แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องเปลี่ยนฐานชีวิตให้เป็นมงคล ตอนที่ ๒ พัฒนาจากคนให้เป็นมนุษย์และต่อยอดให้ถึงเป้าหมายสูงสุด
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระผู้เป็นประธาน พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน ทุกท่านเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ พื้นฐานของโยมผู้ที่เป็นประชาชน ผู้ที่อยู่ที่บ้าน อยู่ในครอบครัวก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติธรรม เดินตามธรรมะ เดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง มีศีล ๕ เพื่อจะไม่ให้เป็นบาปเป็นอกุศล ครอบครัวเราทุกคนก็ต้องพากันมีศีลมีธรรม เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะว่ามนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อหยุดปัญหา เพื่อไม่มีปัญหา เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัยที่ดี พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุข้าวของเงินทองไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าร่างกายของเราทุกคนไม่ถึงร้อยปีก็ต้องจากโลกนี้ไป
เวลาเป็นของมีค่าให้ทุกคนพากันเข้าใจ ประชาชนทุกคนที่ไม่ใช่นักบวช จะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ศาสนาอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องประพฤติต้องปฏิบัติธรรมตามที่ผู้ไม่ได้บรรพชาอุปสมบท แล้วก็ต้องเป็นการปฏิบัติอยู่ในเพศฆราวาส อยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต เพราะเราจะไปทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึกนั้นไม่ได้ มันทำให้เราเสียหาย ทำให้เรามีปัญหา เพราะการเดินทางของเราในชีวิตนี้ ต้องเดินทางด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เริ่มต้นจากพ่อจากแม่ หรือว่าเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เข้าใจถูก เพราะว่าพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง
พ่อแม่คือเป็นแม่แบบ เป็นแม่พิมพ์ เราต้องเปลี่ยนฐานเปลี่ยนความเข้าใจให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป ลูกเราเกิดมาอยู่ในท้อง อยู่ในครรภ์นี้ไปถึง ๒ ขวบ ๓ ขวบ ให้เลี้ยงดูเหมือนอย่างไข่ในหิน เมื่อแม่ตั้งครรภ์ ใจนี้ต้องมีศีลมีธรรม เพื่อลูกเราจะได้รับเอากรรมพันธุ์ที่ดี เอา DNA ที่ดี เอาเชื้อสายที่ดีเข้าไป ลูกเรา ๒ ขวบ ๓ ขวบ ก็ต้องเลี้ยงให้เข้าสู่ระบบระเบียบ เพราะเด็กก็ต้องอาศัยพ่อแม่ เป็นแม่แบบแม่พิมพ์ เรามีความรู้มาก มีภาคประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีอย่างนี้ มันก็ไปไม่ได้ ให้สอนลูกด้วยศีล ศีลคือฝึกประพฤติปฏิบัติดีๆ ตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ สมาธิก็คือความตั้งมั่นในสิ่งที่ดีๆ สอนให้ลูกเรารู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักอันไหนอันตราย ไม่อันตรายตั้งแต่เล็กๆ เราต้องเข้ากับเขาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาจะไปติดเพื่อน เพราะลูกชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาตรฐาน ก็มาจากการสอนของพ่อของแม่นี่แหละ
เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องรักกัน สมัครสมานสามัคคีกัน เพราะว่าพ่อแม่ต้องมีความเห็นไปในทางเดียวกัน ที่เรียกว่ามีศีลเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน พากันขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที รู้จักกราบพระ ไหว้พระ รู้จักท่องพุทโธ ทำสมาธิ รู้จักอยู่ในศีล ๕ ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ถ้าเราไม่รักกัน ไม่ได้เป็นผู้ให้อย่างนี้ เดี๋ยวแตกความสามัคคี ครอบครัวเราก็จะมีกรรมหนัก ผู้ที่เป็นแม่ ใครเป็นคนเจ้าอารมณ์ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะเรามีลูกอยู่ในท้องนี้ ตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน ในช่วง ๙ เดือน ๑๐ เดือน ถ้าแม่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง เคยทำอย่างไร ใจร้อนอย่างไร ขี้โกรธ ขี้โมโห เจ้าอารมณ์อย่างไร ก็เป็นเหมือนเดิมนี้ อารมณ์เหล่านี้มันเข้าในเส้น เข้าในเส้นเลือด มันจะส่งทอดไปให้ลูกทุกวันๆ DNA มันสืบทอดกันแบบนี้ ก็เลยจะรับเอาสายเลือด เอากรรมพันธุ์ ถ้าเป็นคนโมโหร้าย เป็นคนใจบาป ลูกเราก็จะได้รับเอาสิ่งนั้นไปอย่างเต็มที่
เห็นไหม? เด็กทุกวันนี้ ไม่กี่ปีก็เป็นโรคประสาทกันแล้ว เป็นโรคอะไรต่างๆ นานา เห็นไหม? เราดูกรรมพันธุ์ พ่อแม่เป็นโรคเบาหวาน ลูกก็เป็นเบาหวาน พ่อแม่เป็นโรคมะเร็ง ลูกก็เป็นโรคมะเร็ง พ่อกับแม่หน้าตาเป็นอย่างไร ลูกก็มีหน้าตามีเค้าโครงมาจากพ่อจากแม่ เพราะมันเป็นยีน เป็น DNA ที่มันส่งทอดกันมา เรามีลูกแล้ว เราต้องดูแลทั้งจิตใจ แล้วก็โภชนาการ เราต้องสอนลูกด้วยปัญญา ด้วยการประพฤติ ด้วยภาคปฏิบัติ บางทีคนเราน่ะ มันสงสารลูก มันก็ไม่สอนลูกปล่อยไปตามใจลูก คิดว่าให้มันใหญ่ก่อน โตกว่านี้ ค่อยบอกค่อยสอน ค่อยพามันปฏิบัติ ทีนี้แหละ มันเลยติดสุขติดสบาย ติดของเล่น ติดโทรศัพท์ ติดเกมส์ จะไปสอนได้อย่างไร แม้แต่ตัวเราเองก็ยังร่อแร่ๆอยู่ เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็ต้องรักกันเมตตากัน อย่าไปทะเลาะวิวาทกันให้ลูกเห็น มันจะเป็นกรรมหนัก มันจะมีแต่ความแตกแยก เรื่องความสามัคคีมันต้องอยู่เหนือเหตุเหนือผล เพราะโจรมันก็มีเหตุผล บัณฑิตก็มีเหตุผล แต่เพราะมันจะเอาตัวตนเป็นใหญ่ เลยตามใจ ตามอารมณ์ไปเรื่อย ความสมัครสมานสามัคคีนี้จึงสำคัญ การทะเลาะวิวาทกันนี้ ท่านจึงเรียกว่าสังฆเภท คือเป็นกรรมหนัก อยู่ในข้อ ๑ ของอนันตริยกรรม กรรมที่หนักยิ่งที่ประเทศเราเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าทะเลาะกัน ประเทศเราถึงไม่เจริญรุ่งเรือง ที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ก็เพราะเราทะเลาะกัน เราเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ต้องกราบพระไหว้พระ มีศีล ๕ ให้ลูกมันเห็นได้เป็นตัวอย่าง อย่าไปกินเหล้า เมายา เจ้าชู้ เล่นการพนัน ไม่ฉลาด มีหนี้มีสิน
หลักการเลี้ยงลูก พระพุทธเจ้าก็สอนเอาไว้ว่า หน้าที่ของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ควรทำแก่ลูกมีอยู่ ๕ อย่าง คือ
๑.ห้ามไม่ให้ทำชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา คือให้ศึกษาเล่าเรียน ส่งเรียน แล้วก็
๔. เมื่อถึงเวลาสมควรก็หาคู่ครองที่ดีให้
ประการที่ ๕ มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงเวลาอันสมควร นี่คือหน้าที่ของพ่อของแม่ที่ควรทำแก่ลูก
หน้าที่ของลูกที่ควรทำแก่พ่อกับแม่ ก็มีอยู่ ๕ อย่างเหมือนกัน คือ ท่านเลี้ยงดูเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบแทน ช่วยทำกิจการงานของท่าน แล้วก็ดำรงวงศ์ตระกูล ประพฤติตนให้เป็นคนดี ให้เป็นผู้สมควรได้รับทรัพย์มรดก ประการสุดท้าย เมื่อพ่อแม่ลาลับจากโลกนี้ไป ก็อุทิศบุญอุทิศกุศลให้
พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกอย่าง เรื่องการเลี้ยงลูก เรื่องหน้าที่ลูกควรทำแก่พ่อแก่แม่ แต่ว่าส่วนใหญ่ พื้นฐานของชาวบ้านที่ผ่านมาก็ถือว่ายังใช้ไม่ได้ มันเป็นแบบลอยแพ เลยต้องทุกข์ยากลำบาก มีหนี้มีสิน มีปัญหา ไม่ต้องโทษคนอื่น ต้องโทษดึงเข้ามาที่ตัวเองก่อนว่าอยู่ในศีลในธรรมไหม? อย่าเพิ่งไปโทษรัฐบาล อย่าเพิ่งไปโทษประเทศ ต่อให้รัฐบาลหรือว่าประเทศช่วยเหลืออย่างไร แต่ถ้ายังทำเหมือนเดิม ยังกินเหล้า เจ้าชู้ เล่นการพนันพวกนี้ มีเท่าไหร่มันก็หมด มีหนี้ มีสิน มีปัญหา มันยากลำบาก ไม่ขวนขวาย ไม่พัฒนาตนเอง ก็เลยลอยแพ ครอบครัวก็ง่อนแง่นคลอนแคลน ก็ต้องหนีพลัดถิ่นไปเป็นหนุ่มโรงงานสาวโรงงาน ดูอย่างเช่น คนเขมร คนพม่า หรือว่าหลายๆ ประเทศ ทุกข์ยากมากๆ ก็มาหางานที่ประเทศไทย คนไทยก็ไปหางานที่ประเทศที่เจริญขึ้นไปอีก เพราะลูกที่เกิดมาไม่ได้คบกับบัณฑิต ไม่ได้คบกับพ่อแม่ที่ดีๆ ไม่มีพ่อแม่ที่ดีๆ นั่นเอง เพราะเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก เราต้องปรับพื้น ปรับฐาน ให้เราพัฒนาจากฐานที่ไม่รู้ เราต้องให้พากันรู้ เพื่อที่จะเปลี่ยนฐานชีวิต เพราะว่ามันไปตามฐานเก่า ไปตามร่องเก่าที่พากันสะเปะสะปะทุกๆ ครอบครัว ทุกๆ หมู่บ้าน อย่างนี้ไม่ได้ พ่อแม่ต้องเป็นผู้รู้ เป็นผู้รู้ยังไม่พอนะ ต้องลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ ครอบครัวเราจะได้เป็นครอบครัวบัณฑิต การที่เราไม่ทำแบบนี้ เราก็ไม่ได้เป็นบัณฑิต เราก็เป็นพ่อแม่ที่ดีไม่ได้ เราก็จะเป็นโจร เมื่อลูกเรามันคบกับโจร มันจะไปรวยได้อย่างไร จะมีปัญญาได้อย่างไร ครอบครัวเราจะเป็นครอบครัวโจรไม่ได้ ต้องเป็นครอบครัวบัณฑิต เพราะลูกเราจะได้คบกับบัณฑิตตั้งแต่เกิดมา คือ อยู่กับพ่อกับแม่ที่เป็นคนดี
เราเป็นประชาชนเราก็เป็นพระได้ เป็นพระในใจนี้ คำว่าพระในใจ มีพระในใจ คือ มีคุณธรรมในระดับอริยะ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีนี้ เป็นพระอยู่ในใจ อยู่ที่บ้านก็ได้ ประชาชนถึงจะมีฐานอยู่ ไม่ใช่มาบวชนี้ มาบวชนี้เขาเรียกว่ายังเป็นภิกษุอยู่ ยังเป็นผู้ขออยู่ แล้วก็เมื่อประพฤติปฏิบัติตนได้ จึงเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร แล้วก็จะพัฒนาความเป็นพระอริยเจ้าให้เกิดขึ้นในใจโดยลำดับ
ทุกท่านทุกคนต้องปิดอบายมุข ปิดอบายภูมิให้กับตนเอง เพราะว่าพื้นฐานเก่า มันเป็นฐานของคำว่าคน คำว่าคน ยังทำทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งถูกทั้งผิด มันสะเปะสะปะปนกัน ระคนกันจึงเรียกว่าคน มนุษย์ก็แปลว่าผู้มีใจสูง ผู้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง แล้วก็มีฉันทะ มีความพอใจในการปฏิบัติ ถ้าทำอย่างนี้มันถูกต้อง เราเกิดมาก็ต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ เพราะเราเห็นแก่ตัว การไม่เสียสละก็ทำให้ยากจน ทำให้ต้องไปสร้างบาป สร้างเวร สร้างภัยจากการทำมาหากินต่างๆ นานา การทำการทำงานนี้ เราก็ต้องมีความสุขในชีวิตประจำวัน เพราะความสุขมันอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่เราขยัน เสียสละ รับผิดชอบ ไม่ใช่ความสุขอยู่ที่เราไปเล่น LINE โทรศัพท์ ไปเล่นมือถือ อันนั้นมันเป็นอวิชชา เป็นความลุ่มหลงที่มันติด หนักเข้าไปอีกก็พากันไปนั่งนินทาคนอื่น ไม่บอกไม่สอน ไม่พาตัวเองประพฤติปฏิบัติ วันๆ ก็เลยพูดกันแต่เดรัจฉานกถา พวกที่คุยกันเรื่องชาวบ้าน นินทาชาวบ้านคนนั้น คนนี้ คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ รู้ไปหมด แต่ตัวเองไม่รู้ ไม่รู้จิตรู้ใจตัวเอง แต่รู้เรื่องคนอื่นไปหมด แบบนี้ก็ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้แก้ไขตัวเอง
ทุกคนต้องมีความเห็นอย่างนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ ใครๆ ในโลกนี้หายใจเหมือนกัน กินข้าวเหมือนกัน ทำโน่นทำนี่เหมือนกัน กิเลสก็เหมือนกัน ต่อให้อยู่ในประเทศไหน เชื้อชาติไหน ศาสนาไหน โกรธมาก็แสดงอาการเหมือนกัน เครียดมาก็แสดงอาการเหมือนกัน ดีใจก็เหมือนกัน สุขทุกข์ก็เหมือนกัน มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ นินทา สรรเสริญ เหมือนๆ กันหมด ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อเรารู้แล้วว่าทางที่จะหยุดปัญหาเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ เพราะคำว่าศาสนา ทุกศาสนานี้ที่เป็นคำสอนก็ไปเป็นอันเดียวกันนี้ อยู่ที่ว่าจะไปต่อยอดได้แค่ไหน จะไปมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ แต่เราต้องมาต่อยอดจุดมุ่งหมายคือพระนิพพาน แต่ถ้าเราติดในความสุข ความสะดวกความสบาย มันก็เป็นได้แต่เพียงความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทวดา คำว่า ”พุทธ” ไม่ได้หมายถึงบุคคล คำว่า ”พุทธ”หมายถึง จิตใจที่รู้ จิตใจที่ตื่น จิตใจที่เบิกบานจึงจะเป็นพุทธะ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป ๕๐๐ ปี ถึงมีพระพุทธรูป อย่าไปติดที่พระพุทธรูป เพราะว่าพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า คัมภีร์ก็ไม่ใช่พระธรรม ลูกชาวบ้านก็ไม่ใช่พระสงฆ์ ตรงนี้ที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านบอกว่า กราบพระพุทธเจ้าอย่าไปติดที่ทองคำ กราบพระธรรมอย่าไปติดที่คัมภีร์ กราบพระสงฆ์อย่าไปติดที่ลูกชาวบ้าน คือให้กราบคุณธรรม กราบเข้าไปข้างใน
พุทธะ คือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูป พระพุทธรูปสร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๕๐๐ ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีเลย สมัยพระเจ้าอโศกก็ไม่มีพระพุทธรูป ในสังคายนาครั้งที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ จนกระทั่งจารึกตัวอักษรลงในคัมภีร์ใบลาน พ.ศ. ๓๐๐ เศษ ก็ไม่มีพระพุทธรูป แล้วเขากราบไหว้บูชาอะไร? กราบไหว้บูชาพระธรรม พระพุทธเจ้าบอกอยู่แล้วว่า ธรรมวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของเธอหลังการล่วงไปแห่งเรา ดังนั้น ท่านจึงทำสัญลักษณ์เป็นสถูป เป็นคัมภีร์บ้าง เป็นรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์บ้าง สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เป็นธรรมจักรบ้าง กงล้อแห่งธรรมเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ในสมัยพระเจ้าอโศกทำแบบนี้เป็นตัวแทน พอสมัยพระเจ้ามิลินท์ที่เป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกกับอินเดียปนกัน ท่านก็ได้รับอิทธิพลการสร้างรูปปั้นเทพเจ้าอพอลโล เทพต่างๆ ของกรีก-โรมัน ก็เลยเอามาถอดแบบสร้างเป็นพระพุทธรูป ศิลปะแรก คันธาระจึงเป็นริ้วจีวร พระพุทธรูปตัวใหญ่ๆ กล้ามใหญ่ๆ เหมือนกับเทพเจ้าอพอลโล แต่สร้างไว้อย่างนั้นก็เพื่อให้ว่า พระพุทธเจ้าลักษณะเป็นแบบนี้ เป็นพุทธานุสติ แต่ไม่ใช่ตัวพุทธะแท้ๆ ดังนั้น พระพุทธรูปใดๆ ก็แล้วแต่ จึงอย่าไปยึดติด หลวงพ่อใหญ่ท่านก็สอนตลอด ไม่ติดในวัตถุเหล่านี้เลย เพราะว่าพุทธะไม่ใช่อิฐ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่โลหะ ไม่ใช่สำริด ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่เหรียญ ไม่ใช่วัตถุมงคลอะไรต่างๆ ของพวกนั้นจะเอาไปทำอะไรได้ ดับทุกข์ให้เราไม่ได้ ต้องความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จึงจะมาดับทุกข์ ดับปัญหา หยุดปัญหาให้เราได้ จึงต้องมารู้จักว่า พุทธะที่แท้จริงนี้ก็คือตัวผู้รู้ รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ รู้แบบนี้ จึงจะเป็นผู้รู้จริง เมื่อรู้จริงแล้ว ปฏิบัติไป ปฏิบัติไปจึงจะเป็นผู้รู้แจ้ง เพราะรู้แจ้งนี้แหละจึงเป็นผู้ตื่น ตื่นจากกิเลสนิทราที่เคยหลับใหลมากี่ภพกี่ชาติไม่รู้นี้ โงหัวไม่ขึ้นนี้ หลับด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหา ราคะ ทิฐิ มานะ ต่างๆ หลับอยู่อย่างนี้ เมื่อรู้อริยสัจ รู้จริง ปฏิบัติจริงจะเป็นผู้รู้แจ้ง จึงเป็นผู้ตื่น เมื่อตื่นแล้วจิตใจก็เปี่ยมไปด้วยความเบิกบาน เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา จึงเป็นรู้ตื่นเบิกบานจริงๆตามความหมายของคำว่าพุทธะแท้ๆ
แต่ว่าเมื่อหลายปีผ่านไปๆ ศาสนามันก็เพี้ยน เพราะว่าพระอริยเจ้ามีน้อยลง เลยพากันสอนแต่เรื่องสวรรค์ สอนแต่อภินิหาร สอนแต่เรื่องวัตถุบูชาต่างๆ จะเห็นได้ตั้งแต่เป็นพันๆ ปีมาแล้วนี้ ทวยเทพมากมาย จริงอยู่ ศาสนาพุทธไม่ค่อยสอนเทพเท่าไหร่ แต่ว่าเอาโพธิสัตว์แทรกเข้ามา โพธิสัตว์สายนั้นสายนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากเทพของฮินดู เลยทำให้คนยึดกัน ยึดเป็นเทพองค์นั้น เทพองค์นี้ โพธิสัตว์องค์นั้น โพธิสัตว์องค์นี้ โพธิสัตว์ด้านปัญญา โพธิสัตว์ด้านฤทธิ์ โพธิสัตว์ด้านความสำเร็จ โพธิสัตว์ด้านปราบมาร สารพัดเลย เพื่ออะไรล่ะ? เอามาแข่งกับฮินดู สุดท้ายเลยไปยึดไปติดตาม ปัจจุบันก็เลยส่งผลมาเรื่อยๆ ขายเหรียญ ขายวัตถุมงคล ขายสารพัดอย่าง ขายเครื่องรางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ พวกนี้ เป็นการทำพาณิชย์กับพระศาสนา ซึ่งก็ไม่ใช่ สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า จริงๆ พระพุทธเจ้าตีเอาไว้เลยว่าเป็นเดรัจฉานวิชา อย่าไปทำ สอนแบบนี้มาเป็นสองพันกว่าปีแล้ว คำสอนเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ว่าเหล่านี้มันเป็นเดรัจฉานวิชา ถ้าเรามีความสุขในการทำมาหากิน ในการเสียสละ วัตถุมงคลอะไรต่างๆ จะไปช่วยอะไรได้ ความทุกข์มันจะมาจากไหน เราก็ขยัน ประหยัด คนเราเป็นประชาชนมีเมียคนเดียวก็พอแล้ว ถือว่าโง่แล้ว ไม่สามารถจะเป็นนักบวชได้ มีเมียคนเดียวก็เพียงพอ จะไปมีเมียอีกหลายคนนี้ มันเพี้ยนไปใหญ่ เพราะเราตามใจไปอย่างนั้น ตามความคิดอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ใช่มนุษย์ จัดอยู่ในระดับสัตว์เดรัจฉาน ให้เข้าใจนะ ที่มีเมียหลายคนนี้ อยู่ในตำแหน่งสัตว์เดรัจฉาน ระดับเดียวกับหมู หมา กา ไก่ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย อย่าไปผูกเนคไทให้โง่ ไปมีเมียหลายคน ไม่ได้เป็นผู้ทรงเกียรติ แต่ว่าเป็นคนพาล เราจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร สมาธิเราต้องตั้งมั่น ต้องแข็งแรง จะไปทำอย่างนั้นไม่ได้ ภรรยาเรา ลูกหลานเรานี้จะได้มีความสุข แล้วก็ภาคภูมิใจ
พวกเหล้า พวกเบียร์ มันเป็นยาระงับประสาทที่ทำให้มึนเมา แล้วก็ให้หยุดความปรุงแต่งความทุกข์ที่มีในใจไปได้ชั่วครู่ กินแล้วมันติด ถ้ามันผิดศีลข้อ ๕ แล้ว ผิดหมดเลย เพราะประมาท จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจะไปเบียดเบียนคนอื่นก็ทำได้ ทุจริต โกงกิน คอรัปชั่น ไปลักขโมยก็ทำได้ เพราะมึนเมาแล้ว ผิดลูกผิดเมียนี่ โอ ง่ายเลย ยิ่งคำพูดไม่ต้องพูดถึง พอสติไม่อยู่แล้ว หลุดปากไปหมดเลย ทั้งโกหก ทั้งพูดติดระเบิด ติดอาก้า ติด M๑๖ สารพัดที่จะพูดได้ ศีลข้อ ๕ จึงสำคัญ ทำไมเรื่องกินเหล้ากินเบียร์ ทำไมมีหมด? ทำไมเราเห็นเป็นเรื่องธรรมดา? ก็เพราะว่าทำกันจะเป็นประชาธิปไตยแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่ทำกันแบบนี้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นคุณของศีล เป็นองค์ของศีล ถ้าศีลข้อ ๕ ข้อเดียวไม่มี ข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๔ ก็หมดพรวดไปหมดเลย เพราะมันคุมไม่อยู่ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะว่าอยู่ดีๆ มันก็ยังแย่อยู่แล้ว เราลองดู คนตายไปแต่ละวันๆ นี้ หลายร้อยคน เพราะปัญหาเรื่องเหล้าเรื่องเบียร์ ถ้านับในโลก ก็คงจะเป็นพัน เป็นหมื่นที่ตายเพราะว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการกินเหล้า กินเบียร์ กินยาเสพติด
คนมีปัญหาหย่าร้าง ก็เพราะเหล้า เพราะเบียร์ ก็หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายล้านคน คนตายแต่ละวันๆ เพราะเหล้า เพราะเบียร์ เพราะยาเสพติดนี้ ยิ่งกว่า covid-๑๙ เสียอีก covid-๑๙ ตายยังไม่เท่าไหร่หรอก ลองดูสถิติดีๆ นะ ตามโรงพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุตามท้องถนน มันไม่สู้เหล้าสู้เบียร์ พวกเหล้าพวกเบียร์ พวกยาเสพติดที่ดื่มเข้าไป กินเข้าไปนี้ ตายแต่ละวันมากกว่า covid เสียอีก พวกผู้ชายที่ตอนเย็นกินเหล้ากินเบียร์ ไปล้อมวงก๊งเหล้ากันต้องคิดใหม่ เพราะมันเป็นสังคมของคนพาล ไม่ใช่สังคมของผู้มีสติปัญญา ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ แทนที่จะเอาเงินที่ทำงานทั้งวันนี้ เอาไปซื้อของอุปโภคบริโภค เอาไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เอาไปเลี้ยงดูลูกภรรยา แต่กลับเอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อเบียร์ ซื้อยาเสพติด มันเป็นการทำลายครอบครัว ทำลายวงศ์ตระกูล เราอย่าไปทำลายตนเอง ไปทำลายความประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ หายหมดเลย เราต้องอย่าไปตามกัน อย่าไปเอาประชาธิปไตยที่คนส่วนมากส่วนใหญ่ ที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งพากันทำอย่างนั้น เพราะเดี๋ยวนี้ทุกประเทศเขาถือประชาธิปไตยเป็นใหญ่ที่ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองนี้ มันเป็นประชาธิปไตยของอวิชชา ของความหลง เป็นประชาธิปไตยของคนพาล อย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นพื้นเป็นฐานไม่ดี ประชาธิปไตยอย่างนี้ก็เถียงกัน ทะเลาะกัน เดินขบวนกันอย่างนี้ไม่เอา เราต้องเอาประชาธิปไตยของคนผู้ที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ถึงจะเป็นธรรมาธิปไตย เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เราจะได้ขยัน เราจะได้ไม่รับประทานพวกยาพิษ เราจะได้ประหยัด ครอบครัวเราต้องสมัครสมานสามัคคี ทั้งในบ้านแล้วก็ข้างบ้าน ดูแลความสะอาด อย่าไปเสียงดังเอะอะโวยวายทะเลาะเบาะแว้งกัน บางทีก็แย่งแต่เขตแดนกัน ทุกคนต้องเข้าใจว่านี่เขตของใครๆ ก็ต้องเข้าใจ อย่าไปแย่งกัน ฝึกลูกเรา ต้องฝึก ฝึกให้เก็บที่หลับที่นอน ฝึกให้ทำอาหารพื้นๆ หุงข้าว ทอดไข่ ซักผ้าซักผ่อน เพื่อมันจะได้เป็นงาน เพราะมันจะเป็นนายทุนอย่างเดียว จะให้พ่อแม่อุปัฏฐากลูก มีคนรับใช้ดูแลอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด เราต้องมีศีลมีธรรมไปด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น เราเรียนหนังสือ จบปริญญาตรี โท เอก กิเลสมันจะเอาสมองเราไปใช้งานในทางที่ไม่ดี ในทางโกงกินคอร์รัปชั่น แบบนี้ไม่ใช่ ปัญญาเราต้องเป็นปัญญาแบบสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ปัญญาแบบมิจฉาทิฏฐิ เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเรานี่แหละ
อย่าพากันทำตามกันในสิ่งที่ไม่ดี ความสุขของมนุษย์ถึงอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เริ่มจากการเสียสละ เสียสละตั้งแต่เป็นตัวอย่าง แบบอย่างของกุลบุตรลูกหลาน เพราะลูกหลานเขาก็ต้องมาต่อยอดความรู้ความเข้าใจ ทั้งภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เพราะส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น ไปตามรอยไปตามร่อง เหมือนคำโบราณที่บอกว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เป็นจริงๆ พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น พ่อแม่ดี ลูกก็ดี พ่อแม่พาล ลูกก็เป็นคนพาล เหมือนกับเรามองเห็นสิ่งที่ผ่านๆ มานี้ เมื่อหลายปีก่อน ประชาชนก็ถ่ายอุจจาระปัสสาวะตามทุ่งไร่ทุ่งนาตามป่าตามเขา ประเทศเราก็พัฒนามาจนมีส้วม มีห้องสุขาที่ห้องนอนแล้ว พัฒนาความสะดวกสบายในการดำรงชีพ มีรถ มีเครื่องบิน มันต้องมีการพัฒนาต่อยอด มันต้องมีการพัฒนาทั้งเทคโนโลยี แล้วที่สำคัญต้องพัฒนาใจให้เท่าทันไปพร้อมๆ กัน ถึงจะเรียกว่าไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นทางสายกลาง ไม่ได้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง
เราต้องเปลี่ยนฐานความคิด เปลี่ยนฐานชีวิตใหม่ เพราะกว่าจะรวยล้นฟ้าเป็นมหาเศรษฐี แต่ถ้ายังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้รับความสำเร็จในชีวิต มีชีวิตอยู่ก็เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวยเท่านั้นเอง อย่างมากก็ได้เป็นเทวดาเฉยๆ อย่างนี้มันไม่ได้เป็นสุดยอดของความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป้าหมายชีวิตของมนุษย์นี้ มักจะมีผู้สงสัย แล้วก็ตั้งคำถามถามกันมาตลอด เราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร? แต่เมื่อถามคำถามนี้ออกไปแล้ว ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ทำให้รู้สึกพอใจได้ เพราะว่าความคิดของคนนี้ร้อยแปดพันเก้า ร้อยคนก็ร้อยอย่าง มากคนก็มากความ หลายความคิดไปเรื่อย ในที่สุดก็มักจะมีคำตอบในทำนองว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามคำถามที่เป็นอจินไตย เพราะมันหาคำตอบไม่ได้ “อจินไตย” แปลว่าเรื่องที่พ้นความคิด หรือไม่ควรคิดเพราะมันหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งที่เรื่องนี้ พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบไว้อย่างชัดเจนแล้ว เป้าหมายนี้ชัดเจนอยู่ในสามัญญผลสูตร เพราะว่าเป้าหมายชีวิตนี้ในสามัญญผลสูตร เป็นทั้งเป้าหมายชีวิตพระ เป้า หมายชีวิตฆราวาส พระพุทธเจ้าสอนพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูท่านไม่ได้บวช แต่ว่าท่านก็มาใช้ชีวิตต่อยอดจากสามัญญผลสูตร เป็นมหาอุบาสกผู้ที่อุปถัมภ์บำรุงพระศาสนาต่อจากสมเด็จพระราชบิดา-พระเจ้าพิมพิสาร ที่เคยหลงผิดไปคบคนพาล คบพระเทวทัต หลงผิดไปหลายสิบปี จนกระทั่งได้มากลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับชั่วให้เป็นดีได้ จนมาเป็นผู้ที่อุปถัมภ์บำรุงพระศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ในการทำสังคายนาครั้งแรกก็ได้พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้อุปถัมภ์ ก็เพราะพระองค์ฟังสามัญญผลสูตรนี้แหละมาต่อยอด จึงรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร
ในสามัญญผลสูตรสรุปเป้าหมายชีวิตมนุษย์ได้ ๓ ระดับด้วยกันคือ เป้า หมายระดับต้น เป้าหมายระดับกลาง เป้าหมายระดับสูง
เป้าหมายระดับต้นนี้คือเป้าหมายชีวิตที่ปุถุชนผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสโดยทั่วไปคิดแล้วก็ปฏิบัติกันอยู่ เป้าหมายระดับต้นนี้ เรียกง่ายๆ ว่า เป้าหมายบนดินคือมนุษย์สมบัติ เป็นการตั้งเป้าหมายของคนที่มุ่งแสวงหาความสุขความสบายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ตามความคิดของแต่ละคน ดังที่พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าว่า ผู้คนทั่วไปต่างก็อาศัยความรู้ความสามารถของตนประกอบอาชีพ เลี้ยงตนเองและครอบครัวพร้อมทั้งบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข จากข้อความนี้ จะเห็นว่า สอดคล้องกับความคิดของคนในสังคม โดยทั่วไปที่มองว่าเงินคืออำนาจ ยิ่งรวยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น เพราะมีความคิดทำนองนี้ จึงเห็นคนในสังคมทุกยุคทุกสมัยทุ่มเทชีวิตทำมาหากิน เพื่อหวังความมั่งคั่งร่ำรวยอันจะเป็นพื้นฐานไปสู่การมีอำนาจ บารมี แล้วก็มีบริวารมากมาย เมื่อประกอบอาชีพที่สุจริตมันไม่รวย ก็เลยหันไปประกอบอาชีพทุจริต เพราะมันรวยไว ยอมเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ บุคคลที่มีเป้าหมายบนดินก็อาจจะประสบทั้งสุขและทุกข์ระคนกันไปตามประสาปุถุชนผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ที่แน่นอนก็คือ ผู้ที่บรรลุถึงเป้าหมายบนดินนี้ ย่อมประสบความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน มีอำนาจ มีเกียรติยศ มีชื่อเสียงในสังคม แต่ทว่าจะมีความสุขใจไหม นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บุคคลที่มีเป้าหมายจำกัดอยู่เพียงในระดับนี้ มักจะไม่สนใจในเรื่องการสั่งสมบุญบารมี ไม่มีความละอายหรือว่าเกรงกลัวต่อบาปเท่าที่ควร ครั้นตั้งหน้าตั้งตากอบโกย แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย อำนาจและบริวารไปเรื่อยๆ ก็มักจะไม่สามารถสอนใจตนเองได้ว่า จะต้องมีมากเท่าไหร่จึงจะพอ เมื่อไม่รู้ปริมาณที่ควรจะพอ ก็ย่อมจะเบียดเบียนทั้งตนเอง แล้วก็ผู้อื่นไม่รู้จบ เบียดเบียนตนเองหมายความว่า คิดแต่จะแสวงหาทรัพย์ แม้ในทางที่ไม่ชอบจนกลายเป็นความโลภ เมื่อพบอุปสรรคหรือคู่แข่งก็เกิดความโกรธ มุ่งแสวงหาอำนาจคือความหลงอยู่เรื่อยไป เบียดเบียนผู้อื่นหมายความว่า แก่งแย่งผู้อื่นโดยรูปแบบต่างๆ ตลอดจนถึงการทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายทรัพยากรธรรมชาติด้วย
การเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเหล่านี้ คือวิสัยของมิจฉาทิฏฐิบุคคล ดังที่ว่าไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ คนโลภคนหลง มีอวิชชาห่อหุ้ม มีมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดนี้ ไม่เคยอิ่มเต็มไปด้วยตัณหา ดังนั้น ผู้ที่ตั้งเป้าหมายบนดินเท่านั้นจึงนับว่าดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่เสี่ยงอันตราย มีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายอย่างยิ่ง ผิดพลาดอย่างไร? ตกอบายได้ง่าย มันง่ายเหลือเกิน จะไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนี่ มันง่าย เพราะว่าเสี่ยง เสี่ยงในการทำมาหากิน เสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางนี้มันยังพอมองเห็นง่าย แต่พอเสี่ยงอบายภูมินี้มักจะมองไม่เห็น เพราะว่าปัญญา ตาปัญญามืดบอด นรกอยู่ตรงไหน สวรรค์อยู่ตรงไหน ไม่เห็นมีเลย เลยไม่กลัว ไม่กลัวในบาป ไม่กลัวในเวรภัย ไม่กลัวในอบาย เพราะมองไม่เห็น แล้วก็ไม่เชื่อด้วย คนส่วนใหญ่ในโลกเป็นกันอย่างนี้ แล้วก็เป็นอย่างนี้มาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน และในอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่พากันทำแบบนี้ เพราะตั้งเป้าหมายไว้ที่มนุษย์สมบัติเท่านั้นเอง
ต่อไป เป้าหมายระดับกลาง เป็นเป้าหมายที่คำนึงถึงชาติหน้าด้วย มีปัญญาขึ้นมาอีก เพราะเข้าใจถูกว่า คนเรานี้ ไม่ใช่เกิดมาชาติเดียวนะ ไม่ใช่ตายแล้วสูญไปนะ แต่คนที่ตั้งเป้าหมายในระดับแรกแค่มนุษย์สมบัติ แค่ความรวย อำนาจ วาสนา บารมีนี้ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้าหรอก คิดว่าเกิดมาหนเดียวตายหนเดียว อยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรติดตัวไปได้เลย ถ้าทำไม่ดีคนก็สาปส่ง สาปแช่ง ชื่อเสียงความไม่ดีก็ยังติดอยู่ในประวัติศาสตร์ เป้าหมายระดับกลางที่คำนึงถึงชาติหน้าคือ แสดงว่ามีสัมมาทิฏฐิในระดับต้น เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เชื่อเรื่องมนุษย์ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เชื่อเรื่องบุญคุณพ่อแม่ จึงตั้งเป้าหมายบนฟ้า คือสวรรค์สมบัติ
มนุษย์เรานี้วิเศษกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ตรงที่มีสติสัมปชัญญะ มีธรรมะสัญญา สามารถพัฒนาความเข้าใจในธรรมให้เกิดขึ้นได้ หมายถึง การตระหนักในเรื่องของธรรมะ เป็นสัมมาทิฏฐิในระดับต้น คือสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นบุญ สิ่งใดเป็นบาป มีความเชื่อว่าตายแล้วไม่ได้สูญ ชาตินี้มี ชาติหน้ามี จึงคิดสร้างบุญไว้สำหรับชีวิตในชาติหน้าโดยการบำรุงสมณพราหมณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะของจิตใจที่พัฒนาสูงขึ้น ดังที่พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าว่า ผู้คนทั่วไปต่างก็อาศัยความรู้ความสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมทั้งบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข ส่วนทรัพย์สินที่เหลือนี้ก็นำไปบำเพ็ญประโยชน์ ไปบำเพ็ญทานแก่นักบวชทั้งหลาย ด้วยความหวังสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ก็ถือได้ว่า เป็นผู้มีสัมมาทิฐิในเบื้องต้น ทำบุญหวังสวรรค์ ขอให้รวย ขอให้ชาติหน้าเกิดมาไม่ลำบาก อยู่ในภพภูมิที่ดี เป็นเทพชั้นนั้นชั้นนี้ เป้าหมายระดับนี้ ชื่อว่าเป็นเป้าหมายอยู่ในระดับกลาง ตั้งอยู่แค่เป้าหมายบนฟ้า คือแค่สวรรค์สมบัติ ยังไม่ถึงพรหมสมบัติเพราะว่ายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเลย ยังไม่ได้ทำสมาธิ ยังไม่ได้ฌานเลย จึงเป็นแค่สวรรค์สมบัติ ซึ่งเป้าหมายในระดับนี้ ส่วนใหญ่ก็มีคนทำกัน โดยเฉพาะในระดับคริสต์ ระดับอิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ก็ทำกัน ชาวพุทธก็ทำกัน แต่ว่าหวังแค่สวรรค์ ส่วนใหญ่ก็เลยเก่งในเรื่องการให้ทาน คิดว่าทำบุญนี้คือการแค่ควักเงินออกมา หยอดตู้บริจาค กดเงินโอนพร้อมเพย์ ทำโน่นทำนี่ ทำบุญที่นั่นทำบุญที่นี่ คิดว่าทำบุญคือแค่นี้ แต่ความเป็นจริงแล้ว มันมีสูงขึ้นไปกว่านั้นอีกเยอะแยะมากมาย ทานมันอยู่ในระดับต้นๆ สูงกว่านี้คือศีล ดังที่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียด ในเรื่องของผลบุญต่างๆ ที่ได้อธิบายไว้ในกัณฑ์เทศน์งานทอดกฐิน ศีลมันสูงกว่านี้ เพราะเรื่องของศีลมันคือการละบาปคนส่วนใหญ่ชอบทำบุญ แต่ไม่ละบาป โดยเฉพาะอย่างช่วงนี้มีเทศกาลกฐิน ไปกันเป็นขบวน ไปเป็นคันรถบัส บอกว่าจะไปทำบุญ ไปทอดกฐิน ทอด ผ้าป่า แต่ระหว่างทางทั้งร้องคาราโอเกะบนรถ กินเหล้า เล่นไพ่สารพัด ด่ากันก็มี ทะเลาะกันก็มี ไปทำบุญแต่บาปไม่ได้ละเลย ทำบุญจะถึงบุญไหม เพราะว่าศีล ๕ ยังไม่มีเลย ดังนั้นการให้แบบนี้ จึงยังไม่ใช่การให้ในความเป็นมนุษย์สมบัติเลย สุดท้าย ครูบาอาจารย์บางท่านก็เลยบอกว่า เกิดมา จริงอยู่ เป็นผู้มีความสุขในการให้ทาน ศีลไม่มี จะเป็นคนได้อย่างไร ก็เลยเป็นหมาคนรวย เกิดมาเป็นสุนัขคนรวย มีความอยู่ดีกินดี ดีทุกอย่าง ส่วนใหญ่หมาไม่ใส่เสื้อ เขาก็ใส่เสื้อผ้าให้มัน ใส่เครื่องประดับให้มัน บางทีเดินทางนั่งเครื่องบินไปด้วยอีก เป็นหมาผู้ดี เพราะว่าเป็นผลแห่งทาน แต่ศีลไม่มี อย่างนี้เป็นต้น หรือบางทีเป็นเปรตอยู่ในภพภูมิที่ดี เรียกว่าเวมานิกเปรต เปรตมีวิมาน ตอนกลางวันเสวยสุขอยู่ในวิมาน กลางคืนเสวยทุกข์อันเป็นผลของความโลภในการทุจริตโกงกินคอร์รัปชั่น ในการไม่มีศีล เหล่านี้เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า ทานนี้ยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของการจะได้ภพภูมิที่ดี ดังนั้น ศีลนี้แหละมันสูงกว่า ศีลต้องพัฒนาต่อยอดเข้ามาจึงจะทำให้เป็นมนุษย์ได้
แล้วก็เป้าหมายสูงสุดนี้คือการภาวนา เป็นเป้าหมายที่มุ่งความหลุดพ้น เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายในทางที่ ๓ ระดับสูงสุดนี้ เป็นเป้าหมายที่มุ่งสู่ความหลุดพ้นเพื่อบรรลุพระนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือเป้าหมายเหนือโลก เหนือโลกียะ นั่นก็คือโลกุตระนั่นเอง “โลกุตระ”แปลว่าเหนือโลก “โลกะ” แปลว่าโลก “อุตตระ”แปลว่าเหนือ อุตตระหรือว่าอุดร แปลว่าเหนือ โลกุตระหรือว่าโลกอุดร จึงแปลว่าเหนือโลก เหนือโลกไหนล่ะ? คือเหนือโลกเหนือวัฏสงสาร เหนือการเวียนว่ายตายเกิด เปรียบเสมือนกับผู้ที่อยู่บนเครื่องบิน ยังไม่อยู่บนเครื่องบิน อยู่บนยานอวกาศ มองกลับมา เห็นว่าโลกมันกลมแบบนี้ ดวงอาทิตย์ลักษณะแบบนี้ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวโน่นดาวนี่มีลักษณะเป็นอย่างนี้ แต่ผู้ที่อยู่เหนือโลก เหนือวัฏสงสาร ท่านออกไปมากกว่านั้นอีก ซึ่งยานอวกาศไหนๆ จะยานอพอลโล ๑๑ หรือว่ายานอะไรก็แล้วแต่ที่สร้างกันขึ้นมาก็พาไปไม่ถึง เพราะยานอวกาศเหล่านี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในภพภูมิเหล่านี้ ญาณเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นไม่ได้ สร้างขึ้นด้วยพุทธวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จากการเจริญภาวนา จากการเจริญวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะทำให้ถึงญาณในระดับเหล่านี้ได้ แล้วก็มีปรากฏเฉพาะในพระพุทธ ศาสนาเท่านั้น ไม่ได้ปรากฏอยู่ในคำสอนของศาสนาอื่นใดในโลกนี้ นี่แหละคือสิ่งวิเศษสุดอย่างยิ่งของพระพุทธศาสนาเรา เพราะเป็นศาสนาแห่งปัญญาโดยแท้
ศาสนาพุทธเราไม่ได้ปฏิเสธศาสนาอื่น จากในสามัญญผลนี้ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูนี้ ท่านก็เล่าว่า ไปถามศาสดาทั้ง ๖ ลัทธินั้น ลัทธินี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยว่าของเขาไม่ดี แต่พระพุทธเจ้ามาพูดความจริงให้เห็น เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ในระดับต้นๆ นี้ ที่ไล่ตั้งแต่ทาน ศีล จนกระทั่งมาถึงสมาธิ และมาถึงปัญญานี้ สอนแบบนี้ จึงทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าใจเองว่า โอ...ผลของการบวชเป็นสมณะเป็นอย่างนี้ ผลของการครองเรือนครองชีวิตฆราวาสนี้ ต้องทำแบบนี้ ท่านก็อธิบายว่า ถ้าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทำปิตุฆาต ไม่ทำอนันตริยกรรมนี้ ท่านจะได้บรรลุโสดาบันในขณะนั้นเลย แต่เนื่องจากว่าท่านฆ่าพ่อ ทำอนันตริยกรรม เลยปิดมรรคผลพระนิพพานของท่านไป แต่ว่าทำให้วิบากกรรมของท่านนี้เบาบางลงไป จากที่ต้องไปเสวยวิบากกรรมในอเวจีมหานรก ก็ลดกำลังลงมาเป็นโลหะกุมภีนรก ๖ หมื่นปี จากปากจมลงไปก้น ๓ หมื่นปี จากก้นขึ้นมาอีก ๓ หมื่นปีนี้ เมื่อพ้นจากตรงนั้นแล้ว ท่านจะได้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นามว่า “ชีวิตวิเสส” ก็เพราะว่าผลแห่งการที่ท่านถึงพระรัตนตรัย จากการฟังตรงนี้แหละ เพราะตอนแรกท่านเครียดมาก ฆ่าพ่อนี้เครียดเหลือเกิน นอนไม่เคยเต็มอิ่ม นอนไม่เคยหลับเลย จะหลับตาลงก็เหมือนกับมีหอกมันทิ่มแทงที่ดวงตาตลอด ไม่เคยได้ความสุขในราชสมบัติเลย เพราะท่านทำกรรมหนัก จากการคบคนพาล จนกระทั่งมาฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า จากการชักนำของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ผู้ที่เป็นเหมือนกับเป็นพี่เป็นน้องนั่นแหละ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นแหละ จึงเลื่อมใสในพระศาสนาอย่างยิ่ง จึงเข้าใจแล้วว่า เป้าหมายของมนุษย์นี้เป็นอย่างนี้นี่เอง ส่วนใหญ่นี้แสวงหากันแค่มนุษย์สมบัติ อย่างดีก็ต่อยอดแค่สวรรค์สมบัติ หรือเมื่อมีสมาธิ มีฌาน ก็ได้แค่พรหมสมบัติแค่นั้น แต่เรื่องการต่อยอดให้เป็นโลกุตระพ้นโลกได้นี้ ต้องทำด้วยตัวเอง อันเป็นผลของการเจริญปัญญา เจริญวิปัสสนา พระพุทธศาสนาจึงต้องเน้นการปฏิบัติ ลงมือทำนี่แหละ เป็นหลักสำคัญ การศึกษาภาคทฤษฎีหรือพระปริยัติธรรมนี้ ก็เพื่อยึดไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ เป็นเหมือนกับแผนที่นำทางไม่ให้หลงทาง เพราะถ้าไม่รู้หลักก็ปฏิบัติไม่ถูก
ดังนั้น จะเห็นว่า คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาซึ่งเริ่มมาจากพระวินัย คือขัดเกลาใจ วินัยแปลว่านำไปในทางที่ถูก นำไปให้เห็นแจ้ง วิ แปลว่าแจ้ง แปลว่าวิเศษ นัยยะ มาจากนี นีธาตุ แปลว่านำไป วินัยยะ จึงแปลว่า นำไปสู่ความเห็นแจ้ง พระวินัยนี้นำไปสู่ความเห็นแจ้ง นำไปสู่ความเห็นถูก นำไปสู่การเห็นแจ้งอย่างพิเศษ วินัย ท่านจึงวางวินัยไว้เป็นอันดับต้น เพราะวินัยเป็นอายุของพระศาสนา จากนั้นจึงเป็นพระสูตร ซึ่งเป็นธรรมะสอนตั้งแต่ต้นจนถึงพระนิพพาน แล้วก็เป็นพระอภิธรรม ล้วนแต่เป็นหลักปฏิบัติสำหรับพุทธบริษัททั้ง ๔ ที่จะต้องเรียนศึกษาให้เกิดความเข้าใจ แล้วที่สำคัญนี้ ลงมือปฏิบัติ ถ้าเรียนแล้วไม่ลงไปปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็เปรียบเสมือนกับผู้ที่รับจ้างเลี้ยงโค พระพุทธเจ้าทรงอุปมาเหมือน กับรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มปัญจโครส ไม่มีโอกาสได้ดื่มนมโค เนยใส เนยข้น ปัญจโครสก็คือรสต่างๆ ที่เกิดจากน้ำนมโคนี้ นมสด นมเปรี้ยว เนยแข็ง เนยใส พวกนี้ที่เป็นผลผลิต เป็นผลิตภัณฑ์จากโคนม ไม่มีโอกาสได้กินเพราะว่าไม่ใช่เป็นเจ้าของ แค่เลี้ยงเช้าถึงเย็นก็ไปส่งคืนเจ้าของ รับค่าจ้างมา รุ่งเช้าก็ไปเอาโคมาอีก มาเลี้ยง ตกเย็นก็ส่งคืนเจ้าของ เปรียบเสมือนกับผู้ที่เรียนมาก แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ได้ค่าจ้างจริงอยู่ ค่าจ้างคืออะไรล่ะ? ลาภสักการะ อาจจะเป็นกัณฑ์เทศน์หรือว่าลาภสักการะต่างๆ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเหมือนกับการรับ จ้างเลี้ยงโค แต่ไม่มีโอกาสได้กินปัญจโครส คือมรรคผลนิพพานเลย หากไม่ลงมือประพฤติลงมือปฏิบัติ
ในทำนองเดียวกัน เป็นประชาชน เป็นฆราวาส รู้ธรรมะมากมาย แต่ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติ มันก็ไม่ได้ผล ต้องลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ จึงจะได้ผลจริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่นี้ ผู้รู้ธรรมมีมาก แต่ผู้ปฏิบัติธรรมมีน้อย ผู้แสดงธรรมมีมาก แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมจริงๆ มีน้อย จึงต้องลงมือประพฤติลงมือปฏิบัติ จึงจะเห็นประโยชน์ จึงจะเห็นผล จึงจะนำไปสู่ความดับทุกข์คือพระนิพพานได้จริง
ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย คือบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้อภิบาลปกป้องคุ้มครองรักษาให้ทุกท่านปราศจากสัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย อันตรายใดๆ อย่าได้มาพ้องพาน เจริญยั่งอยู่นานอยู่ในร่มเงาแห่งพระบวรพุทธศาสนา เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติด้วยกันทุกท่านเทอญ