แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เปลี่ยนฐานชีวิตให้เป็นมงคล ตอนที่ ๓ รู้จักมงคลภายในและการไม่คบคนพาล
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระผู้เป็นประธาน พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน ทุกท่านเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ในช่วงนี้องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็เมตตาให้บรรยายในเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนฐานชีวิตให้เป็นมงคล เปลี่ยนทั้งฐานชีวิตแล้วก็จิตใจให้เป็นมงคล
มงคลคืออะไร? ความหมายของคำว่ามงคล เมื่อพูดถึงคำว่ามงคล หลายคนก็นึกวาดภาพไปว่าคงจะเป็นเรื่องอภินิหาร เรื่องมหัศจรรย์ เรื่องวัตถุมงคล ตะกรุด เครื่องราง ของขลังหรือแม้กระทั่งเรื่องไสยศาสตร์ อะไรทำนองนั้น แต่ความจริงก็น่าจะคิดอย่างนั้น เพราะหลายๆ คนตั้งแต่เด็กจนกระทั่งทุกวันนี้ได้ยินแต่เรื่องไสยศาสตร์มาตลอด เพราะมันอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เลยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับของขลังอยู่บ่อยๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว มงคลเหล่านั้นไม่ใช่มงคลแท้จริง เป็นแค่มงคลภายนอก ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย ความทุกข์ยังเท่าเดิม กิเลสก็ยังเท่าเดิม ราคะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็ยังเท่าเดิม อาจจะเพิ่มเติมด้วยซ้ำไปเมื่อมีพวกเครื่องรางของขลังมากขึ้นๆ ที่สมมุติเรียกกันว่า วัตถุมงคล ดังนั้น มงคลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องมงคลภายใน ไม่ได้ให้ไปติดกับมงคลภายนอก
คำว่ามงคลมาจากคำภาษาบาลีว่า มังคละ มังคละแปลตามรากศัพท์หมายความว่า เหตุให้ถึงความเจริญ เหตุเป็นเครื่องถึงความบริสุทธิ์แห่งเหล่าสัตว์ เหตุที่ตัดความชั่ว เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่ามงคล รวมๆ แล้วจึงหมายถึงเหตุที่ทำให้คนเจริญ ให้เจริญขึ้น เป็นทางก้าวหน้า เป็นทางพัฒนาชีวิต คำว่ามังคละหรือมงคล ประเทศพม่าใช้คำทักทายเวลาเจอกัน คือคำว่า มิงกะลาบา มิงกะละมาจากคำว่า ”มังคละ” “มิงกะลาบา” แปลว่า ขอให้มีมงคล เวลาเขาทักทายกัน อย่างประเทศไทยเราใช้คำว่าสวัสดี มาจากบาลี มาจากบาลีคือคำว่า โสตถิ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา โสตถิ ก็คือความโชคดี ความสวัสดีที่เอามาใช้ทักทายกัน อย่างประเทศศรีลังกาใช้คำว่า อายุบวร “อายุบวร” แปลว่า ขอให้อายุยืน เจริญด้วยอายุ มาจากบาลีทั้งนั้น ดังนั้น มงคลนี้ ทำไมประเทศพม่าถึงเอาไปใช้เป็นคำทักทายกัน ประเทศพม่าเป็นเมืองพุทธ เป็นเมืองพุทธเหมือนกับประเทศไทยเรานี่แหละ เพราะเป็นของดี โดยเฉพาะมงคลภายใน ในสมัยนี้เป็นสมัยแห่งการพัฒนา ไม่ว่าจะประเทศใดๆ ต่างก็เร่งรัดพัฒนากันเป็นการใหญ่ ไม่ว่าจะพัฒนาชนบท พัฒนาการศึกษา พัฒนาอุตสาหกรรม หลายๆ อย่างที่เราตื่นตาตื่นใจ ย้อนหลังไป ๑๐ ปี มันพัฒนาไวมาก ยังไม่ขนาดนี้เลย ย้อนหลังไป ๒๐ ปีก่อน โทรศัพท์มือถือยังไม่เหมือนกับขณะนี้เลย สมัยก่อนก็แค่โทรเข้าโทรออก ส่งข้อความหากัน แต่ทุกวันนี้พัฒนาไปไกลมาก ซึ่งการพัฒนาเหล่านั้นก็ยังเป็นการพัฒนาภายนอก
ความเป็นจริงแล้ว ความหมายของมงคลจริงๆ ที่เป็นมงคลภายในก็คือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้มันเจริญขึ้นโดยเฉพาะสภาพชีวิตจิตใจ ในเรื่องของความเป็นมงคลนี้ถกเถียงกันสมัยโบราณตั้งแต่สมัยก่อนพระพุทธเจ้าจนกระทั่งถึงสมัยพระพุทธเจ้านี้ ถกเถียงกันมาตลอดว่าอะไรเป็นของดี อะไรเป็นมงคล อย่างเหตุเกิดเรื่องของมงคลนี้ ถกเถียงกันมาถึง ๑๒ ปี ความคิดการพัฒนาของคนสมัยก่อนนั้น เขาคิดรอบคอบมาก ถึงกับอภิปรายแตกหักกันเลย เราจะสังเกตได้จากนักปรัชญากรีก โรมันโบราณ นักปรัชญาเมธีทั้งหลายเถียงกัน ยกหัวข้อขึ้นมาแล้วเอามาเถียงกัน เหตุเกิดขึ้นแห่งมงคลก็เช่นเดียวกัน นักปราชญ์ของอินเดียโบราณเถียงกัน เถียงกันว่าอะไรเป็นมงคล แล้วอะไรเป็นผลดี ความคิดของเขาก็เลยเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ว่าได้ผลดีมาก อันนี้คือความคิดของคนโบราณ ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้คิดที่จะพัฒนาตัวเองในทางลัด บางคนสูบบุหรี่ไม่เป็น ก็สูบบุหรี่เพื่อที่จะเข้าสังคมได้ง่าย บางคนริดื่มสุราเพื่อที่จะหาเพื่อนฝูง บางคนคิดอยากจะรวยทางลัด ถึงกับลงทุนแบบไปอาศัยเครื่องรางของขลัง ไปหาหลวงพ่อนั้น ไปหาเจ้าพ่อนี้กันวุ่นวายไปหมด ทั้งนี้ก็เพื่อจะพัฒนาตัวเอง แล้วก็ครอบครัวนั่นเอง แต่น่าเสียดายที่ใช้ความพยายามในการนึกเดา ด้วยการเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ตามใจตามอารมณ์นี้ ผลที่สุดก็ไม่ได้รับผลตามความมุ่งหมาย ถ้าเดากันอย่างในสมัยเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อนนั้นนี่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเขาเดากันด้วยความปรารถนาดีที่จะให้ได้ผลดี เพราะในสมัยนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ แล้วก็ยังไม่มีผู้รู้คอยแนะนำ เหมือนคนที่ไปเดินบุกป่าฝ่าดง เพราะว่าในสมัยนั้นถนนหนทางก็ยังไม่มีเหมือนกันทุกวันนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ทางเขามีไว้ให้เดินอย่างสบาย ถ้าใครยอมบุกป่าอย่างเดิมก็คงจะเข้าใจว่ามีปัญญาน้อย ฉลาดน้อย เรื่องมงคลนี้ก็เหมือนกัน ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าของเราทรงแสดงไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด สมบูรณ์มาก ทรงแสดงไว้ถึง ๓๘ ประการที่เราสวดกัน เรารู้ความหมายสั้นๆ แต่ความจริงแล้วลึกซึ้งกินใจมาก พระพุทธเจ้าแสดงไว้ขนาดนี้แล้ว สมบูรณ์ขนาดนี้แล้ว แต่แล้วเราก็ยังไปแสวงหาทางพัฒนาที่ล้าสมัยกันอยู่ ที่เรียกว่าล้าสมัยนี้ คือล้าสมัยทางใจ จริงอยู่ ภายนอกพัฒนา แต่การพัฒนาทางใจมันล้าสมัย ตามไม่ทัน เลยเป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวชใจ ดังนั้นแล้ว จึงเป็นอันยุติในความหมายของคำว่ามงคลจริงๆ ก็คือ การพัฒนาชีวิต พัฒนาจิตใจ
ทีนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีกว่า จะทำอย่างไรจึงจะเป็นการพัฒนาชีวิต ปัญหานี้ก็มีตอบกันเป็น ๒ สาย คือ ฝ่ายคณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ สมัยก่อนโน้น จึงทำให้ต้องถกเถียงกันอยู่ถึง ๑๒ ปี อันนี้คือฝ่ายแรก ตามความเชื่อของเจ้าลัทธิของนักปรัชญาต่างๆ แล้วอีกสายหนึ่งก็คือ มงคลจากพระพุทธเจ้าทางหนึ่ง มงคลแรกที่เหล่านักคิด นักปรัชญาเถียงกัน นั่นคือเป็นมงคลของนักคิด ส่วนมงคลของพระพุทธเจ้าเป็นมงคลของผู้ตรัสรู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วก็เรื่องมงคลต่างๆ ก็มีเชื้อสายติดกันมาอยู่จนทุกวันนี้ เป็นต้นว่า จะทำการมงคลใดๆ ก็ตามก็ต้องมีใบไม้สักอย่างหนึ่ง อย่างนั้นอย่างนี้จึงจะเป็นมงคล เช่นว่า ต้องใส่ใบมะตูมเพื่อจะให้ชื่อเสียงโด่งดัง ใส่ใบทอง ใบนาค ใบเงิน ผิวมะกรูด ขมิ้นชัน หญ้าแพรกเหล่านี้เพื่อที่จะให้เป็นเบญจมงคล อัตถะมงคลสารพัดอย่างที่สมมุติกันขึ้นมา เพื่อที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น จึงมีมากมายประเทศไทยเรานี่ ต้นไม้มงคล สีมงคล มงคลประจำวัน มงคลประจำปี สารพัดที่มีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ซึ่งมงคลเหล่านี้เป็นมงคลของนักคิด ไม่ใช่มงคลของผู้ตรัสรู้ ทีนี้เราก็สังเกตไว้ว่ามงคลของนักคิดนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจิตใจเลย เกี่ยวกับเรื่องวัตถุทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใบมะตูม ใบเงิน ใบทอง ต้นไม้อย่างนั้น ต้นไม้อย่างนี้ก็เป็นแต่วัตถุ ถ้าใครมีสิ่งของนั้นไว้แล้ว ก็คิดกันว่าเป็นมงคลแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาจะทำงานมงคลต่างๆ จึงต้องวิ่งหากันให้ขวักไขว่ งานแต่งก็ต้องมีหอยสังข์ มีมงคลแฝดเป็นต้น มีไว้เองไม่ได้ ต้องไปขอยืม หรือไปขอเช่ามาเพราะอยากได้มงคล เรื่องพิธีกรรมนี่แหละ หลายคนหลายความคิด มากคนก็มากความ ยากที่จะประมวลกันมาได้หมดสิ้น เพราะเจ้าลัทธิเหล่านี้ นักคิดเหล่านี้ หมอดู หมอเดา เหล่านี้เดากันขึ้นมานั่นเอง เมื่อต่างคนต่างก็เดากันไป คาดกันไปต่างๆ นานา
เราลองคิดดูสิว่ามงคลของประเทศไทยก็อย่างหนึ่ง มงคลของฝรั่งก็อย่างหนึ่ง มงคลของคนแขกก็อย่างหนึ่ง มงคลของคนจีนก็อย่างหนึ่ง แล้วแต่ที่นักคิดจะคิดคาดเดากันขึ้นมา มงคลทั้งสองนี้เราลองมาพิจารณากันว่าอย่างไหนจะขลังกว่ากัน ก็ต้องอาศัยปัญญานี่แหละเป็นการพิจารณา โดยเฉพาะโยนิโสมนสิการ ปัญญาที่พิจารณาให้ถ่องแท้ คือการตั้งมงคลของนักคิด ใช้วิธีถามตัวเอง เอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาง่ายๆ คือ ตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก และความคิดเหล่านี้ พอจะสรุปแล้ว ก็จะได้อยู่ ๖ ทางด้วยกันทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นักคิดคนใดชอบต้องการทางไหน ก็จะยกเอาสิ่งนั้นแหละเป็นมงคล พวกที่ชอบดูชอบมองก็จะเอาตาเป็นเกณฑ์ ได้แก่พวกที่ถือขนาดรูปร่าง เช่นว่า ไม้ตะพดต้องยาวเท่านั้นเท่านี้ มีดหมอต้องยาวเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็นิยมสีทีนี้ สีตามวัน อาทิตย์สีแดง วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู สมมุติขึ้นมาว่าเป็นมงคล นี่คือเอาตาเป็นเกณฑ์ เอาการมองเห็นเป็นเกณฑ์ แล้วก็สมมุติกันว่าเป็นมงคล แล้วพวกที่เอาหูเป็นเกณฑ์ ก็อย่างเช่นว่า ที่ได้ยินเสียงพราหมณ์ถือหอยสังข์เป่า เสียงมันดังตูมๆๆ ขึ้นมา ก็ถือว่าใบมะตูมนี่แหละเป็นไม้มงคล เพราะถือเอาชื่อมัน เอาสมมุติทั้งนั้นเลยเป็นมงคล ปลูกต้นมะขามก็จะมีคนเกรงขาม ต้นมะยม ใบมะยมก็จะมีคนนิยม สมมุติทั้งนั้นเลย ทั้งที่ต้นไม้มันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยว่าฉันชื่อต้นมะขามนะ ฉันชื่อต้นมะยมนะ ฉันชื่อต้นมะตูม ต้นไม้มันไม่ได้มีชีวิตจิตใจ มันไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย คนเราไปสมมติชื่อให้มันอย่างนั้น ชื่ออย่างนี้ แล้วก็คิดว่าเป็นมงคล ก็เลยเอาสิ่งเหล่านี้มาตัดสินว่านี่แหละเป็นมงคล แล้วมงคลภายนอก ส่วนใหญ่จะทำกันในศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ฮินดูมีมาก่อนพุทธศาสนา คนก็จดจำนับถืออย่างนี้กันมาตลอด แล้วก็แผ่อิทธิพลมาหลายประเทศ มาถึงสุมาตรา เกาะชวา มาถึงอาณาจักรขอม เข้ามาสู่ประเทศไทย อันนี้คือสายพราหมณ์สายฮินดูที่เข้ามา แล้วก็ยึดถือกันมาเป็นขนมเป็นธรรมเนียมเป็นประเพณี อยู่ที่ว่านักคิดเหล่านั้นจะฝากความสำคัญไว้กับสิ่งใด เพราะฉะนั้น การทำสิ่งใดที่ชอบด้วยขนบประเพณี แล้วก็เป็นผลดีทางด้านจิตใจแล้วก็ความสามัคคี แต่สำคัญอยู่ที่ว่า เราไม่ควรที่จะฝากความสำคัญ หรือความเจริญก้าวหน้าไว้กับวัตถุไว้กับสิ่งของเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะมีของครบตามที่นักคิด นักปราชญ์สมัยก่อนคิดกันไว้ก็ตามที่ระบุ สมมุติว่าพิธีมงคลสมรสนี้ ต้องมีน้ำอย่างนั้น มีน้ำอย่างนี้ ต้องมีหอยสังข์มารด เราลองดูว่า ต่อให้รดจากหอยสังข์ดีขนาดไหน น้ำมนต์ดีขนาดไหน ถ้าคู่ชีวิตนั้นไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เอื้อเฟื้อต่อกัน ชีวิตคู่ก็ไปไม่ราบรื่น สุดท้ายทะเลาะกัน เลิกกัน หย่ากัน จะเห็นได้ว่าน้ำสังข์จากมงคลของนักคิดของคนโบราณสมัยก่อนนั้น ก็แค่จะเปียกชุ่มเวลาที่รดลงบนศีรษะ รดลงบนมือแค่นั้นเอง แต่มงคลของพระพุทธเจ้าที่เป็นมงคลทางจิตใจนี้จะให้ความชุ่มฉ่ำเย็นใจไปตลอดชีวิต เราต้องเทียบกันอย่างนี้
บางทีบางบ้าน เวลาจะมีงานต่อชะตา ต้องมีส้มป่อย ต้องมีส้มป่อยเอามาเผาไฟ เป็นประเพณีคนลาว คนทางภาคอีสาน ต้องมีส้มป่อย อาตมาเคยเห็น ต้องมีส้มป่อย เอามาใส่ในหม้อทำน้ำมนต์นี้ เพื่ออะไร เพราะมันชื่อปล่อย ปล่อย ปล่อยโรค ปล่อยเคราะห์ ปล่อยเวร ปล่อยภัย ทั้งที่จริงแล้วมันปล่อยไม่ได้ จะปล่อยได้ก็คือ ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จึงจะปล่อยเคราะห์ปล่อยกรรมได้ แต่คนก็จำกันมาตลอด ถ้าไม่ทำตาม ถ้าไม่เอาวัตถุ ไม่เอาใบนั้น ไม่เอาใบนี้ ไม่เอาส้มป่อย ก็จะมองว่ามันขะลำ มันผิดผี อย่างนี้ไม่ถูกหลัก ความเป็นจริงแล้ว วัตถุเหล่านั้นช่วยอะไรเราไม่ได้เลย ให้เราเข้าใจ แล้วก็เถียงกันมาตลอด เถียงกันมา แต่พอพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ขึ้นนี้ พระพุทธเจ้าเอาของจริงมาบอกว่าอะไรเป็นมงคล บางคนชอบดูก็บอกว่าสิ่งที่ได้เห็นนี่แหละเป็นมงคล สี แสง ต่างๆ ขนาดรูปร่างต่างๆ เป็นมงคล พวกที่ชอบฟังก็บอกว่าได้ยินเสียงอย่างนั้น ได้ยินเสียงอย่างนี้เป็นมงคล ทีนี้พวกที่ชอบดมกลิ่น ชอบลิ้มรส ชอบถูกต้องสัมผัส ก็บอกว่าไม่ใช่ มันต้องเป็นความรู้สึกสิ เป็นความรู้สึกอร่อย ความรู้สึกหอม ต้องมีกลิ่นกำยาน ต้องมีกลิ่นอย่างนั้นกลิ่นอย่างนี้ แล้วก็ถูกต้องสัมผัสต้องดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ นี่แหละเป็นมงคล สรุปแล้ว เลยถกเถียงกันเป็นสามพวก เป็นสามก๊ก ก๊กแรกชอบดู ก๊กที่สองชอบฟัง ก๊กที่สามชอบรู้สึกต่างๆ เถียงกันมาตลอด หาข้อสรุปไม่ได้ ถกเถียงกันเป็นเวลานานอยู่ถึง ๑๒ ปี ในที่สุดก็ไม่มีใครสามารถจะตอบได้ว่าอะไรเป็นมงคล เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องโกลาหล เรียกว่าโกลาหล คือเป็นความตื่นเต้น เป็นความตื่นตาตื่นใจ ถกเถียงกันหาข้อสรุปไม่ได้
มงคลโกลาหลนี้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสมงคลนี้ ก็คือมีเรื่องอึกกระทึกครึกโครม แล้วก็มีเรื่องที่ถกเถียงกันเป็นความโกลาหล เป็นหนึ่งในห้าโกลาหล โกลาหลนี้มีอยู่ ๕ อย่าง โกลาหลไม่ใช่ความวุ่นวาย ไม่ใช่ความแตกแยก ภาษาไทยเอามาใช้ผิดความหมาย แต่คำว่าโกลาหลในภาษาบาลีหมายถึงว่า เป็นเรื่องที่ตื่นเต้น เป็นเรื่องที่คนคุยกันมาก ถกเถียงกันมาก มี ๕ อย่าง
อย่างแรก กัปปโกลาหล ความตื่นเต้นว่าโลกจะแตก จักกวัตติโกลาหล ความตื่นเต้น คึกขึ้นมาว่า พระเจ้าจักรพรรดิจะมาอุบัติในโลก พุทธโกลาหล ความโกลาหลก็คือพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติในโลก แล้วก็มงคลโกลาหล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสมงคล แล้วก็ โมเนยยโกลาหล
ท่านก็อธิบายว่า ในบรรดาโกลาหลทั้ง ๕ นี้ เหล่าเทวดาชั้นกามาวจรก็คือสวรรค์ ๖ ชั้นนี้ ปล่อยศีรษะ สยายผม ร้องไห้ เอามือเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าสีแดง ทรงเพศแปลกๆ อย่างยิ่ง เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์ ร้องบอกกล่าวว่า อีกแสนปีข้างหน้า กัปจักปรากฏ โลกนี้จะพินาศคือโลกจะแตก โลกเรานี้ไม่ได้เป็นอมตะ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โลกที่เราอยู่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาได้ มันดำรงอยู่ถึงเจริญขีดสุดแล้วก็ถึงขาลง สุดท้ายก็แตกสลายเป็นอณูอยู่ในอวกาศ แล้วก็จะมารวมตัวกันเป็นดาวดวงใหม่ เกิดขึ้นมาใหม่อย่างนี้ เวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ
เรื่องการเกิดขึ้นของโลกการดับของโลกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในอัคคัญญสูตร อัคคัญญสูตรกับจักกวัตติสูตร ท่านก็เล่าว่า อีกแสนปีข้างหน้าโลกจะพินาศ มหาสมุทรจะแห้ง มหาปฐพีแผ่นดินนี้ ภูเขาพระสุเมรุจะถูกไฟไหม้ จะพินาศ โลกจะพินาศไปจนถึงพรหมโลกชั้นต้นๆ แล้วก็จะบอกกล่าวมนุษย์ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ก็คือท่านผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ทั้งหลายนี้ ขอท่านจงพากันเจริญเมตตาไว้เถิด จงพากันเจริญกรุณา มุทิตา อุเบกขาไว้เถิด จงพากันทำสมาธิ ทำฌาน จงบำรุงมารดาบิดา ยำเกรงท่านผู้เป็นใหญ่ในตระกูล ตื่นกันเถิด อย่าได้ประมาทกันเลย เทวดามาบอก มาให้สติกับมนุษย์ว่าอีกแสนปีข้างหน้าโลกจะแตก นี่เรียกว่า กัปปโกลาหล
ส่วนจักกวัตติโกลาหล ก็คือว่า เทวดาในชั้นกามวจร ก็คือสวรรค์ ๖ ชั้น จาตุม(มหาราชิกา) ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี จะเที่ยวไปในถิ่นมนุษย์ จะบอกกล่าวว่า อีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า พระเจ้าจักรพรรดิจะเกิดขึ้นในโลก พระเจ้าจักรพรรดิก็คือว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ครองโลก อย่างเช่นพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น ที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
แล้วทีนี้พุทธโกลาหลเป็นอย่างไร ท่านก็อธิบายว่า เทวดาชั้นสุทธาวาส หมายถึงมหาพรหมชั้นสุทธาวาส ๕ ที่เป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามี คือเป็นพระอนาคามีพรหม แล้วก็ประดับองค์ด้วยอาภรณ์ของพรหม โพกผ้าของพรหมที่พระเศียร เกิดความปีติปราโมทย์ กล่าวถึงพระพุทธคุณ พุทโธโลเกอุปปันโน เป็นต้น เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์ บอกกล่าวว่า อีก ๑,๐๐๐ ปีข้างหน้า พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก นี่เรียกว่าพุทธโกลาหล
มงคลโกลาหล ก็หมายถึงว่า เทวดาชั้นสุทธาวาส ๕ ก็คือเป็นอนาคามีพรหม รู้จิตของพวกมนุษย์ว่าคิดอะไรกัน ถกเถียงอะไรกัน เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์ บอกไปว่า อีก ๑๒ ปีข้างหน้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักตรัสถึงมงคลที่แท้จริง
โมเนยยโกลาหลก็คือว่า เทวดาชั้นสุทธาวาส ๕ ก็คือ เหล่ามหาพรหมอนาคามีนี่แหละ เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์จะบอกว่า อีก ๗ ปีข้างหน้าจะมีภิกษุรูปหนึ่ง ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามถึงโมเนยยปฏิปทา การประพฤติปฏิบัติที่เคร่งครัดที่สุด นั่นก็คือ ก่อนที่พระนาลก จะมาฟังธรรมแล้วก็จะปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา คืออีก ๗ ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น มงคลนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ชาวโลกนี้แสวงหา
เราลองสังเกตดูสิว่า ชีวิตเรานี้ในแต่ละวันๆ เกี่ยวข้องอะไรกับมงคลบ้าง สีมงคล วันมงคล แม้กระทั่งเกิดมานี้ พ่อแม่ก็เอามงคลมายัดใส่ให้แล้ว นั่นก็คือชื่อมงคล มงคลวันเกิดนี้ เกิดวันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร อย่างนี้ ต้องตั้งชื่อแบบนี้ๆ ชื่อแบบนี้เป็นกาลกิณี อย่างนี้เป็นต้น ความเป็นจริงแล้ว ชื่อไม่ได้เกี่ยวข้องเลย พระพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งไปเทศน์สอนคนตกปลา คนตกปลาชื่อว่าอริยะ ชื่อดีมากเลย อริยะแปลว่าผู้ประเสริฐ แต่ทำไมถึงมาหากินตกปลาแบบนี้ จะเห็นได้ว่าชื่อไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย พระพุทธเจ้าผ่านไปก็สอนเขา สอนนายอริยะนี่ ชื่อดีมาก แต่การประพฤติตรงกันข้ามเลย ทำปาณาติบาต ศีลก็ไม่มี สอนจนกระทั่งเขาได้ดวงตาเห็นธรรมจึงได้เป็นพระอริยะจริงๆ บางคนนี้ชื่อเศรษฐี แต่ทำไมยากจน เพราะ ฉะนั้น ชื่อก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย เพราะโลกสมมุติกันขึ้นมา ใครสมมติล่ะ? มนุษย์นี่แหละ นักคิดนักปราชญ์ทั้งหลายสมมุติกันขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ชีวิตจิตใจนี้ เหล่านักคิดเหล่านั้นเข้าไม่ถึง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นมงคลจริงๆ
ทีนี้ ๑๒ ปีผ่านไปในสมัยนั้นที่ถกเถียงกันมา จนกระทั่งท้าวสักกะเทวราชก็หาคำตอบไม่ได้ บอกว่าอันนี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า เลยส่งเทวดาองค์หนึ่งเป็นผู้แทน เป็นผู้แทนของเหล่าทวยเทพและเหล่ามหาพรหมไปทูลถามพระพุทธเจ้าที่วัดพระเชตวัน เทวดาเสด็จมา เทวดามาที่วัดพระเชตวันก็ทำให้วัดพระเชตวันนี้แสงสว่างไปทั้งวัด แล้วเทวดาองค์นั้นมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในกึ่งมัชฌิมยาม ก็คือประมาณเที่ยงคืน ยืนทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อะไรเป็นมงคลของชาวโลก? ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบอกมงคลเหล่านั้นที่เป็นมงคลจริงๆ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วยเถิด แล้วก็พระพุทธองค์จึงทรงแสดงมงคล ๓๘ ข้อ ทุกข้อนี้ล้วนแต่เป็นผลมาจากการตรัสรู้ของพระองค์เองทั้งสิ้น เพราะพระองค์มิได้คิดเอา เดาเอา ฉะนั้น แต่ละข้อของพระองค์นี้ จึงเข้าถึงสัจธรรมทั้งสิ้น น้อมไปสู่ความดับทุกข์คือมรรคผลพระนิพพานทั้งสิ้น ไม่มีใครผู้ใดคัดค้านได้ เรื่องราวทั้งหลายที่มนุษย์เทวดาสับสนกันอยู่ถึง ๑๒ ปี จนเป็นเรื่องใหญ่ ก็เป็นอันหมดไป
มงคลอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนี้ ไม่ได้เอาสิ่งที่คนชอบ ไม่ได้เอาตามแบบที่คนในโลกส่วนใหญ่เห็นว่าใช่ ที่เป็นประชาธิปไตยแบบโลกๆ เป็นเกณฑ์ เป็นการปฏิเสธมงคลภายนอก ที่นับถือเหตุการณ์หรือว่าสิ่งต่างๆ ว่าเป็นมงคล ในพระพุทธศาสนานี้ สอนว่า มงคลของเทวดาและมนุษย์ย่อมเกิดจากการกระทำเท่านั้น คือมงคลภายใน คือต้องกระทำความดี แล้วความดีนั้นแหละจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นมงคลเอง ชัดเจนเลยว่า ตรงบทชยันโต “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต” สวดกันทุกวัน ตรงนี้ พระพุทธเจ้าหมายถึงว่า เมื่อใดที่บุคคลทำกรรมดี เมื่อนั้นแหละ ชื่อว่าฤกษ์ดี สุนักขัตตัง นักษัตรดีก็คือฤกษ์ดี สุมังคะลัง มงคลดี สุปะภาตัง สว่างดี รุ่งเรืองดี ขณะดี ยามดี ครู่ดี ดีหมดนะ ถ้าทำกรรมดีแล้ว ถ้าทำชั่ว ต่อให้เป็นฤกษ์ที่สมมุติกันว่าฤกษ์ดีขนาดไหน มันก็ชั่วอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดวงดาว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องฤกษ์ยามเลย มงคล ๓๘ ของพระพุทธเจ้านี้เป็นการพัฒนาชีวิตจิตใจ ตั้งแต่พื้นฐานจนกระทั่งถึงมรรคผลพระนิพพาน มงคล ๓๘ นี้ให้พวกเราทั้งหลายได้ตั้งใจฟังดีๆ ซึ่งจะได้อธิบายขยายความเป็นเวลานานเหมือนกัน หลายวันเหมือนกัน เพราะแต่ละข้อนี้มีความลึกซึ้ง มีรายละเอียด เป็นข้อที่เอาไปประพฤติ เอาไปปฏิบัติได้จริงๆ ซึ่งทุกข้อนี้เป็นมงคลสูงสุดในชีวิต จึงมีคำกำกับท้ายว่า “เอตัมมังคะละมุตตะมัง” นี่เรียกว่า เป็นอุดมมงคล อุดม แปลว่าสูงสุด อุตตมะ มังคะละมุตตะมัง มังคละอุตมะก็คือว่าเป็นมงคลสูงสุด ไม่ใช่สูง สูงกว่า แต่ว่าอันนี้เป็นขั้นสูงที่สุดเลย เป็น the best เลยนะอันนี้คือสูงที่สุด มังคะละมุตตะมัง ทุกข้อจึงเป็นมงคลสูงสุด ทั้งนี้เพราะว่าชีวิตนี้หลายช่วงหลายจังหวะแตกต่างกันไป จึงต้องทำให้ทราบแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธ ศาสนา ทำให้ทุกก้าวย่างของชีวิต ตั้งแต่วัยเริ่มต้น วัยกลางคนจนกระทั่งถึงวัยชรามีแต่ความที่เป็นอุดมมงคล แล้วมงคลนี้เป็นทั้งระดับโลกิยะแล้วก็โลกุตตระ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นเหมือนกับแผนที่นำทาง ชี้ทางไปสู่เป้าหมายของชีวิตทั้ง ๒ ระดับ คือ ในระดับโลกิยะ แล้วก็โลกุตตระอย่างกลมกลืน สอดคล้อง เกื้อกูลกันโดยลำดับ
ทีนี้ จะขึ้นต้นมงคลข้อแรก “อเสวนา จ พาลานํ” การไม่คบคนพาล ทำไมขึ้นต้นด้วยข้อนี้ ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลายนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือคน เพราะเราอยู่กับคน เกิดมาก็เจอแต่คน จนทุกวันนี้ก็อยู่กับคน จนกระทั่งถึงตาย เกี่ยวข้องกับคนตลอด เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตลอด เพราะว่าตัวเราเองก็เป็นมนุษย์ เป็นคน พ่อแม่พี่น้อง ตลอดจนเพื่อนฝูงก็เป็นคน เมื่อเราโตขึ้น พอที่จะได้รับการศึกษาได้ เราก็ไปเรียนอยู่กับคุณครูซึ่งก็เป็นคน ตลอดจนการค้าขายการประกอบธุรกิจอาชีพต่างๆ รับราชการก็ต้องพบปะอยู่กับคน แม้ตัวตายเราก็ไม่วายที่จะต้องยุ่งกับคน เพราะว่าคนนั่นเองเป็นผู้นำเราไปเผา ไปฝัง เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลายของเราขึ้นอยู่กับคนเช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราจะต้องศึกษาหาความเข้าใจให้ดี ก็คือเกี่ยวกับเรื่องของคน เพราะคนเราจะดีก็เพราะคน จะเสียคนก็เพราะคนนั่นเอง จะร่ำจะรวยจะยากจะจนก็เพราะคนอีกเหมือนกัน ส่วนสิ่งอื่นสัตว์อื่นเป็นแต่เพียงส่วนประกอบเท่านั้น ฉะนั้น ในมงคลหรือว่าทางพัฒนาชีวิตข้อต้นๆ พระพุทธองค์จึงทรงสอนเรื่องคน มงคล ๓๘ ประการ สองข้อแรกเป็นเรื่องของคนอื่น อีก ๓๖ ข้อ เป็นเรื่องของชีวิตจิตใจ เป็นเรื่องของจิตของใจ ไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุอะไรเลย
ทีนี้คนพาล คนพาล คนไม่ดี คนในโลกนี้มีอยู่ ๒ ประเภท คนดีกับคนพาล ในมงคลข้อแรกของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้เว้นจากการคบคนพาล ก่อนที่เราจะเว้นจากการคบคนพาลนั้น เราก็ควรจะทราบเสียก่อนว่าคนพาลนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ยากมาก กว่าจะรู้ได้ว่าคนนี้ดี คนนี้ไม่ดี คนนี้เป็นพาล คนนี้เป็นบัณฑิต เพราะเขาไม่ได้เอาตัวหนังสือมาเขียนไว้บนหน้าผากว่าฉันเป็นพาล ฉันเป็นบัณฑิต เพราะเราไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องแต่งตัว อาภรณ์ประดับร่างกาย ของแบรนด์เนมภายนอกก็บอกไม่ได้ว่าพาลหรือบัณฑิต จะดีจะชั่วบอกไม่ได้เลย จะเอาเครื่องมือหมอไปสแกน ทำ CT Scan ดูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นพาล จะเป็นคนดีหรือไม่ดี เพราะมันเป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องของจิต เพราะบางคนนี้ คนพาลบางคนแฝงมาในคราบของผู้ดีก็มีเยอะแยะ คนที่มีใจขุ่นมัวอยู่เสมอย่อมส่งผลให้เป็นคนที่มีความคิด มีความคิดความเห็นผิด เข้าใจผิด จากทำนองคลองธรรม คือมีมิจฉาทิฏฐินั่นเอง ยึดถือค่านิยมผิดๆ วินิจ ฉัยผิดๆ ขาดโยนิโสมนสิการ ขาดปัญญา ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาป อะไรควรไม่ควร ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ จึงทำอะไรตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ขาดการพิจารณาหาเหตุผล ยึดถือเอาตนเองเป็นที่ตั้ง เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ต้องไขว่คว้าหาเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตนให้ได้ โดยไม่คำนึงว่าการกระทำของตนจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์หรือถึงกับเสียชีวิต ไม่คำนึงว่า การกระทำของตนจะผิดศีลธรรม หรือผิดกฎหมาย เหล่านี่แหละคือลักษณะของคนพาล หรือลักษณะของคนที่เต็มไปด้วยเชื้อของคนพาล เชื้อพาลนี้มันติด มันติดกันง่ายยิ่งกว่าโควิดเสียอีก โควิดติดแล้วหาย แต่เชื้อพาลนี้ โอ๊ย...กว่ามันจะหายได้ บางทีบางคนก็ติดเชื้อพาลไปตลอดชีวิตเลย บางคนกว่าจะหายได้ ก็น้ำตาแทบกระเด็นหรือว่าลูกตาแทบกระเด็น โอ...สารพัด กว่าจะกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัวได้ เพราะฉะนั้น ในจิตใจของปุถุชนทุกๆ คนนี้ มีเชื้อพาลอยู่เป็นทุนเดิม คำว่าพาลในทีนี้ พ-พาน สระ-า ล-ลิง พาลในทีนี้ ไม่ใช่หมายถึงโจรอย่างเดียว แต่หมายถึงใจที่โง่ พาละใช้กับความหมายของคนที่เขลา เบาปัญญา มีอวิชชาห่อหุ้มก็เรียกว่าคนพาล พาลภายนอก พาลภายใน เป็นอย่างนี้
เราสังเกตง่ายๆ ปัจจุบันนี้การติดเหล้าติดยาติดยาเสพติดในหมู่วัยรุ่น ทั้งที่เด็กเยาวชนเหล่านั้นก็รู้ว่ามันเป็นของไม่ดี ได้ยินได้ฟังเรื่องโทษภัยของยาเสพติดต่างๆ จากโรงเรียน จากการศึกษา พ่อแม่ก็บอกก็สอน สื่อต่างๆ มากมายก็โฆษณาว่ามันไม่ดี แต่เหตุใดล่ะ? วัยรุ่นจำนวนมากจึงยอมตกเป็นทาสของยาเสพติด ทั้งๆ ที่ยาเสพติดเหล่านั้นไม่ได้มีการวางขายโดยทั่วไปอยู่ในเซเว่น ต้องลักลอบจำหน่ายกันเฉพาะแห่งเฉพาะบุคคลเท่านั้น คำตอบก็คือการคบเพื่อนเลว การคบคนไม่ดี คบคนพาลชักนำไปสู่ความหายนะ เหล่าวัยรุ่นคบคนพาลดังกล่าวแล้ว แม้ไม่ทราบนะว่า ตนต้องเสวยวิบากกรรมอย่างไรในภพชาติต่อไป แต่สภาพชีวิตที่เขาต้องเจอที่ครอบครัวของเขาต้องเผชิญในปัจจุบันก็คือความทุกข์แสนสาหัส ถูกจับได้ก็ติดคุกติดตะราง เสียเงินเสียทอง เสียทรัพย์สมบัติมากมาย พ่อแม่ก็เสียชื่อเสียง สุดท้ายคือเสียคน นี่แหละคือกรรมปัจจุบันเห็นๆ คนพาลนี่แหละจึงเป็นคนที่มีจิตใจขุ่นมัวอยู่เป็นปกติ เป็นผลให้มีความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว เช่นว่า คนมีปัญญาเห็นว่าเหล้าเป็นของไม่ดี สุราเป็นของไม่ดี ทำให้ขาดสติ นำความเสื่อมมาให้นานัปการ แต่คนพาลก็กลับเห็นว่า เหล้า เบียร์ ไวน์นี้เป็นของประเสริฐ เป็นเครื่องกระชับมิตร เลยล้อมวงก๊งเหล้า เอาแก้วเหล้าแก้วเบียร์ปะทะกัน เพราะว่าเห็นว่าเป็นของดี คนมีปัญญาเห็นว่าการพนัน การเล่นไพ่เป็นอบายมุข เป็นปากทางแห่งความฉิบหาย แต่คนพาล คนปัญญาน้อยก็กลับเห็นว่า การเล่นไพ่มันดี มันทำให้เพลิน เป็นการฝึกสมอง ซ้อมวิชาคำนวณ เหล่านี้เป็นต้น ก็คิดอย่างคนโง่ๆ คนพาลจึงเป็นคนภายนอกมองไม่ออกหรอก มีลักษณะมีองค์ประกอบมีเลือดมีเนื้อเหมือนกันหมด บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเราก็ได้ เป็นญาติ พี่น้อง สามีภรรยา ครูบาอาจารย์ บางคนมีการศึกษาสูง มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีสมัครพรรคพวกมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนพาลแล้ว ก็จะนำไปสู่ความเสื่อม ขึ้นชื่อว่าพาลแล้วนี้ ถึงแม้จะมีความรู้ความ สามารถ ที่เรียกตนว่าเป็นบัณฑิตภายนอก คือจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ปริญญาเหล่านี้มันไม่ได้กำจัดเชื้อพาลออกไปจึงไม่ใช่ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกที่ควร เพราะเขาแสลงต่อความดี เหมือนคนไข้แสลงต่อน้ำเย็น
ลักษณะของคนพาลนี้ เนื่องจากว่ามีความขุ่นมัวในใจอยู่เสมอ จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้คิดไปในทางที่ถูกที่ต้องได้ คนพาลจะมีลักษณะวิปริตผิดกับคนทั้งหลาย ๓ ประการคือ ชอบคิดชั่วเป็นเรื่องปกติ ๑ คิดชั่วเป็นปกติ คิดละโมบโลภมากอยากได้ในทางทุจริต คิดพยาบาทปองร้าย คิดเห็นผิดเป็นชอบ อย่างที่ ๒ ชอบพูดชั่วเป็นปกติ พูดปด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียดยุยง จับกลุ่มนินทาติฉินว่าร้ายกันสารพัด อย่างที่ ๓ ชอบทำชั่วเป็นปกติ คือเกะกะเกเร กินเหล้าเมายา ล้างผลาญชีวิตคน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม นี่ก็คือนิสัยของคนพาล
โทษของความเป็นพาลนี้ ท่านก็อธิบายไว้ สรุปว่า มีความเห็นผิด ก่อทุกข์ให้ตนเอง เสียชื่อเสียง ถูกติฉินนินทา ไม่มีคนนับถือ ถูกเกลียดชัง หมดสิริมงคล หมดความสง่า ความชั่วเภทภัยทั้งหลายจะไหลเข้ามาหาตัวเอง ทำลายประโยชน์ของตน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทำลายวงศ์ตระกูล เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ตายไปแล้ว ไปอบายภูมิแน่นอน
วิธีสังเกตคนพาล คนพาลนี้มักจะกระทำสิ่งต่อไปนี้ คือ
๑. คนพาลชอบชักนำในทางที่ผิด ชักคือชักชวน เชิญชวน ชี้ชวน เสนอแนะ นำคือการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ชักนำในทางที่ผิด เช่นว่า เด็กๆ ก็ชวนกันหนีโรงเรียน โดดเรียน โตขึ้นมาหน่อย ก็ชักชวนกันไปลักขโมย ชักชวนให้เสพยาบ้า ยาเสพติด ชักนำไปเป็นอันธพาล การชักนำนี้ บางทีอาจจะทำด้วยความหวังดีแต่ว่ามันผิด หวังดีในทางที่ผิด เช่น ได้เงินมา ก็ชักชวนเพื่อนไปเลี้ยงเหล้า เที่ยวกลางคืน ถึงแม้จะปรารถนาดีต่อเพื่อน แต่อย่างไรมันก็ผิด เป็นพาลอย่างแน่นอน ผู้ที่ยังเยาว์วัยอ่อนความคิดอ่อนสติปัญญามักจะถูกชักนำได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้เป็นใหญ่ในบ้าน จึงควรระมัดระวังการกระทำ คำพูด ทั้งของตนเองและผู้ที่มาติดต่อคบหา เพราะเด็กมักจะจดจำ อย่างแรก เด็กมันโตมาอยู่กับพ่อกับแม่ก็จดจำจากพ่อจากแม่ ส่วนใหญ่พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ถ้าหากผู้ใหญ่ทำสิ่งไม่ดี เด็กก็มักจะเข้าใจว่าอันนี้แหละมันดี แล้วก็ทำตามผู้ใหญ่
ประการที่ ๒ คนพาลชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ เกะกะเกเร หน้าที่การงานของตนไม่พยายามจัดการให้เรียบร้อย แต่ชอบไปก้าวก่ายหน้าที่การงานของผู้อื่น จับผิดผู้ร่วมงาน discredit กัน กลั่นแกล้งกัน รังแกทำความรบกวนให้เดือดร้อนต่อกัน เป็นต้น ต้องใส่คำว่าเป็นต้น เพราะมันมีมากสาธยายไม่จบ
ประการที่ ๓ คนพาลชอบแต่สิ่งผิดๆ ชอบถือเอาสิ่งที่ชั่วว่าเป็นสิ่งที่ดี กินเหล้า กินเบียร์ เล่นการพนัน ชอบสูบบุหรี่ ชอบหนีโรงเรียน เถียงพ่อด่าแม่ เห็นคนทำถูกเป็นคนโง่ เห็นคนกลัวผิดเป็นคนขี้ขลาด เหล่านี้เป็นต้น
ประการที่ ๔ คนพาล แม้พูดดีๆ ด้วยก็โกรธ เช่นว่า ตักเตือนให้เขาอย่าไปทำอย่างนั้นนะ อย่าไปทำอย่างนี้นะ ให้ขยันทำข้อวัตรกิจวัตร ให้ตื่นเช้า ก็โกรธ บางทีแค่มองหน้าก็ยังโกรธแล้ว นี่คือลักษณะของคนพาล คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย เล็กๆ น้อยๆ เช่นว่า ไม่ชอบข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทิ้งขยะบนพื้นถนน ทิ้งขยะลงในแม่น้ำ ไปทำงานสาย ทุจริตเวลาทำงาน คือ ทุจริตเวลาทำงานอย่างไร เวลาทำงานก็ไม่ตั้งใจทำงาน เขาเรียกว่าทุจริตโกงกินคอร์รัปชั่นเวลา งานที่ตัวเองทำ ขับรถผิดกฎจราจร ไม่สวมหมวกกันน็อค อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้จัดอยู่ในที่เรียกว่าคนพาลทั้งหมดเลย เพราะไม่รู้ระเบียบวินัย
พฤติกรรมที่เรียกว่าคบ คบก็คือพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ทีนี้ท่านอธิบายคำว่าคบ คบก็คือว่าร่วม กินร่วม ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมก่อการ ร่วมหุ้น ร่วมลงทุน คำว่ารับ เช่นว่า รับเป็นเพื่อน รับเป็นสามีภรรยา รับไว้ทำงาน รับฟังสิ่งที่คนพาลพูดหรือเขียน อย่างนี้เป็นต้น ให้คือให้ความไว้วางใจ ให้คำชมเชย ให้ยศ ให้ตำแหน่ง ให้ยืมสิ่งของ ให้การสนับสนุน การไม่คบคนพาลคือการไม่ยอมมีพฤติกรรมสัมพันธ์ใดๆ ดังกล่าวข้างต้นกับคนพาล ถ้าเรายังคบคนพาลอยู่นี้ไม่ว่าจะในระดับไหนก็ตาม รีบถอนตัวเสียโดยด่วน อย่าประมาท รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม มิฉะนั้นจะพลาด ติดเชื้อคนพาลโดยไม่รู้ตัวจะกลายเป็นคนพาลตามไปด้วย ตราบใดที่จิตใจยังเป็นปุถุชนเต็มขั้นนี้ ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสนี้ จิตมันไม่มีหลักพร้อมที่จะเอนไปทางโน้นก็ได้ เอนไปทางนี้ก็ได้ พวกมากลากไป อะไรที่เห็นว่าสังคมยอมรับก็บอกว่าอันนี้แหละใช่แล้ว จึงเอาความถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง เป็นอย่างนี้กัน
โทษของการคบคนพาลก็คือว่า ย่อมถูกชักนำไปในทางที่ผิด เกิดความหายนะ การงานล้มเหลว ถูกมองในแง่ร้าย ไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป อึดอัดใจ เพราะคนพาลแม้เราพูดดีๆ ด้วยก็โกรธ รู้สึกเครียดแล้ว หมู่คณะแตกความสามัคคีเพราะการยุยงและการไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย ภัยอันตรายต่างๆ ย่อมไหลเข้ามาหาตัว เมื่อละโลกนี้ไปแล้วไปสู่อบายภูมิ คำโบราณตรงพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าบอกว่า “ใบไม้ที่ห่อหุ้มปลาเน่า ย่อมต้องพลอยแปดเปื้อนเหม็นเน่าไปด้วยฉันใด ผู้ที่คบคนพาลก็ย่อมต้องพลอยเสียชื่อเสียง ติดความเป็นพาล เดือด ร้อนเสียหายไปด้วยฉันนั้น” โคลงโลกนิติของคนไทยโบราณบอกว่า “ปลาร้า พันห่อด้วยใบคา ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง คือคนหมู่ไปหา คบเพื่อนพาลนา ได้แต่ราย ร้ายฟุ้ง เฟื่องให้เสียพงศ์” คือสุดท้ายก็คือประมาณว่า ใบไม้อะไรที่มันห่อของเน่าๆ กลิ่นมันก็เหม็น การคบคนพาลเสียชื่อเสียงเสียวงศ์ตระกูล สุดท้ายชีวิตก็เสีย
ประเภทคนพาลท่านบอกว่ามี ๒ ประเภท พาลภายนอก คนพาลทั่วไปนี้ซึ่งจะร้ายกาจเพียงใด เราก็ยังมีทางหลีกเลี่ยงได้ เพราะคบไปนานๆ รู้แล้วว่า เอ๊ะ...ชักจะอย่างไรนี่ ถอยออกมาดีกว่า มองเห็น แต่ว่าพาลภายในคือตัวเราเอง กิเลสที่มันอยู่ในใจเราเองนี่ ขณะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ต่างๆ นานา เราต้องมาสังเกตว่า เชื้อพาลในมันมีอยู่ทุกคนมาตั้งแต่เกิดแล้ว มันคือกิเลส อนุสัยกิเลสเช่นว่า คอร์รัปชั่นเวลาทำงานบ้าง เที่ยวเกเรบ้าง ไปยุ่งธุระคนอื่นโดยไม่ใช่เหตุบ้าง คนอื่นเตือนดีๆ ก็โกรธบ้าง หลีกเลี่ยงวินัย ข้อวัตร กิจวัตรบ้าง พูดจาไม่ดี ปากไม่ดี ปากติดระเบิด ติดอาก้า ติด M๑๖ บ้าง พูดไม่ไพเราะบ้าง ครั้งใดที่เราทำเช่นนี้ ครั้งนั้นแหละเราเองคือตัวพาล มีเชื้อสายพาลอยู่ในใจ ต้องรีบแก้ไข หลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันจะทำอย่างไร ท่านก็สรุปให้ฟังว่า หมั่นห้ามใจตนเองจากความชั่วแม้เพียงเล็กน้อย ก่อนที่มันจะลุกลามต่อไป อย่าไปทำต่อ คือเราต้องระวังพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา เช่นว่า ตื่นสาย ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ปล่อยให้ที่อยู่อาศัยรกรุงรังไม่หมั่นทำความสะอาด เป็นต้น เหล่านี้ ประการต่อมา คืออย่าตามนึกถึงความชั่ว ความผิดพลาดในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไป ช่างหัวมัน คือเป็นบทเรียนที่จะไม่ยอมทำซ้ำอีก แล้วก็ตั้งใจทำความดีใหม่ๆ ให้เต็มที่ ประการต่อมา ตั้งใจ เสียสละ มีศีล เจริญสมาธิภาวนาสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอ่าน การฟัง การพูดเรื่องเกี่ยวกับคนพาล จะได้ไม่สะสมความคิดเกี่ยวกับพาลไว้ในใจ ทุกวันนี้เราดู เรามองตลอด เปิดหน้าโทรศัพท์มือถือเลื่อนไป ๆ ก็มีแต่ข่าว ข่าวไม่ดีทั้งนั้น คนนั้นฆ่ากัน คนนี้เป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดที่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนพาล แต่พอเราดู เราเสพข่าวนี้แล้วนี้ จิตมันจำนะ จิตมันจำ พอนึกทีไร มันก็มองเห็นภาพความไม่ดีของคนอื่น เลยเป็นการติดชั่วของคนอื่น เดี๋ยวเชื้อพาลมันจะเข้ามาชำแรกในกระแสจิต กระแสชีวิต เราจึงต้องมาปลูกฝัง สะสมแต่ความคิดที่ดีงาม เช่น การอ่าน การฟังแต่สิ่งที่ดีงาม เกี่ยวข้องกับธรรมะ ฟังเทศน์ ฟังธรรม สนทนาธรรม พูดดีๆ ต่อกัน หรือว่าพูดถึงบุคคลผู้ที่ทำความดี เป็นต้น ก็จะเพิ่มเชื้อบัณฑิตเข้าไปในใจ ต่อมา ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้คนพาลอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เช่นทำงานในที่เดียวกัน เป็นญาติพี่น้องกัน ในกรณีเช่นนี้ เราก็ต้องระลึกอยู่เสมอว่า เรากำลังอยู่ใกล้สิ่งที่เป็นอันตราย เหมือนอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคโควิด ต้องระวังตัว คือระวังความเป็นพาลจะเข้ามาติดเราเข้า จึงต้องน้อมเข้ามา ให้มีสติมีสัมปชัญญะอยู่เสมอจึงจะหลีกเลี่ยงได้
เราต้องระลึกเสมอว่า หน้าที่อันยิ่งใหญ่และสำคัญนี้ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการปราบพาลภายใน คือกิเลสเชื้อพาล ที่มันอยู่ในหัวใจของเราเอง การเลือกคบคนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินชีวิต เพราะเหตุนี้นี่เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสมงคลข้อแรก คือการไม่คบคนพาลไว้เป็นอันดับแรก เพราะว่าถ้าคบคนพาลเมื่อใด มงคลข้อต่อมาไม่มีทางเกิดเลย เพราะเลือกทางผิดแล้ว แต่เมื่อไม่คบคนพาล มงคลข้อต่อมาจึงจะเกิดขึ้นโดยลำดับ เพราะเราเลือกทางที่ถูกต้อง การเลือกคบคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต เพราะมีผลทำให้อนาคตของเรารุ่งโรจน์หรือว่าตกต่ำก็ได้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า การไม่คบหาสมาคมกับคนพาลเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต เพราะคนพาลมักจะคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีเป็นปกติ ย่อมชักนำไปในทางที่ผิด ผู้ที่เข้าใกล้จึงมักมีความเห็นผิด ปฏิบัติผิด พูดผิดตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตจึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากคนพาล บัณฑิตในกาลก่อนเคยกล่าวไว้ว่า “แม้ชมพูทวีปจะไร้ซึ่งคนดี ก็อย่าพึงคบกับคนพาลเลย จงห่างไกลเหมือนคนหลีกหนีอสรพิษร้าย เพราะคนพาลย่อมนำมาแต่ความวิบัติ อกุศลทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะอาศัยคนพาล การคบคนพาลจึงมีแต่นำทุกข์มาให้โดยส่วนเดียว”
คนพาลนี้ เราอย่าไปทำตามเขา คือเป็นพวกที่ไม่มีศีลห้า กินเหล้า เมายา เจ้าชู้ เล่นการพนัน คนที่มุ่งแต่ในทางวัตถุ ทิ้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพัฒนาแต่วัตถุเทคโนโลยี เราต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ใจเราได้พัฒนา ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คือความรู้ความเข้าใจในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างที่เราเห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นคนจริงของจริงนี้ กว่าที่ท่านจะเป็นพระอริยเจ้าได้ มันไม่ใช่ของง่ายนะ ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกท่านที่ผ่านมาโดยเฉพาะครูบาอาจารย์เรานี้ก็แทบล้มแทบตาย เรียกว่าร่อแร่คางเหลืองไปตามๆ กัน ถึงได้ผ่านมาได้อย่างนี้ เราจะไปชื่นชมในความเป็นพระอริยเจ้าของท่าน ชื่นชมในความเป็นเศรษฐีธรรมของท่าน อย่างนี้มันก็ไปไม่ได้ เพราะอันนั้นมันก็เป็นของท่าน ของเรา คุณธรรมนี้ภายใน ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ เพื่อเราจะได้คบบัณฑิตในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน ยาน พาหนะที่จะพาเราออกจากวัฏสงสารนี้ก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ความหลงความเพลิดเพลินนี้ทำให้เราเนิ่นช้า ทำให้เราเสียเวลาไปในแต่ละวันๆ เราต้องรู้จักว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องเน้นเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องหันมาหาพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ หันมาหาผู้รู้ ในการเรียนการ ศึกษานี้ก็เป็นแนวทางที่จะเข้าหาผู้รู้ ความขี้เกียจขี้คร้าน การทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนี้ มันเป็นกระบวนการ เป็นคุณสมบัติของคนพาล เราต้องมาสร้างบัณฑิตขึ้นมาในใจ เพราะคำว่าบัณฑิตนี้ มันต้องสร้างตัวเองขึ้นมาให้เป็นบัณฑิต ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไปหาแต่บัณฑิตภายนอก มันก็เป็นเรื่องของท่านผู้ที่บำเพ็ญบารมีมา ท่านถึงได้เป็นบัณฑิต เราต้องเอาตัวเองขึ้นสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราต้องเข้าหา คบค้าสมาคมกับคนที่มีศีล ๕ ด้วยเจตนา ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไปเห็นหน้าเห็นตาบัณฑิต เราก็จับหลักไม่ได้ ไม่มีความตั้งมั่น เดี๋ยวมันก็จะหายไป เหมือนเวลาเราเปิดแอร์ อยู่ในห้องแอร์อย่างนี้มันก็เย็น พอเราออกจากห้องมันก็ร้อน การพัฒนาจิตใจของเราก็เหมือนกัน ต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่อง มันจะได้ดับจะได้เย็นเป็นพระนิพพาน
ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยและบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้อภิบาลปกป้องคุ้มครองรักษาให้ทุกท่านปราศจากสัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย อันตรายใดๆ อย่าได้พ้องพาน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วยกันทุกท่านเทอญ