แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า ตอนถวายพระเพลิง - สังคายนา - พระพุทธศาสนาเข้า
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระ พระเถรานุเถระ
เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็น
แห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่คุณโยมพุทธศาสนิกชน ทุกคนทุกท่าน พวกเราเอามือลง
นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้ก็เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจะได้นำสรีระร่างกายของคุณแม่วรรัตน์ คำสด ไปประชุมเพลิง ณ
ฌาปนสถาน วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ตลอดช่วงระยะเวลา ๖ วันที่ผ่านมา ก็ได้บำเพ็ญกุศล เพื่ออุทิศบุญส่งบุญกุศลให้กับคุณแม่วรรัตน์ คำสด ทุกคืน ซึ่งคุณแม่เป็นคนที่ดีมาก ดีพิเศษ ดีจริง ๆ มีชีวิตที่งามพร้อม มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย แล้วก็ในวันนี้ เป็นที่น่าปลื้มปีติใจที่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ แล้วก็คณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย พร้อมใจกันมาส่งกุศลผลบุญให้แด่คุณแม่วรรัตน์ คำสด ไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ สู่มรรคผลนิพพาน แล้วก็ได้พร้อมเพียงกันสวดมาติกาบังสกุล ก่อนที่จะนำสรีระร่างกายไปประชุมเพลิง ความที่เป็นคนดีของแม่นั้น ก็จะเห็นได้จากผู้ที่เป็นลูก
ที่เป็นคนดี การที่ลูกเป็นคนดี เป็นการสะท้อนประกาศเกียรติคุณของผู้เป็นแม่
การบำเพ็ญกุศลที่ผ่านมาทั้ง ๖ คืน องค์พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อใหญ่ ท่านก็ได้เน้นให้ความรู้ในเรื่องของพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เสียสละ สร้างบารมี บำเพ็ญบารมี ดังนั้น เราจึงต้องเอาแบบอย่าง เอาตัวอย่าง ทั้งปฏิปทา ทั้งการปฏิบัติ ทั้งความอดทนเข้มแข็งของท่าน จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าจะได้เป็นพระอรหันต์สาวก จนกว่าจะได้เป็นผู้เลิศในด้านต่าง ๆ
หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว ก็บังเกิดเหตุแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั่ว กลองทิพย์ เครื่องดนตรีสวรรค์ก็บรรเลงขึ้นมา เสียงดังกึกก้องกัมปนาท ท้าวสหัสบดีพรหม ซึ่งเป็นประธานแห่งท้าวมหาพรหมทั้งปวง
ท้าวสักกะเทวราช พระอนุรุทธเถระ พระอานนท์เถระ ซึ่งเป็นประธานตรงนั้น ท่านก็ได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นหัวหน้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ได้กล่าวคาถาออกมาที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ท่านกล่าวมาว่า “อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข” สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว
ก็มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา การดับหรือว่าการสงบระงับสังขาร การปรุงแต่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นความสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขโดยแท้ ซึ่งบทนี้เราก็ได้นำมาใช้ในการบังสุกุลของพระภิกษุสงฆ์ในงานที่บำเพ็ญกุศลเกี่ยวกับศพ จนกระทั่งทุกวันนี้
ฝ่ายภิกษุผู้เป็นขีณาสพ สิ้นอาสวะแล้ว ท่านก็ปลงธรรมสังเวช ปลอบผู้ที่กำลังร้องไห้ กำลังคร่ำครวญด้วยเวทนา คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าเสียใจที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าจากไป ในค่ำคืนนั้น พระเถระทั้งสองก็เลยช่วยกันแสดงธรรมจนตลอดราตรี จนสว่าง ข่าวการดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า แพร่สะพัดไป
อย่างรวดเร็ว จากแคว้นสู่แคว้น จากราชธานีสู่ราชธานี จากนิคมสู่นิคม จากชนบท
สู่ชนบท จนทั่วชมพูทวีป ชมพูทวีปทั้งหมดสั่นสะเทือนวิปโยค ไอแห่งความโศกเศร้า
แผ่กระเซ็นสาดกระจายไปทั่วแผ่นดิน ประหนึ่งว่าฝน ละอองฝน กระจายไปทั่วพื้น
เมทนีดล ชมพูทวีปทั้งหมดครึ้มไปด้วยเมฆ คือความเศร้าโศก ปริเวทนาการต่อเนื่อง
เป็นอันเดียวกัน เก็บพระพุทธสรีระ ก็คือ เก็บร่างของพระพุทธเจ้าไว้ ๗ วัน จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ ก็ได้ทำพิธีถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์
เมื่อถึงวันที่ ๗ ผู้ที่แบกพระบรมศพของพระพุทธเจ้าก็คือ กลุ่มมัลลปาโมกข์
มีทั้งหมด ๘ ท่าน มัลลปาโมกข์ ก็คือเป็นหัวหน้าของเจ้ามัลละ กุสินาราปกครองโดย
เจ้ามัลละ เจ้ามัลละจะเป็นผู้ที่มีร่างกายกำยำ มีร่างกายบึกบึน เพราะว่าเป็นเผ่าพันธุ์
เป็นพงศ์พันธุ์แห่งนักมวยปล้ำ ดังนั้น ร่างกายของท่านจึงใหญ่โต แข็งแรง มัลลปาโมกข์ทั้ง ๘ ท่าน ก็มาอัญเชิญพระพุทธสรีระ ไปสู่มกุฏพันธนเจดีย์ทางด้านทิศบูรพา เตรียมถวายพระเพลิง ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งเราทราบกันว่า วันนั้นคือ วันอัฏฐมีบูชา พอไปถึง ณ จิตกาธาน จุดไฟอย่างไรก็ไม่ติด เพราะว่าเป็นความประสงค์ของเทวดา เพราะว่าตอนนี้ พระมหากัสสปเถระเป็นพระเถระผู้ใหญ่ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้ามาก กำลังเดินทางมาถึงเมืองปาวา อีกนิดหนึ่งก็จะมาถึงที่กุสินาราแล้ว ก็เลยให้รอจนท่านมาถึงก่อน
รอระยะเวลาสักครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นาน พระมหากัสสปเถระพร้อมด้วยภิกษุบริวารประมาณ ๕๐๐ รูป ก็เดินทางมาถึงที่มกุฏพันธนเจดีย์ พระมหาเถระขึ้นไปยังจิตกาธาน ซึ่งตอนนั้นพระพุทธองค์ก็ได้บอกเอาไว้ว่า ให้จัดการกับพระพุทธสรีระนี้ คือให้พันด้วยผ้าขาวพันซับด้วยสำลี ๕๐๐ ชั้น ผ้าขาวพัน ซับสำลี ผ้าขาวพัน ซับสำลี ทำอย่างนี้ ๕๐๐ คู่ ๕๐๐ ชั้น แล้วก็นำไปใส่ไว้บนโรงเหล็ก ราดด้วยน้ำมันหอม แล้วก็ปิดครอบด้วย
โรงเหล็กอีกอันหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งไว้บนจิตกาธาน
พอพระมหากัสสปเถระท่านเดินทางมาถึง ท่านก็ขึ้นไปยังจิตกาธาน ท่านตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ด้วยพุทธบารมีที่ข้าพระองค์นี้เป็นศิษย์ของพระตถาคตเจ้า ได้รับการ
ยกย่องว่าเป็นผู้ทรงธุดงค์ แล้วก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ ถึงกับแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิ โทษล่วงเกินอันใดที่
ข้าพระองค์ได้ล่วงเกินในพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษ ขอโทษล่วงเกินอันนั้น ขอพระพุทธบารมี ขอให้พระบาท
ได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์ เพื่อถวายบังคมด้วยเถิด สิ้นคำอธิษฐานของพระมหาเถระ
พระพุทธบาททั้งคู่ของพระพุทธเจ้าก็ชำแรกผ้าทั้ง ๕๐๐ ชั้น กับโรงเหล็กออกมา
อย่างน่าอัศจรรย์ พระมหาเถระก็นำศีรษะของท่านไปซบที่พระบาทของพระพุทธเจ้า
นิ่งอยู่นาน จากนั้น ท่านขอขมาเสร็จ พระพุทธบาทก็กลับเข้าไปยังโรงเหล็กและผ้า ๕๐๐ ชั้น ตามเดิม
จากนั้น เตโชธาตุ ไฟอันเป็นทิพย์ก็ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้มีผู้ใดจุด เผาพระพุทธสรีระพร้อมทั้งผ้าและฟืนทั้งหมดจนหมดสิ้น เมื่อไฟเผาจนหมดแล้ว
ท่อน้ำที่ไหลมาจากสวรรค์ หลั่งมาจากต้นสาละ แล้วก็หลั่งมาจากพื้นดิน เพื่อมาดับไฟบนจิตกาธานที่เหลืออยู่บนเชิงตะกอนนั้น ก็คือ ทั้งหมดนี้กลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ กับบางส่วนที่ไฟมิได้ไหม้ กับผ้าข้างในสุด กับผ้าข้างนอกสุด ผ้าชั้นในสุดกับผ้าข้างนอกสุดยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ถูกไฟเผาไหม้ไปด้วย ท่านอธิบายว่า ผ้าชนิดนี้ เป็นผ้า “อัคคิโวทานทุสสะ” เป็นผ้าที่ซักด้วยไฟ ทำจากใยหิน เวลาผ้าชนิดนี้สกปรก จะโยนใส่ไฟ ไฟก็จะทำให้สะอาด ซึ่งเอาพันพระพุทธสรีระชั้นในสุดกับชั้นนอกสุด ผ้าก็เลยอยู่ในสภาพเดิม ห่อพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้
พระบรมธาตุทั้งหลาย ที่ยังคงอยู่ในลักษณะเดิม ไม่ได้แปรเปลี่ยน ยังคงเดิม ก็คือ ๑ คือ พระอุณหิส กระดูกหน้าผากของพระพุทธเจ้า ๒ คือ กระดูกไหปลาร้า
พระรากขวัญทั้ง ๒ ข้าง แล้วก็อีก ๔ องค์ ก็คือ พระเขี้ยวแก้ว พระพุทธเจ้าจะมีพระทนต์ทั้งหมด ๔๐ ซี่ เป็นพระเขี้ยวแก้ว ๔ แล้วก็อีก ๓๖ ก็คือ เป็นฟันธรรมดา ฟันธรรมดากับพระเขี้ยวแก้วอยู่ในสภาพเดิม ท่านก็บอกว่า ก็เหลืออยู่ในสภาพเดิม ส่วนที่เหลือกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ มีสามสัณฐาน มี ๓ ลักษณะ พวกเราฟังตรงนี้ดี ๆ นะ เพราะว่าตอนนี้พระบรมสารีริกธาตุมีปลอมเยอะมาก
ในอรรถกถาพระไตรปิฎกท่านอธิบายว่า สีของพระบรมสารีริกธาตุมี ๓ ขนาดด้วยกัน ขนาดเล็กมีสัณฐานเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด สีเหมือนกับดอกมะลิตูม อันนี้คือขนาดเล็กสุด เท่าเมล็ดผักกาด ขนาดเขื่อง ขนาดกลางขึ้นมา เท่ากับเมล็ดข้าวสารหัก
มีสีเหมือนแก้วมุกดา แล้วก็ขนาดใหญ่ มีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเขียวผ่ากลาง สีเหมือนกับทองคำ อันนี้คือพระบรมสารีริกธาตุของแท้ จะเป็นแบบนี้ รวมจำนวนได้ทั้งหมด ๑๖ ทะนาน ๑ ทะนานก็ประมาณเท่ากับกะลามะพร้าว
เหล่ามัลละกษัตริย์ก็ได้นำพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดใส่ไว้ในทะนานทองคำ แล้วก็เอาไปตั้งบูชาไว้ในกลางท้องพระโรง บูชาด้วยการฟ้อนรำ ประโคมดนตรี ดอกไม้นานาประการ ตั้งกองทหารอารักขาไว้อย่างดี เพราะเป็นของที่มีค่ามาก ผ่านไป ๗ วัน เหล่าเจ้ากษัตริย์ทั้งหลาย เหล่าเจ้าเมืองที่เป็นแคว้นมหาอำนาจ ก็ยกทัพมาเพื่อจะมาขอของสำคัญ ก็คือกระดูกพระพุทธเจ้า คือพระบรมสารีริกธาตุ กษัตริย์ ๗ เมืองที่มาก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู (เมืองราชคฤห์) แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์ลิจฉวี เมืองไวสาลี
เจ้าศากยราชแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าโกลิยะ (เมืองรามคาม) แห่งกรุงเทวทหะ ที่เป็น
พระญาติฝ่ายบิดากับมารดา แล้วก็กษัตริย์ถูลิย แห่งเมืองอัลลกัปปะ (มหา) พราหมณ์
ผู้ครองเมืองเวฎฐทีปกะ แล้วก็กษัตริย์มัลละแห่งเมืองปาวา ยกทัพมาขอ
แต่เดิมที กษัตริย์เจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราไม่ให้ หวงเอาไว้ จนกระทั่งเขามาล้อมเมืองเอาไว้ โทณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ฉลาด ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้ามาที่นี่แหละ เพราะว่ามีโทณพราหมณ์คนนี้อยู่ เขามีการเจรจา มีฝีปากเป็นเลิศ พร้อมกับเป็นอาจารย์ผู้ที่สอนกษัตริย์ด้วย เป็นที่เคารพนับถือ โทณพราหมณ์ท่านก็เลยห้ามสงครามเอาไว้ บอกว่า พระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ทรงสรรเสริญขันติธรรม เป็นผู้ทรงสรรเสริญเมตตาธรรม ทรงสรรเสริญเรื่องความสามัคคี การที่พวกท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แล้วมาทะเลาะกันด้วยเหตุแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เราควรจะมาแบ่งให้เท่า ๆ กันดีกว่า กษัตริย์ทั้ง ๗ เมืองก็ยอม
จากนั้น โทณพราหมณ์ก็เลยใช้ตาชั่งทองคำ เอามาแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ๑๖ ทะนานนั้น เป็น ๘ ส่วน ก็จะได้ส่วนละ ๒ ทะนาน ให้กับกษัตริย์ ๗ เมืองที่มา แล้วก็อีกส่วนหนึ่ง ก็คือให้กับมัลละแห่งเมืองกุสินารา ในขณะที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
โทณพราหมณ์ ท่านก็หยิบพระเขี้ยวแก้วด้านบนข้างขวา ในขณะที่เหล่ากษัตริย์ทั้งหลายกำลังเผลอ กำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า โทณพราหมณ์ได้โอกาส
ก็เลยหยิบเอาไว้ที่มวยผม ไม่ได้ขโมย แต่ว่าเอามาโดยที่เขาไม่ได้เห็น เอาใส่มวยผมเอาไว้ คิดว่าจะเอาไปบูชาเอง เพราะเป็นของมีค่า พระเขี้ยวแก้ว ท้าวสักกะเทวราชทรงเห็นว่า ในอนาคตกาลนี้ โทณพราหมณ์ท่านบูชาได้ก็จริง แต่ว่าลูกหลานของท่านจะดูแลไม่ได้ ท้าวสักกะก็เลยมาอัญเชิญไป โดยที่โทณพราหมณ์ไม่รู้เหมือนกัน พอเวลาแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ โทณพราหมณ์มาจับมวยผมดู หาไม่เจอ แต่ไม่รู้จะไปถามใคร ถ้าไปถามคน เขาไปหาว่าขโมย สรุปว่า พระอินทร์ ท่านก็อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วด้านบนข้างขวาพร้อมกับกระดูกพระรากขวัญข้างขวา ไปบูชาไว้บนพระเกศจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่เดียวกับที่เก็บพระเมาลีตอนที่ตัดตอนอธิษฐานเพศบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา อยู่ในเจดีย์องค์เดียวกัน ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเขี้ยวแก้วด้านล่างข้างขวาอยู่ที่แคว้นกาลิงคะ ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศศรีลังกา ที่วัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี้ พระเขี้ยวแก้วด้านบนข้างซ้ายอยู่ที่แคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ที่ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แล้วก็ด้านล่างข้างซ้าย อยู่ที่เมืองพญานาค กระดูกพระรากขวัญข้างซ้าย กับกระดูกหน้าผากอยู่ที่ทุสสะเจดีย์ บนพรหมโลก ที่ฆฏิการะพรหมนำอัฐบริขารมาถวายพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาชุดฆราวาสของพระพุทธเจ้า ไปสร้างเป็นทุสสะเจดีย์ เจดีย์ที่เก็บผ้า แล้วก็มีกระดูกไหปลาร้าข้างซ้าย กับกระดูกพระอุณหิสของพระพุทธเจ้าไว้ตรงนั้นด้วย
หลังจากที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อย พระมหากัสสปะท่านก็สั่งให้ประชุมสงฆ์ เพื่อที่จะกระทำสังคายนา เพราะในระหว่างทาง ช่วง ๗ วันหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ตอนที่ท่านเดินทางจากเมืองปาวามาที่เมืองกุสินารา ตอนนั้น พระมหากัสสปะอยู่กับหมู่ภิกษุ ก็เห็นอาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑารพ ดอกมณฑารพเป็นดอกไม้สวรรค์ แสดงว่าดอกนี้ใหญ่มาก เพราะว่าเขาถือมาเป็นร่มเลย กางดอกมณฑารพเหมือนกับร่ม เขาว่าอย่างนั้น แล้วดอกมณฑารพนี้จะตกเฉพาะเกิดเหตุการณ์สำคัญกับพระพุทธเจ้า เช่น เวลาพระพุทธเจ้าประสูติ เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เขาก็เลยถามว่า เอาดอกไม้นี้มาจากไหน เขาบอกว่า เมื่อ ๗ วันที่แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ดอกมณฑารพชนิดนี้ ก็ตกลงมาเกลื่อนเมืองเลย ภิกษุที่เป็นปุถุชน ก็ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ร้องไห้ ส่วนพระอรหันต์
ก็ปลงธรรมสังเวช ในจำนวนนั้นมีภิกษุหลวงตาบวชตอนแก่รูปหนึ่ง ชื่อสุภัททะ ก็พูดขึ้นมาว่า ท่านจะร้องไห้กันทำไม พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปก็ดีแล้ว พูดง่าย ๆ คือ ตายก็ดีแล้ว พูดอย่างนี้นะ ขนาดเป็นสาวก ตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ ก็คอยห้ามโน่นห้ามนี่ คอยจู้จี้ บัญญัติวินัยเยอะเหลือเกิน เราจะทำ จะเหยียดมือ เหยียดแข้ง เหยียดขา ก็ยังยากเลย พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปก็ดีแล้ว
พระมหากัสสปะท่านได้ยิน ท่านก็เลยคิดในใจว่า พระพุทธเจ้าเพิ่งจะปรินิพพานไปได้ ๗ วันเท่านั้นเอง แต่มีโมฆบุรุษ คือคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีค่า ไม่มีคุณธรรม พูดกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยได้ถึงเพียงนี้ พวกเราทั้งหลาย หลังจาก
เสร็จงานถวายพระเพลิงแล้ว ต้องทำการสังคายนา เพื่อให้พระธรรมวินัยมั่นคง แล้ว
พระมหากัสสปะท่านก็เล่าถึงว่า หลวงตาสุภัททะนี้ ผูกใจเจ็บในพระพุทธเจ้า นานมาแล้ว ตอนที่พุทธเจ้าเสด็จเมืองอาตุมา (อาตุมานคร) สุภัททะก็เพิ่งจะบวช แล้วก็รู้ว่าพุทธเจ้าจะเสด็จมา ก็เลยพาสามเณรลูกชายไปเรี่ยรายขออาหารจากชาวเมือง ขอข้าวสาร
ขอปลาแห้ง ขอโน่นนี่ เพื่อจะเอามาทำอาหาร เอามาหุง เอามาหา เอามาต้ม เอามาแกง เพื่อถวายพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็ลงมือทำเองนะ ขอเองด้วย ลงมือทำเองด้วย ทั้ง
หุงข้าว ทั้งทำอาหารเอง ทีนี้พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึงเมืองอาตุมา พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตตามปกติ พอพระสุภัททะทราบ ก็เลยวิ่งออกจากโรงครัว ถือทัพพีไปด้วย วิ่งจากโรงครัวไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปคุกเข่ากราบพระพุทธเจ้า มือก็ถือทัพพีอยู่ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์เสด็จกลับเถิด อย่าออกบิณฑบาตเลย ข้าพระองค์นี้หุงหาอาหาร เตรียมรับเสด็จพระพุทธองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าพระองค์ลงมือทำด้วยตัวเอง เขาบอกอย่างนี้
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ระหว่างกลางถนน มองดูพระสุภัททะด้วยอาการที่ตำหนิ ทรงห้ามถึง ๒-๓ ครั้ง แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า อย่าเลยสุภัททะ เธออย่ายินดีพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้นเลย การบิณฑบาตนี้เป็นพุทธวงศ์ อาหารที่ได้มาจากการบิณฑบาตเป็นอาหารที่บริสุทธิ์ยิ่ง ดูก่อนสุภัททะอาหารที่ทวยนครหุงต้ม เตรียมไว้เพื่อนักบวชก็ยังมีอยู่ เรือนละนิด เรือนละน้อย เมื่อกำลังแข้งของเรายังมีอยู่ เราจะเที่ยวไปแสวงหาอาหารด้วยปลีน่องนี้ ดูก่อนสุภัททะอาหารที่เธอทำนั้น ไม่สมควรที่สมณะจะพึงบริโภค เป็นอกัปปิยะโภชนะ อนึ่ง ทางที่เธอได้อาหารมานั้นก็ไม่สุจริต เธอไปขอของจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ แล้วก็ไม่ได้ปวารณา คือเขาไม่ได้บอกอนุญาตเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมณะไม่ควรทำอาหารบริโภคเอง ดูก่อนสุภัททะ แม้ไส้ของเราจะขาดสะบั้นลงเพราะความหิว เราก็จะไม่ยินดีบริโภคโภชนะของเธอ กรรมที่ไม่ถูก ไม่ควร น่าตำหนิ
เธอได้ทำ อนึ่งเล่า ดูอาการของเธอนี้สิ เหมาะสมกับความเป็นสมณะนักหรือ วิ่งออกมาทั้ง ๆ ที่มือยังถือทัพพีอยู่ จีวรก็ไม่ได้ห่มให้เป็นปริมณฑล ช่างรุ่มร่ามเสียเหลือเกิน ดูก่อนสุภัททะ อย่านึกว่าเราไม่เข้าใจในเจตนาดีของเธอนะ เราเห็นในจินตนาดีของเธอ แต่ว่าเธอทำไม่ถูก เจตนานั้นก็เลยพลอยให้เกิดผลร้ายไปด้วย การเตรียมอาหารหุงหาอาหาร เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ทำกัน หน้าที่ของบรรพชิต หน้าที่ของสมณะ โน่น
เธอต้องตั้งใจปฏิบัติธรรม ต้องทำตนเป็นคนว่าง่าย เลี้ยงง่าย ทำปฏิบัติบูชาเถิด ดูก่อนสุภัททะ คนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ มีความกล้าประดุจกา มักจะมีชีวิตที่อยู่อย่างสะดวกสบาย แต่ไร้ความสุขใจ และความภาคภูมิใจ ส่วนผู้ที่มีหิริโอตตัปปะคือ
ความละอายชั่วกลัวต่อบาป สงบเสงี่ยมแบบมุนีผู้สงบ เข้าไปสู่ตระกูล ไม่ให้กระทบกระทั่งศรัทธาและโภคะของคฤหัสถ์ เหมือนกับแมลงผึ้ง ที่เข้าไปดูดเอาน้ำหวานในเกสรดอกไม้ แต่มิให้บุปผชาติชอกช้ำนั้น มันเป็นการอยู่ยากก็จริง แต่มีความสุขใจและก็ความภาคภูมิใจ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแบบนี้ สุภัททะทั้งเจ็บ ทั้งอาย แต่ว่าเป็นการตรัสเตือน เป็นการตรัสสอนพระสุภัททะ สุภัททะเขาไม่เข้าใจ ก็เลยผูกอาฆาตพระพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเห็นว่า ต่อให้คนที่ทำอะไรเพื่อพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ถ้ามันไม่ถูกธรรมวินัย พระพุทธเจ้าก็ทรงห้าม เพราะพระพุทธองค์เอาธรรมาธิปไตย เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้งจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ พระมหากัสสปะก็เลยให้ประชุมสงฆ์เพื่อทำสังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่
การทำสังคายนาครั้งที่ ๑ จึงได้ทำขึ้น หลังจากที่พระพุทธเจ้าดับขันปรินิพพานได้ ๓ เดือน พระมหากัสสปะให้ประชุมสงฆ์ ๕๐๐ รูป ตอนนั้นประชุมได้ ๔๙๙ รูปแล้ว
ขาดแต่พระอานนท์ เพราะมีกฎเกณฑ์ว่า ต้องเป็นพระอรหันต์ ตอนนั้นพระอานนท์ท่านก็เป็นพระโสดาบัน ท่านก็เร่งความเพียร เร่งความเพียรอย่างที่สุดนะ จนกระทั่งท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในคืนก่อนที่จะสังคายนา สังคายนาทำขึ้นที่ภูเขาเวภาระ
ที่กรุงราชคฤห์ เขาเวภาระมีทางขึ้นจะผ่านตโปทาราม น้ำพุร้อนที่เขาอาบน้ำตาม
ชั้นวรรณะ ขึ้นตรงนั้นไปจะเป็นถ้ำสัตตบรรณคูหา พระมหากัสสปะทำสังคายนาอยู่ตรงนั้น ๗ เดือน ประชุมสงฆ์ ๕๐๐ รูป ท่านเป็นประธานเอง ให้พระอานนท์เป็นผู้ตอบปัญหาพระสูตร พระอภิธรรม พระอุบาลีวิสัชนาเกี่ยวกับพระวินัย เพราะว่าพระอุบาลีท่านได้รับการยกย่องจากพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ทรงพระวินัย ส่วนพระอานนท์ติดตามพุทธเจ้า เป็น พุทธอุปัฏฐากมาครึ่งพุทธกาล ดังนั้น ท่านได้ยินได้ฟังพระสูตรพระอภิธรรมมากมาย ท่านจึงเป็นธรรมะภัณฑาคาริก เหมือนกับเป็นขุนคลังแห่งธรรม ทรงจำพระธรรม พระสูตร พระอภิธรรมไว้เยอะ ดังนั้น ท่านเลยเป็นผู้ตอบปัญหาพระสูตร พระอภิธรรม ทำอยู่ ๗ เดือน โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์
การสังคายนาครั้งแรกนี้ เป็นการประดิษฐานพระไตรปิฎกแบบเถรวาทอย่างมั่นคง เถรวาทก็คือคำของพระเถระ พระเถระกลุ่มที่ทำสังคายนาคือ พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน นี่แหละ คือต้นแบบของพระวินัยศาสนานิกายเถรวาทที่มีอยู่จนทุกวันนี้ รวมกระทั่งถึงในประเทศไทย ก็มาจากการทำสังคายนาครั้งแรกที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้
หลังจากนั้น ผ่านไปอีก ๑๐๐ ปี สังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นเมื่อภิกษุวัชชีบุตรที่เป็นลูกเชื้อสายกษัตริย์ ออกมาบวชแล้วก็ยังติดสุข ติดสบาย ก็เห็นว่าพระพุทธเจ้าเปิดช่องเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปรินิพพานว่า สิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันขัดกับยุค ขัดกับสมัย ถ้าสงฆ์พร้อมใจกันจะถอดถอนเสียบ้างก็ได้ ตอนที่พระมหากัสสปะทำสังคายนาครั้งแรก ท่านก็ถามในที่ประชุมสงฆ์ว่า จะเปลี่ยนพระธรรมวินัยไหม สิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ในที่ประชุมสงฆ์ก็เงียบ การเงียบของพระอรหันต์ก็คือเป็นการยอมรับ พระมหากัสสปะท่านเลยลงมติว่า ไม่เปลี่ยน พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าอย่างไร ตรัสไว้อย่างไร ก็คงไว้ตามเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ๑๐๐ ปีต่อมา กลุ่มวัชชีบุตรนี้ ก็เลยอยากเปลี่ยนบ้าง เปลี่ยนอยู่ ๑๐ ข้อ วัตถุ ๑๐ ประการ ก็คือ เช่นว่า เก็บเกลือเอาไว้ในเขาสัตว์ได้ ฉันอาหารในเวลาบ่าย เวลาที่พระอาทิตย์บ่ายคล้อยไปประมาณสัก ๒ นิ้ว ก็คือประมาณเที่ยงกว่า ๆ ก็ได้ ประมาณนี้ เช่น ทำสังฆกรรม เวลาพระยังมาไม่พร้อม ก็ทำกันไปก่อนได้ ประพฤติตามอย่างที่อุปัชฌาย์อาจารย์ประพฤติมา ถ้าบางทีครูบาอาจารย์ทำผิดล่ะ จะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด แต่ว่ากลุ่มวัชชีบุตร เขาบอกว่า ต้องทำตามครูบาอาจารย์ แล้วก็ฉันนมสดได้ ดื่มสุรา
อ่อน ๆ ก็คือ น่าจะเป็น เมรัย แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นสุรา เอาง่าย ๆ คือดื่มเหล้าได้ แล้วก็รับเงินรับทองได้ อย่างนี้เป็นต้น มีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๐๐ สำหรับกลุ่มที่เห็นต่าง พอกลุ่มวัชชีบุตรรวมพวกได้มากเข้า ๆ ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระปุถุชน พอเห็นอะไรที่มันสุข อะไรมันสบาย อะไรที่มันอยู่สบาย ก็เลยพากันทำ
พระยสกากัณฑกบุตร เป็นพระอรหันต์ เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์ พระอานนท์ท่านอายุ ๑๒๐ ปี เพราะฉะนั้น หลังจากพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านอยู่จนมาถึง พ.ศ. ๔๐ พระยสกากัณฑกบุตร ท่านก็เป็นพระมหาเถระชรา เป็นพระอรหันต์ เป็นลูกศิษย์
พระอานนท์ เห็นการกระทำที่ไม่สมควร ก็เลยรวบรวมเหล่าลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะ ลูกศิษย์พระอนุรุทธะ ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด มาทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ที่กรุงไวสาลี ประชุมสงฆ์ ๗๐๐ รูป ทำอยู่ ๘ เดือน การสังคายนาครั้งนี้ ทำให้แตกแยกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มเดิมคือรักษาพระวินัยเหมือนเดิม คือกลุ่มเถรวาท กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ที่เป็นภิกษุปุถุชนส่วนใหญ่แยกออกไป เรียกว่า กลุ่มมหาสังฆิกะ ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมาคือ กลุ่มมหายาน มหายาน หลวงพ่อบอกว่ามหาหย่อนด้วย มหายานมหาหย่อน เพราะว่าย่อหย่อนในพระวินัย พอหลังจากนั้นต่อมาอีก ๑๐๐ ปี สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อท่านได้ครองราชย์ หันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๔ ตอนนั้นพระเจ้าอโศกท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หันมานับถือพุทธ กลุ่มที่เป็นนักบวชนอกศาสนาก็เลยมาปลอมบวช เพื่ออะไร เพื่อเข้ามาทำมาหากิน แต่ไม่ได้เอาธรรมเอาวินัย ตอนนั้น จับพระที่ปลอมบวชสึกถึง ๖ หมื่นรูป
แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชก็เลยนิมนต์คณะสงฆ์ ให้ทำสังคายนา ครั้งนั้นก็มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นประธานในการทำสังคายนา สังคายนาครั้งนั้น ประชุมสงฆ์อยู่ ๑,๐๐๐ รูป ทำอยู่ ๙ เดือนจึงเสร็จ แล้วก็การทำสังคายนาครั้งนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ได้ส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนา ๙ สาย ในคราวนั้น สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีพระแตกแยกกันถึง ๑๘ นิกายแล้ว แต่ท่านก็สั่งพระไม่ได้ เพราะท่านก็เข้าใจดีนะ “ทิฐิพระ มานะกษัตริย์” ท่านก็ได้แต่เขียนความในใจของท่านไว้ที่เสาอโศกที่เมืองพาราณสี อยากให้สงฆ์สามัคคีกัน จากนั้นมาก็ส่งสมณทูตไปประกาศศาสนา ๙ สาย สายที่ ๘ มาที่สุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิ คือ ดินแดนแถบประเทศไทย พม่า เขมร ลาว โซนนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมณทูตสายที่ ๘ คือ พระโสณะ พระอุตตระ มาที่นี่ ส่วนสายที่ ๙ ไปที่ศรีลังกา คือ ลูกชายของพระเจ้าอโศกเอง คือ พระมหินทร์ ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่นั่น
จากนั้นก็มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่ประเทศศรีลังกา พระมหินทเถระ ทำปี พ.ศ. ๒๓๖ ที่ถูปาราม (เมืองอนุราธปุระ) เพื่อเป็นการประดิษฐานพระศาสนาให้มั่นคง
หลังจากนั้นประมาณ พ.ศ. ๔๓๓ ทำสังคายนาครั้งที่ ๕ เป็นการจารึกอักษรพระไตรปิฎกลงในใบลานครั้งแรก ทำที่อาโลกเลนสถาน ณ มตเลชนบท ในประเทศศรีลังกา คราวนั่นแหละ มีการจดจารึกอักษร ๔๐๐ ปีที่ผ่านมาไม่มีการบันทึกเป็นตัวอักษร ท่องจำเอา ท่องจำปากต่อปาก พระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทรงจำด้วย (แบบ) มุขปาฐะ เพราะว่าพระอรหันต์สมัยก่อน ท่านทรงจำได้ดีอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้น พ.ศ. ๔๐๐ เศษ จึงจดบันทึกจารึกเอาไว้
หลังจากพระเจ้าอโศก ราชวงศ์โมริยะล่มสลายลง ราชวงศ์แห่งพราหมณ์ปุษยมิตร (ศุงคะ) ขึ้นมาปกครองอินเดียต่อ กลุ่มนี้นับถือฮินดู เลยทำให้พุทธเถรวาท เสื่อมจากอินเดีย แต่ว่าพุทธมหายานในอินเดียเขาปรับตัว เขาเลยอยู่ได้ มหายานเขาปรับตัว ปรับตัว พร้อมที่จะปรับตัวทุกอย่าง ยิ่งฮินดูนี้มีเทพมากมาย เช่น พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ สารพัดเทพ เทพเป็นพัน ๆ องค์ มหายานก็เลยสร้างเทพขึ้นมา แต่ในนามเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์สายปัญญา สายฤทธิ์ สายเดช สายศิลปะ สายการศึกษา
สายความสำเร็จ เยอะแยะมากมาย แบบที่เราทราบกันเพื่อจะเอาไปแข่งกับฮินดู
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านมา ๆ ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ พระเจ้ามิลินท์ พระเจ้า
เมนันเดอร์ ซึ่งเป็นทายาทของอำมาตย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระเจ้ามิลินท์ครองราชย์อยู่ที่แคว้นคันธาระ ท่านก็ให้มีการทำพระพุทธรูปครั้งแรก ศิลปะ คันธาระ ก่อนนั้นยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป พระพุทธรูปเพิ่งจะมีในสมัยพระเจ้ามิลินท์ เพราะว่าท่านได้รับอิทธิพลมาจากกรีก กรีกเขาจะสร้างรูปปั้น เทวรูปมากมาย เช่น เทพเจ้าซุส เทพเจ้าอพอลโล เทพีอาธีน่า เขาจะสร้างเป็นรูปปั้นมากมาย พุทธก็ได้รูปแบบการสร้างพระพุทธรูปตั้งแต่นั้น แต่ว่าหลังจากนั้น เป็นยุคที่พุทธศาสนา ฝ่ายมหายานเบ่งบานในอินเดีย แต่พุทธเถรวาทเสื่อมลง ๆ แล้วก็ไปเจริญที่ศรีลังกา
เวลาผ่านมา ๆ ประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐ พระพุทธโฆษาจารย์ท่านเป็นพระเถรวาท
ในอินเดีย ตอนนั้นหาพระไตรปิฎกในอินเดียไม่ได้เลย ท่านต้องไปศรีลังกา ไปแปลพระไตรปิฎกจากภาษาศรีลังกามาเป็นภาษาอินเดียอีกครั้ง มาเป็นภาษาบาลีอีกครั้งแล้วท่านก็แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคขึ้นมาที่ลังกา
ประมาณ พ.ศ. ๑๑๗๒ หลวงจีนเสวียนจั้ง หรือว่า พระถังซัมจั๋ง ท่านไปอัญเชิญพระไตรปิฎก ท่านไปจากประเทศจีน ตอนนั้นท่านเดินทางไปองค์เดียวนะ ท่านไม่ได้มีซุนหงอคง ไม่ได้มีตือโป๊ยก่ายไปด้วย ท่านไปองค์เดียว ตามประวัติก็คือ พุทธในจีนมีมาก่อน แต่พระไตรปิฎกของแท้หายาก มีแต่คำของครูบาอาจารย์ พูดแล้วก็ใส่แต่ความคิดตัวเองไป แล้วบอกว่าพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น ตรัสอย่างนี้ เอาคำพูดตัวเองไปใส่พระโอษฐ์พระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกของแท้หายาก พระถังซัมจั๋งท่านเลยต้องไปอัญเชิญพระไตรปิฎก คือไปเรียนพระไตรปิฎก ท่านเดินทาง ๔ ปี ตามเส้นทางสายไหม จนกว่าจะถึงประเทศอินเดีย ท่านเรียนอยู่ ๕ ปี แล้วก็สอนอยู่ที่นาลันทา รวมระยะเวลา ๑๘ ปีที่ท่านอยู่ชมพูทวีป อยู่อินเดีย แล้วท่านก็นำพระไตรปิฎกมหายานกลับมาที่จีน ท่านไปองค์เดียว ท่านกลับองค์เดียว เทพนิยายไซอิ๋วเขาแต่งขึ้นมาทีหลัง เป็นการอุปมา เหมือนกับว่า กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่ในใจพระถังซัมจั๋งตลอดเวลา เช่น ซุนหงอคงใจร้อนเปรียบเหมือนกับโทสะ ตือโป๊ยก่ายโลภเหมือนกับโลภะ ซัวเจ๋งโง่เขลาเปรียบเหมือนโมหะ กิเลส ๓ ตัวมันมีอยู่ในใจตลอด ก็เป็นเทพนิยายที่สร้างขึ้นมาทีหลัง
หลังจากนั้น ถึงยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เสื่อมเพราะว่าเอา ข้อปฏิบัติของฮินดูมาใช้ บางกลุ่มมีเมีย พระบางกลุ่มมีเมีย บางกลุ่มเอาข้อปฏิบัติ เครื่องบูชา เซ่นสรวง เซ่นไหว้ บูชามา ปี พ.ศ. ๑๗๐๐ กองทัพมุสลิมเติร์กยกทัพเข้ามา เลยทำให้พุทธสูญไปจากอินเดียแบบไม่เหลือเลย แต่ว่าตอนนี้พระศาสนาในลังกาเจริญรุ่งเรือง แล้วก็เข้ามาในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้
แล้ว ณ ทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาเถรวาทสืบทอดมาจากพระมหากัสสปะ เราจึงต้องย้อนไปถึงยุคสมัยพระมหากัสสปะ เป็นพระไตรปิฎก เป็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ อย่าได้เอาเปลือกของศาสนา อย่าได้เอาศาสนาเนื้องอกมาใช้ ศาสนาเนื้องอก ก็คือ พวกการเซ่นสรวง บูชา เครื่องราง ของขลัง การปลุกเสกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ บริบูรณ์ บริสุทธิ์ที่สุดแล้ว แล้วพระไปปลุกเสกพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ใช่ ความจริง ทางที่จริงนี้ พระผู้ที่ปลุกเสกนั่นแหละ ต้องเสกใจตัวเองให้หมดกิเลสอย่างพระพุทธเจ้าถึงจะถูก เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่มีใครมาเสกได้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วย พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
ดังนั้นเราต้องเข้าใจ ต้องปฏิบัติแบบนี้ เราอย่าได้เอาศาสนาเนื้องอก อย่าได้เอาเปลือกของศาสนาที่มันเป็นศาสนาเนื้อร้ายนี้ ที่มันมาห่อหุ้ม ทำให้ไม่เห็นเนื้อแท้ของพระศาสนามาใช้เลย ไม่เพียงแต่การปลุกเสก ยังมีพวกผ้ายันต์ พวกเครื่องราง พวกตะกรุด ของขลัง ไหว้ผี ไหว้ไอ้ไข่ พวกนี้ ก็เป็นศาสนาเนื้องอกด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่แก่นแท้แห่งพระศาสนาที่แท้จริง
พุทธะก็คือศาสนาแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าหากยังโง่ งมงายกับของพวกนี้ ยังไม่ใช่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระพุทธเจ้า ดังนั้น เราจึงต้องมีปัญญา ทำความเห็นให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มีสัมมาทิฐิ เอาของจริง เอาของแท้ เอาแก่นแท้ของพระศาสนาของพระพุทธเจ้ามาใช้ให้ได้ พระศาสนาเราจึงจะได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัยนี้อย่างจริง ๆ พระพุทธศาสนาแท้ ๆ เป็นของบริสุทธิ์ แต่ว่า ผู้ที่มาอยู่ในพระศาสนาเสียเองนี้ที่ทำร้าย ทำลายพระพุทธศาสนา จึงเป็นกาฝากทำลายศาสนาของพระพุทธเจ้า ด้วยการที่ไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่มีความเข้าใจถูกต้อง ก็เลยทั้งหลง ทั้งโง่ ทั้งงมงาย ตัวเองหลง ตัวเองโง่งมงายไม่พอ ยังไปประกาศ ยังไปพา
คนอื่นให้ทำตามด้วย ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งก่อบาป ก่อเวรเข้าไปใหญ่ เพราะตัวเองทำบาปคนเดียวไม่พอ แต่ว่ายังพาคนอื่นทำบาป ทำร้าย ทำลายพระศาสนาไปด้วย
ดังนั้น พวกเราชื่อว่าเป็นพุทธะ เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นพุทธมามกะ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างแท้จริง อย่าได้เอาศาสนาเนื้องอก อย่าได้เอาเนื้องอก เอาเนื้อร้าย สิ่งที่มันเป็นมะเร็ง ทำลายพระพุทธศาสนามาใช้ ให้พวกเราเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ให้พวกเรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีความสุขอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกที่สบาย มีความสุขอยู่กับการปฏิบัติธรรม อดีตลบออกจากใจให้เป็นศูนย์ อนาคตไม่พะว้าพะวงถึง มีความสุขอยู่กับปัจจุบันธรรมจริง ๆ
ลมหายใจที่เป็นปัจจุบันนี้แหละ มีค่ามากที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด คือ
พระนิพพาน คือ ความดับทุกข์ในปัจจุบัน เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระพาหิยะว่า พาหิยะ เมื่อใดแล เมื่อเธอเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อรู้สักแต่ว่ารู้ เมื่อเธอเป็นแต่สักว่า เธอจะไม่มีในอดีต จะไม่มีในอนาคต จะไม่มีในระหว่างแห่งโลก
ทั้ง ๒ อันนี้คือที่สุดแห่งทุกข์ของเธอ พูดง่าย ๆ ก็คือ อารมณ์ที่มันอยู่กับปัจจุบันธรรมจริง ๆ เมื่ออารมณ์ที่จดจ่อต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ เช่น อยู่กับลมหายใจ อยู่กับกาย อยู่กับใจ ณ ขณะนั้น ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีบุรุษ ไม่มีสตรี มีแต่ปัจจุบันธรรม ที่เป็นปัจจุบันขณะล้วน ๆ คือ พระนิพพาน คือ ความดับทุกข์ในปัจจุบัน ขอให้พวกเราอยู่กับลมหายใจ อยู่กับอานาปานสติ มีอานาปานสติเป็นเครื่องอยู่ ทุกที่ ทุกเวลา เพราะว่าอานาปานสตินี้ มันอยู่กับกาย อยู่กับใจของเรา
เราน้อมมาดูเมื่อไหร่ น้อมเข้ามาที่กายที่ใจเมื่อไหร่ ก็คือ การปฏิบัติธรรมเมื่อนั้น
บัดนี้ ลมหายใจของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลายดับลงแล้ว เราจึงต้องมาช่วยกันสืบต่อลมหายใจของพระบรมศาสดา สืบต่อลมหายใจ แห่งพระพุทธศาสนา สืบต่อลมหายใจแห่งพระธรรมวินัย สืบต่อลมหายใจแห่งคุณธรรมวิเศษทั้งหลาย คือ ฌาน วิปัสสนา มรรคผล พระนิพพาน ท้ายที่สุดนี้ก็ขอฝากเอาไว้ว่า
ชีวิตทุกคนย่อมแปรผัน สิ่งสำคัญอย่าประมาท
สิ่งผิดพลาดเป็นบทเรียน สิ่งพากเพียรย่อมมีผล
สิ่งช่วยตนคือปัญญา สิ่งบูชาคือบุญคุณ
ผู้ค้ำจุนคือพ่อแม่ ผู้เสริมแก้คือครูบาอาจารย์
สิ่งบันดาลคือเงินตรา ยอดปรารถนาคือความสุข
สิ่งเปลื้องทุกข์คือศีลทาน สิ่งเป็นมารคือความชั่ว
พาเมามัวคือความอยาก พาลำบากคือเกียจคร้าน
ใจเบิกบานคือไม่มีหนี้ พาป่นปี้คืออบายมุข
พาให้สุขคือธรรมะ ยังไม่หมดภาระคือยังไม่ตาย
เลิกวุ่นวายคือได้พระนิพพาน
ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย และบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขอกุศลบารมีทั้งหลายที่ได้ทำในวันนี้ ขอจงสำเร็จแด่วิญญาณแห่งคุณแม่วรรัตน์ คำสด ในสัมปรายภพ สมดังเจตนาปรารภของทุกท่านทุกคน ขออำนาจแห่งพระสัมมาสัมพุทธะ ขอทุกท่านจงชำนะความขัดข้อง ด้วยอำนาจแห่งพระธรรม อันเรืองรอง อย่าได้พ้องพานหมู่ศัตรูมาร ด้วยอำนาจแห่งพระอริยสงฆ์ ขอทุกท่านจงเป็นสุขทุกสถาน อันตรายใด ๆ ไม่แผ้วพาน พระสัทธรรมอภิบาล ถึงมรรคผลนิพพานทุกท่านเทอญ