทบ ที่ไม่เจริญใจ ให้หัดข่มใจ ไม่ให้โมโหฉุนเฉียวให้ได้ มันก็คืออันเดียวกับ ขันตีปะระมัง ตะโปตีติกขา ขันติคือความอดทน คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง คืออดทน อดทนต่อสิ่งที่มันไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเจริญใจ ทนร้อน ทนหนาว ทนเหน็ดเหนื่อย ทนความยากลำบาก ขัดใจ มันทวนโลกทวนกระแส ก็คืออยู่ในข้อนี้ คืออย่าไปใจอ่อนนั่นเอง
ประการที่สาม สังขาเยกัง ปริวัชเชติ พิจารณาแล้วละเว้น เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่จะบริโภคแล้วเห็นว่ามันเป็นโทษ นำความทุกข์มาสู่ตนในภายหลัง ก็ให้ละเว้นการบริโภคการเสพสิ่งนั้นเสีย อบายมุข ๖ อยู่ในข้อนี้เลย พิจารณาให้มันเห็นแล้วละเว้นมันออกไป ขี้เกียจขี้คร้าน คบคนพาล กินเหล้า เจ้าชู้ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เจ้าชู้พวกนี้ ล้วนแล้วแต่ว่ามันต้องละเว้นทั้งสิ้น
ประการที่สี่ สังขาเยกัง ปฏิวิโนเทติ พิจารณาแล้วบรรเทา เป็นเรื่องของจิตของใจ พยายามลดละเลิกความคิดที่เป็นไปในทางอกุศล สิ่งไม่ดีอย่าไปคิด สิ่งไม่ดีอย่าไปพูด สิ่งไม่ดีอย่าไปทำ หลวงพ่อพูดประจำ พูดประจำสม่ำเสมอ เพราะคนเราส่วนใหญ่อันไหนที่มันไม่บาป ไม่คิดหรอก อันไหนที่มันไม่บาป คำพูดไหนที่มันไม่บาปมักจะไม่ค่อยพูดกัน คือมักจะคิดมักจะพูดแต่คำพูดบาป ๆ คำพูดเสีย ๆ หาย ๆ เลยเป็นปากงูพิษ เป็นปากสารพัดพิษ พร้อมที่จะไปฉก ไปประหัตประหาร เหมือนกับพกระเบิดหลายลูก พกปืนอยู่หลายนัดอยู่ที่ปากตัวเอง พร้อมที่จะระดมยิงใส่คนอื่นด้วยวาทะ ด้วยวาจาออกมาจากจิตใจที่ไม่สะอาด จิตใจที่สกปรก
อันไหนที่มันไม่บาปก็ไม่ค่อยจะทำ ปกติชอบทำแต่สิ่งบาป ๆ แค่ฟังเรื่องศีล ๕ ก็รู้สึกขัดใจ บางคนก็คิดว่า โอ้..ทำไม่ได้หรอก ข้อหนึ่งก็ยาก ข้อสองก็ยาก ข้อสามแล้วกันเลย ข้อสี่นี่หนักเข้าไปอีก เรื่องคำพูดเรื่องวาจา พูดผิดอยู่ทุกวี่ทุกวัน เรื่องกินเหล้าเมาเบียร์ด้วยแล้ว บอกสังคม ๆ สุดท้ายก็คือเข้าข้างตัวเองด้วยความใจอ่อนนั่นเอง ชนะตนเองไม่ได้
ถ้าตัวเรามีทางแห่งความเสื่อมอยู่อย่างนี้ ตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด เราจะนำพาครอบครัวของเรารอดได้อย่างไร คนทั้งหลายส่วนใหญ่พากันติดอบายมุข ชีวิตจึงตกต่ำไปในอบายภูมิ นี่คือสาเหตุแห่งความยากลำบาก สาเหตุแห่ง
ความยากจน ทุกท่านทุกคนอย่าไปมองไกลให้เสียเวลา กลับมามองตนเอง มายับยั้งชั่งใจให้เสียสละ หลงทางเสียเวลา หลงกิเลสตัณหามันต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ มันจะนำพาตัวเองพร้อมลูกหลานวงศ์ตระกูลไปสู่ความลำบาก ไปสู่ความฉิบหาย ซึ่งส่งทอดมาจากบรรพบุรุษ ปู่ยาตายายจนมาถึงเรา อันไหนไม่ดี เราจะไปทำตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายายพ่อแม่ญาติพี่น้องที่มีความเห็นผิด ๆ ไม่ได้ ไม่ใช่เราเป็นคนหัวแข็งหัวดื้อ แต่เรามีปัญญา รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว จึงต้องมีความสุขในการที่จะแก้ไข พัฒนากายใจให้เป็นอภิชาตบุตรให้ได้ มีความสุขที่จะไม่ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก เพราะนั่นมันคือทางไปสู่ทางอบายภูมิ เราจึงไม่ทำ พ่อแม่บอกเราได้ไม่เต็มปากเต็มคำก็เพราะว่ายังปฏิบัติไม่ได้ ก็เพราะกายวาจาใจยังจมอยู่ในทางแห่งความเสื่อม ที่ครูบาอาจารย์บอกลูกศิษย์อย่างไม่เต็มปากเต็มคำก็เพราะว่าตัวเองยังจมปลักอยู่ตรงนั้นอยู่ เราจะเอาบรรทัดฐานของคนพาลที่มีอยู่ในสังคมส่วนใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ได้
นั่นมันคือทางแห่งความเสื่อม
ถึงจะรวยล้นฟ้าก็ช่างหัวมัน ถ้าเป็นคนพาลก็คือคนพาล ขี้เหล้าก็คือขี้เหล้า
ผีพนันก็คือผีพนัน เมื่อเราไม่รู้จักอบายมุขทางสู่อบายภูมิก็เลยกลายเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เป็นคนใจอ่อน เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง มัวแต่ขอโอกาสขอเวลาว่าเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ก่อน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้าค่อยทำ สุดท้ายชาติหน้าก็ยังไม่ได้ทำเลย ก็เพราะว่ามัวแต่ขอโอกาสขอเวลา การดำรงชีพในครอบครัวมันไปไม่ได้ไปไม่รอดก็เพราะกรรมไม่ดีมันตัดรอน เงินเดือนไม่พอใช้ สามีภรรยาที่ว่ารักกันที่สุดก็รักกันไม่ได้ ไปด้วยกันไม่ได้ มันเครียดนอนไม่หลับ มีหนี้มีสิน เพราะวันเสาร์วันอาทิตย์นักขัตฤกษ์ดอกเบี้ยมันก็ไม่เคยหยุด ช่วงโควิดพักงานตกงานแต่ว่าดอก เบี้ยธนาคารมันก็ไม่เคยหยุด ชีวิตที่ตกอยู่ในทางแห่งความเสื่อมมันก็เผาเราทั้งวันทั้งคืน มันไม่เคยหยุด วันเสาร์อาทิตย์นักขัตฤกษ์ไม่เคยหยุด มันเผาเราให้เดือดร้อนเห็น ๆ ปัญหาในครอบครัวก็เกิดกับทุกคนที่เอาทางแห่งความเสื่อมเหล่า นี้เป็นการดำเนินชีวิต ความทุกข์ของมนุษย์ก็คือความเจ็บไข้ไม่สบาย มีหนี้มีสิน ทั้งหลายทั้งปวงมันก็มาจากความใจอ่อนนี่เอง เพราะจิตใจไม่เข้มแข็ง ความเห็นแก่ตัวที่ไม่เสียสละ
เราจะได้มีความสุขในการไม่ทำตามใจ ตามอารมณ์ ตามความใจอ่อนของตัวเอง มีความสุขในการทำงานซื่ อสัตย์กตัญญูมีศีลมีธรรม มีความสุขในการวางแผนรายรับรายจ่าย คนเราจะไปเอาอะไรมาก ทานอาหารอิ่ม มีที่พักอาศัยพอสบายก็เพียงพอแล้ว ความสุขของเราอยู่ที่ปัจจุบันที่เราได้เสียสละ ทุกท่านทุกคนพากันทำร้ายตัวเองนะที่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เป็นผู้ที่ไม่เมตตาตัวเอง ที่ไม่เอาร่างกายอันประเสริฐนี้มาเสียสละ ไม่มีศิลปะแห่งชีวิตในการเหินห่างจากอบายมุข การดำเนินชีวิตของเราไม่เข้าถึงสุคติ ยังไม่ตายก็ได้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติแล้ว หากเราประพฤติปฏิบัติถูกต้องจึงจะได้เข้าถึงสุคติในปัจจุบัน
ทุกคนแต่งหน้าแต่งตา ทำผม แต่งเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อให้คนรักเคารพนับถือ แต่เมื่อใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่มันดึงเราให้ลงต่ำ ยังใจอ่อน ใจเรามันก็ตกไปสู่อบายภูมิ ตัวเราเองก็เคารพนับถือตัวเองไม่ได้ ให้พวกเราพากันคิดดี ๆ ต้องเข้ม แข็ง ต้องสมาทาน ต้องตั้งใจให้มีพลัง ถ้าใจของท่านยังหลงอยู่อย่างนี้ ใจไม่มีพลังหรอก เรื่องที่จะชนะคนอื่นให้ตัดไปเลย มันโง่ที่อยากชนะคนอื่น คนเราต้องชนะตนเอง ตนเองยังชนะตนเองไม่ได้แล้วจะไปชนะคนอื่น ก็เถียงกันอยู่นั่นแหละ จะเอาแพ้เอาชนะอยู่นั่นแหละ แต่ไม่เอาชนะตนเองสักที ความชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตนเอง ชนะอารมณ์ตัวเอง ชนะความรู้สึกตัวเอง ชนะความใจอ่อนของตัวเอง
เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ชีวิตจึงต้องทวนกระแสอย่างนี้
ทุกคนต้องมาแก้ความใจอ่อนที่อยู่ในตนเอง เมื่อแก้ตัวเองได้แล้วจะได้แก้ลูกหลานวงศ์ตระกูล วงศ์ตระกูลของเราจะได้ยั่งยืน เขาเรียกว่ารวยแบบไม่ฉลาด ถ้าแข่งขันกันเป็นเถ้าแก่อบายมุขอบายภูมิ ตระกูลของท่านไม่ถึง ๒ - ๓ ชั่วคนหรอก ไปไม่ได้แน่ ๆ เราอย่าไปคิดแบบคนที่หลง ที่คิดว่ากินเหล้ากินเบียร์เล่นเที่ยว เพื่อพวกพ้อง เพื่อสังคม เพื่อธุรกิจหน้าที่การงาน คิดอย่างนี้คือการคิดอย่างคนไร้สติไร้ปัญญา ไร้ศักยภาพแห่งการคิด นี่คือความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ คือแพ้ใจตนเอง ก็ด้วยความใจอ่อนนี่เอง ถ้าไม่ดื่มไม่เที่ยวเดี๋ยวเราจะไม่มีพรรคไม่มีพวก มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าใครมีเงิน เงินนั้นได้มาจากการเสียสละ ไม่ใช่ได้มาจากการโกงบ้านกินเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทุกคนก็จะรักเคารพนับถือ แต่ถ้าใจยังจมอยู่ในทางแห่งความเสื่อม ใจอ่อน ยังถือเงิน ถือวัตถุ ถือเงินเป็นพระเจ้า ถืออวิชชาคือความหลงเป็นพระเจ้าอย่างนี้ มันคือสุดโต่ง เอาความหลงเอาวัตถุแต่ไม่ได้พัฒนาใจ ไม่ได้เอาชนะใจ อย่างนี้ไม่ใช่นะ มันไม่ถูก
ผู้นำจิตวิญญาณของโลกอย่างพระพุทธเจ้า พระเยซู ศาสดานบีมูฮัมหมัด ศาสดาคุรุนานัก ผู้นำศาสนาทุกศาสนาคือผู้ที่สละเสียซึ่งอบายมุข โดยเฉพาะไม่ใจอ่อน เป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตั้งมั่น มีกำลัง ทุกคนก็เคารพนับถือพระพุทธ เจ้า เคารพนับถือในพระเยซู เคารพนับถือในท่านอัลเลาะห์ เคารพนับถือในศาสดาต่าง ๆ ในศาสนาของตน ๆ เคารพนับถือในท่านผู้ที่เสียสละ ผู้ที่ไม่ใจอ่อน ผู้ไม่ทำตามใจตนเองตามอารมณ์ตนเอง ศาสนาทุกศาสนาก็ไปในทางเดียวกัน สอนให้คนเป็นคนดีมีความสุข ศาสนาคือความเป็นธรรมคือความถูกต้องความยุติธรรม
ความเสียสละ ปราศจากซึ่งตัวซึ่งตน เหินห่างจากอบายมุข ไม่ตกอยู่ในความลุ่มหลงทางวัตถุ ต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยีพัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน
ทุกท่านทุกคนต้องเข้มแข็ง ถ้าท่านไม่เข้มแข็งท่านก็ไม่ใช่ผู้นำ ประการแรกต้องมานำตนเองก่อนนี่แหละ นำตนเองออกจากวัฏสงสาร ออกจากความทุกข์ ออกจากอบายมุขอบายภูมิ ไม่ต้องไปเป็นกาฝากของคนอื่น ต้องพากันคิดเป็นวางแผนเป็น รับผิดชอบเป็น มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราไม่ต้องพากันยากจนเหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่พาเราทำมา เราไม่ต้องไปกลัวความจน มันจะเสื่อม ไม่ต้องไปรักษาวงศ์ตระกูลที่ยากจนไว้ ยากจนมาจากอะไร ทำไมสงวนไว้นักหนา ยากจนมันก็มาจากความขี้เกียจขี้คร้าน กินเหล้าเมายา เจ้าชู้ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนพาลคบคนชั่วเป็นมิตร ใจอ่อนอีกนั่นแหละ ไม่ขยัน
ไม่รับผิดชอบในการทำงาน อย่าไปกลัวความยากจน มันเสื่อมนะ เราต้องเป็นผู้ที่ตื่น ตื่นเถิดชาวมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง อย่าได้พากันหลงใหลต่อไปอีกเลย ถึงคราวแล้วถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องพากันมาเสียสละความใจอ่อนออกไป การดำเนินชีวิตการสร้างบารมีของเราต้องทำติดต่อต่อเนื่อง อย่าไปประพฤติลูบคลำย่อหย่อนอ่อนแอ อย่าไปสงสัย ต้องมีความตั้งมั่น มีศรัทธามีฉันทะมีความพอใจ เราประพฤติปฏิบัติไปก็จะมีแต่ความสุข ก็จะมีแต่ปัญญา เรามีปัญญาก็จะมีความสุข ก็จะพัฒนาไปอย่างนี้ ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่าก็ยิ่งอุทานได้ว่า โอ..ทำไมมีความสุขอย่างนี้ น่าอัศจรรย์จริง ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านประเสริฐแท้ สอนมวลมนุษย์ให้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง เราจะพากันไปรักไปหลงไปใจอ่อนอยู่ไม่ได้ ที่เราตกต่ำท่องเที่ยวมานานเป็นอเนกชาติอยู่ในวัฏสงสาร ระหกระเหินเร่ร่อน ขึ้น ๆ ลง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็เพราะว่าความใจอ่อน ใจไม่เข้มแข็งนี่เอง
น่าจะสมควรสมเวลาแล้วที่เราจะต้องมีสติมีปัญญาให้รู้ว่า เป็นสิ่งที่พวกคนเขลาพากันหลงอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาทนอยู่ไม่ ต้องปิดอบายภูมิให้กับตนเองให้ได้ในชาตินี้ อย่ามัวแต่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติ มันไม่ใช่ทรงเกียรตินะ มันเสียเกียรติ เสียเกียรติของความเป็นมนุษย์ เกียรติของความเป็นมนุษย์มันหมดแล้ว มันจะเหลืออะไร ก็เหลืออยู่แต่เพียงกายเท่านั้น แต่ว่าใจมันดิ่งนิ่งลงไปในอบายภูมิหมดแล้ว ลองคิดดูสิหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เกียรติของความเป็นมนุษย์ยังเหลืออยู่ไหม เกียรติยศไม่ได้มาจากชาติกำเนิด แต่เกิดจากการกระทำ เกิดจากคำพูด เกิดจาความความคิด คิดดีพูดดีทำดี ผู้นั้นก็เป็นผู้มีเกียรติ เกียรติของความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าหากจิตใจตกต่ำ เกียรติของความเป็นมนุษย์ไม่เหลือเลย
ที่กล่าวมานี้เพื่อจะให้ทุกคนรู้แจ้งว่า เราทุกคนสมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องมาประพฤติมาปฏิบัติ มีศีลเสมอกัน มีสมาธิความตั้งมั่นไม่ใจอ่อนเสมอกัน เพื่อที่จะพัฒนาปัญญาให้เสมอกัน คือมีปัญญาที่จะออกจากวัฏสงสาร เราจะได้มีจิตใจสว่างไสวไหลไปสู่กระแสแห่งพระนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธ ศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงฝากเอาไว้ ต้องฝึกใจให้สงบ ให้ใจอยู่กับกาย ฝึกปล่อยวางเรื่องที่เป็นอดีต ปล่องวางเรื่องที่วิตกกังวลในเรื่องอนาคต พยายามให้ใจสงบอยู่กับปัจจุบัน ความสงบนี้มีความจำเป็นมากเพราะว่าความสงบเป็นที่อยู่ที่อาศัยของใจ เป็นบ้านที่แท้จริงของใจ ถ้าใจเราไม่สงบมันเสียศูนย์ไปหมด ดังพุทธภาษิตที่ว่า ความสุขความดับทุกข์อันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้ ไม่มี นัตถิสันติปะรังสุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบเป็นไม่มี เราฝึกหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบายทุก ๆ อิริยาบถ ใจของเราจะได้อยู่กับปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า สัพฺพะปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง คนเราต้องทำความดีให้ถึงพร้อม กุสะลัสสูปะสัมปทา คนเราต้องทำความดีตั้งแต่เช้าจนหลับ ตื่นขึ้นก็ทำความดีต่อ เสียสละต่อการปฏิบัติอย่างนี้ เขาเรียกว่าเป็นคนรักษาศีล เป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีสมาธิความตั้งมั่นอยู่กับการรักษาศีล สมาธิก็แปลว่าความสงบ ความตั้งมั่น ใจไม่อ่อนนั่นเอง ความสุขความดับทุกข์ความเย็นใจความสบายใจ ศีลกับสมาธิมันก็ต้องไปด้วยกัน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบใจมีความสุข ใจเย็นใจสบาย ปัญญาคือความฉลาดความเฉลียวรอบคอบ คิดได้ดีคิดได้เก่ง เป็นคนมีเหตุมีผล
แต่ปัญญานี้ยังใช้งานไม่ได้นะ ถ้าไม่มีศีล ถ้าไม่มีสมาธิ จะเอาแต่ปัญญา
จะเอาแต่ปัญญา แต่ไม่เอาศีลไม่เอาสมาธิมันก็หลงทาง เหมือนแนวการปฏิบัติของคนยุคใหม่ที่หลง หลงในวัตถุ หลงในกาม ติดสุขติดสบาย ดึงธรรมะ ปรับธรรมะเข้าข้างตัวเอง จะเอาแต่การตื่นรู้ จะเอาแต่ปัญญา แต่ไม่เอาศีลไม่เอาสมาธิ สุดท้ายแล้วหลงทางไปหมด เหมือนกันกระบือบอดเที่ยวไปในป่า ไม่รู้จักที่ตรงไหนมันมีอันตราย ไม่มีอันตราย ก็เหมือนกับคนเราผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ หากไม่มีศีลไม่มีสมาธิจะเอาแต่ปัญญาแล้ว ปัญญาจากโลกุตระไม่มีทางเกิด เพราะไม่มีพื้นไม่มีฐาน พื้นฐานมันต้องเป็นระดับไต่เต้าไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเรียนทีเดียวอนุบาลแล้วไปจบด็อกเตอร์เลยหรอก มันต้องไต่เต้าเป็นขั้น ๆ ไป ปลูกมะม่วงเสร็จใหม่ ๆ จะกินมะม่วงสุกเลยมันก็ไม่ได้ มันต้องดูแลรักษารดน้ำพรวนดิน รอคอยให้มันออกดอกออกผล
การประพฤติการปฏิบัติพระพุทธองค์ทรงวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว อย่าไปปรับธรรมะเข้าข้างตัวเอง เราต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้พาทำแบบนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนแบบนี้พาประพฤติพาปฏิบัติแบบนี้ เราก็ต้องทำตามท่าน ไม่หลงทางแน่นอน ต้องไปด้วยกัน ปัญญาจะเกิดได้ โดยเฉพาะโลกุตระปัญญาเป็นอริยปัญญา (excellent wisdom) อริยปัญญา ปัญญาโลกุตระจะเกิดขึ้นได้มันต้องมีศีลมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีศีลมีสมาธิแล้วก็เป็นแต่เพียงปัญญาโลก ๆ เป็นโลกียะปัญญา เป็นปัญญาที่ไม่แน่นอน พร้อมที่จะเอาไปทำผิดได้ทุกเมื่อ ปัญญาเราจะไม่ได้ผลเลย ไม่สามารถที่จะละกิเลสละตัวละตนได้ ต้องอาศัยศีลคือความประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต้องอาศัยสมาธิคือความตั้งมั่นหนักแน่น ไม่หวั่นไหวไม่ง่อนแง่นไม่คลอนไม่แคลนไม่โยกคลอน ทนต่อการท้าทาย ต่อการพิสูจน์
จิตใจที่สงบเป็นจิตใจที่ความปรุงแต่งเข้ามาก่อกวนไม่ได้ เราถึงจำเป็นต้องฝึกสมาธิให้เป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ให้ใจมันมีความสุข ให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ให้จิตใจมันหลงโลก หลงอารมณ์ หลงสิ่งแวดล้อม เป็นจิตใจที่ไม่ถูกอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่ารูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญ ในชีวิตประจำวันมันมาครอบงำไม่ได้ ถ้าเรามีสมาธิแล้วมันจะแยกกันไปคนละเรื่อง สิ่งภายนอกมันก็เป็นภายนอก กายมันก็เป็นกาย ใจมันก็เป็นใจ มันจะสงบอยู่ เป็นสุขอยู่ ดับทุกข์อยู่ เราต้องทำไปอย่างนี้ ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปทุกวัน เราทำงานก็ให้ใจเรามีความสุขกับการทำงาน เราทำข้อวัตรกิจวัตรก็ให้ใจเรามีความสุขกับการทำข้อวัตรกิจวัตรประจำวัน เราอย่าไปแยกว่าปฏิบัติธรรมก็อย่างหนึ่ง ทำงานก็อย่างหนึ่ง ที่แท้มันเป็นอันเดียวกัน มันจะแยกกันไม่ได้ เหมือนกับเรามีลมหายใจ เราอยู่ที่ไหนเราก็ต้องหายใจ ถ้าเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ อินทรีย์บารมีของเราก็จะแก่กล้า เราก็จะได้รู้ว่าเขาทำอย่างนี้เอง เขาปฏิบัติอย่างนี้เองคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมถึงเป็นการเสียสละละตัวละตน การทำงานก็คือการเสียสละละตัวละตน
ละความขี้เกียจขี้คร้าน ละความติดสุขติดสบาย ละความใจอ่อน ผลที่ได้รับก็คือเราจะเป็นผู้ที่มีใจเข้มแข็ง มีความสุขความร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์ และก็ร่ำรวยด้วยอริยทรัพย์คือคุณธรรม ทำไปเรื่อย ๆ อย่าไปใจร้อน คนเรามันใจร้อน ทำอะไรนิดหน่อยก็อยากได้มาก ปฏิบัตินิดหน่อยก็อยากบรรลุ กิเลสมันเผาตัวเอง มันเผาทั้งที่ยังไม่ตาย เรียกว่ามันตกนรกทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย มันเผาตนเองยังไม่พอมันยังเผาคนอื่น เผาพี่เผาน้อง สารพัดที่มันจะเผาได้
เราไม่ต้องอยาก เราสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้พร้อมให้เต็มที่ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในความไม่เพลิดเพลิน ที่จริงเราก็ไม่อยากประมาท แต่บางทีธาตุขันธ์ของเราไม่อำนวย เลยกลายเป็นคนประมาท กลายเป็นคนใจอ่อน จิตใจไม่เข้มแข็งไม่ตั้งมั่น ใจไม่มีสัมมาสมาธิ มันเลยไม่มีกำลัง เพราะว่าต้องเข้มแข็ง ต้องหนักแน่นต้องกล้าหาญ ต้องกล้าตัด กล้าละ กล้าวาง เราต้องตาย คือตายจากความคิดอย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ ตายจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ตายเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี คือถ้าเราไม่ตายจากบาป คือถ้าเราไม่ตายก่อนตายเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี ส่วนมากมันติด มันอาลัยอาวรณ์ อาลัยใยดี มีแต่อาลัย มันไม่อยากทิ้ง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันมาสร้างบารมี สร้างมาด้วยกันนานแล้ว มันไม่อยากพลัดพรากจากกัน แต่เราจำเป็นต้องตัด ต้องละ ต้องวาง เราต้องตัดสังโยชน์ ตัดสงสารด้วยความจำเป็น เพราะการเกิดทุกคราวมันเป็นทุกข์ร่ำไป การแก่ทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป การเจ็บไข้ไม่สบายเจ็บป่วยมันเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป การตายทุกคราวมันเป็นทุกข์ร่ำไป มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ มันไม่มีอะไรหรอกนอกจากทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป
การที่เรามาสงบระงับสังขารทั้งหลายจึงจะเป็นสุขอย่างยิ่ง เรามีสัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่น ไม่ใจอ่อน พระพุทธเจ้าท่านถึงหายใจเข้าก็สบาย ทรงหายใจออกสบาย มีปีติ มีความสุข เอกัคคตา ไม่วิ่งไปตามอารมณ์ตามสังขาร ที่ว่าการปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ให้เรากลับมาที่ใจ มันเป็นของง่าย ปัญหาต่าง ๆ ในโลกนี้มันมาจบที่ใจเรา เรื่องภายนอกมันไม่จบ เรามาทำปริญญาของพระพุทธเจ้า ทำเรื่องดับทุกข์ภายในจิตใจให้กับตัวเอง นี่แหละเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกตรง สมควร และเป็นบุคคลที่น่ากราบน่าไหว้ เป็นบุคคลที่เกิดมามีประโยชน์ไม่สูญเปล่า ชีวิตไม่เป็นหมัน เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น บุคคลเช่นนี้น่าจะมีมาก ๆ จะได้นำความสุขความสงบความร่มเย็นแก่ชาวโลกทุก ๆ คนที่เกิดโลกเดียวกันกับเรา เราต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการมีศีลสมาธิปัญญา จะได้เป็นผู้มีความสุขความดับทุกข์สู่ตนเองที่ถาวรมั่นคง ด้วยความไม่ใจอ่อนนั่นเอง
ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยและบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้อภิบาลคุ้มครองปกป้องรักษาทุกท่าน ให้เป็นผู้ปราศจากสัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย อันตรายใด ๆ อย่าได้มาพ้องพาน เจริญยั่งยืนนานด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วยกันทุกท่านเทอญ