แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า ตอนเสด็จออกผนวช - ตรัสรู้
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระ พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป ด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่คุณโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน พวกเราเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบายนะ
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อใหญ่ ได้เมตตาให้บรรยายธรรม เพื่อให้คณะสงฆ์ แล้วก็ผู้ปฏิบัติธรรม ได้เข้าใจในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ได้ทราบถึงเรื่องราวแห่งบุคคล ผู้เป็นมหาบุรุษ ผู้ที่เสียสละมากที่สุด จนกว่าจะได้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ผู้ทรงเป็นองค์บรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ให้ มีพระพุทธศาสนา ให้มีพระสัทธรรมนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ถึงมรรคผลนิพพานได้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นยอดบุคคลในดวงใจ ที่เราต้องยกไว้เป็นที่หนึ่งในใจของเราเสมอ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ที่พวกเราต้องรู้จักเรื่องราวของพระพุทธองค์ และดำเนินเดินตามรอยบาทแห่งพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อวานก็เล่ามาถึงตอนที่พระองค์ทรงอยู่ครองฆราวาส จนกระทั่งพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ด้วยบุญบารมีที่ทรงสั่งสมอย่างดีแล้ว จึงทำให้พระองค์ได้พบเทวทูต ก็คือทูตของเทวดา ตอนนั้นพระองค์อยู่ในพระราชวังอย่างดี พระบิดาก็ไม่ให้ออกไปไหน เพราะกลัวว่าจะเห็น เห็นเทวทูต เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วจะออกบวช เหมือนกับคำทำนายที่เหล่าฤๅษี เหล่าพราหมณ์ได้พยากรณ์เอาไว้ ดังนั้น พระพุทธบิดาจึงไม่ให้เสด็จออกไปไหนเลย ให้อยู่ในวังอย่างเดียว แต่ด้วยกุศลบุญบารมีตักเตือน จึงทำให้พระองค์อยากเสด็จออกไปข้างนอก แต่ว่าพระบิดาก็สั่งเตรียมการเอาไว้ ให้ทำความสะอาด ตระเตรียมเมืองให้พร้อม อย่าให้คนแก่ อย่าให้คนเจ็บออกมาข้างนอก ให้อยู่แต่ในบ้าน ให้ออกมาแต่เด็กแต่คนหนุ่มคนสาวเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเสด็จออกไป ด้วยบารมีที่เต็ม เทวดาจึงแปลงเป็นเทวทูต ก็คือทูตของเทวดา ให้เห็นคนแก่ก่อน เมื่อพระองค์เสด็จพร้อมไปกับนายฉันนะที่เป็นนายสารถี เห็นคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่ในวัยชรา ร่างกายเหี่ยวย่น ร่างกายค้อม เดินแบบโซซัดโซเซ ด้วยความชรา หน้าก็ตกกระ ผมก็ขาว ฟันก็หัก ก็เลยถามนายฉันนะว่า คนนี้คือใคร? นายฉันนะก็เลยทูลว่า คนนี้ก็คือ เป็นคนแก่พระเจ้าข้า เราต้องแก่ไหม? เสด็จพ่อเสด็จแม่เราต้องแก่ไหม? (ตอบ) ต้องแก่ทุกคนพระเจ้าข้า ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ พระองค์เลยสลดพระทัย
เดินต่อไปเห็นคนเจ็บ นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นด้วยโรคที่เป็นอยู่ ทั้งน้ำเลือด ทั้งน้ำหนอง เต็มตัวเขาไปหมด ด้วยความเจ็บ ด้วยความปวด ด้วยโรคที่เป็น ก็เลยถามฉันนะว่า ฉันนะเขาเป็นอะไร ทำไมเขาร้องโอดโอยอย่างนั้น? ฉันนะก็เลยทูลว่าเขากำลังเป็นโรคร้าย ทุกข์ทรมานอยู่กับโรค เขาเลยต้องร้องแบบนี้ เราต้องเจ็บไหม? เราต้องป่วย เราต้องเป็นแบบนี้ไหม? ทุกคนต้องเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้า ก็เลยเพิ่มความสลดใจเข้าไปอีก
จากนั้นไปสักพักหนึ่ง เห็นเทวทูตของเทวดาอย่างที่ ๓ คนตาย พระองค์เห็นคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนคานหาม คนก็แห่เพื่อจะเอาไปเผา ศพของคนอินเดีย คือเขาจะเอาไว้บนแคร่แล้ว ๔ คนก็หามไป นอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่ คนก็หามไป บางคนก็ร้องไห้ บางคนก็อยู่ในอาการที่เศร้าสร้อย ก็เลยถามฉันนะว่า ฉันนะ ทำไมเขาไม่ขยับเขยื้อน? ทำไมเขานอนนิ่งแล้วเอาผ้าคลุมไว้อย่างนั้น? ฉันนะก็เลยทูลว่า เขาตายแล้วพระเจ้าข้า ไม่มีลมหายใจอีก ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้อีก ลมหายใจ ลมปราณออกจากชีวิตไปแล้ว เราทุกคนต้องตายไหมฉันนะ? พ่อแม่เรา ตัวเรา พิมพาต้องตายไหม? (ตอบ) ต้องตายทุกคนพระเจ้าข้า เลยยิ่งเพิ่มความเบื่อ ความทุกข์ขึ้นมาในใจของพระองค์
เมื่อเห็นเทวทูตทั้ง ๓ ผ่านไปสักพัก เห็นเทวทูตอย่างที่ ๔ คือนักบวช ตอนนั้นยังไม่มีพระ แต่ว่าเทวดาปลอมมา แปลงมาให้เห็นเป็นนักบวชนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์อาการสงบนิ่ง เป็นนักพรต เป็นมุนี พระองค์ก็เลยแจ้งขึ้นมาในใจ ถามกับฉันนะว่าเขาคือใคร ฉันนะก็ทูลว่า เขาเป็นผู้ที่แสวงหาความหลุดพ้น เขาออกจากเรือน เขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน พระองค์ก็เลยเห็นว่า อันนี้แหละ คือสิ่งที่เราปรารถนา เราต้องออกไปทำหน้าที่ ต้องออกไป ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ไม่อาจจะพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายไปได้ แล้วพระองค์เสด็จกลับวัง
ในเย็นวันนั้นก็มีคนมาแจ้งข่าวว่า ตอนนี้พระนางพิมพา มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยแล้วพระเจ้าข้า พระองค์ก็เหมือนกับไม่ได้ดีใจ แต่ว่าเหมือนกับจุกขึ้นมาในพระทัยว่า บ่วงเกิดขึ้นแล้ว “ราหุลัง ชาตัง ราหุลัง ชาตัง” ราหุล จึงเป็นพระนามของพระโอรสน้อย ที่แปลว่า บ่วง ในค่ำคืนนั้น ที่เป็นการเฉลิมฉลองการประสูติของพระโอรสน้อย เหล่าสนม นักฟ้อน นางรำ ก็ร่ายรำกันตั้งแต่หัวค่ำ พระองค์ตื่นมากลางดึก เห็นคนที่ตอนหัวค่ำร่ายรำฟ้อนเหมือนกับเทพธิดา แต่พอนอนแล้วอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย บางคนก็นอนกัดฟัน บางคนก็นอนน้ำลายไหล บางคนก็นอนกรนเสียงดังเหมือนกับเสียงกา พระองค์เลยรู้สึกสลดพระทัย เหมือนกับป่าช้าผีดิบ ทั้งสะอิดสะเอียน ทั้งเบื่อหน่าย ตอนนี้ก็เบื่อหน่ายเต็มที่แล้ว ใจพระองค์น้อมไปสู่การที่จะออกไป พอไปเห็นลูก อยากจะอุ้มลูก แต่เห็นพระนางพิมพาโอบพระโอรสน้อยอยู่ ถ้าหากไปอุ้มลูกน้อยขึ้นมา พระนางต้องตื่น พระองค์จะเสด็จออกไปยาก รักลูกไหม? รัก รักพิมพาไหม? ก็รัก แต่ว่าพระองค์ต้องออกไปทำหน้าที่ ถ้าพระองค์อยู่ครองฆราวาสต่อไป ก็เป็นได้แค่พระมหากษัตริย์ ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนชั่วระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ก็ต้องจากโลกนี้ไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ต้องออกไปแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ต้องไปทำหน้าที่ที่ทำให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วต้องกลับมาช่วยบุคคลเหล่านี้ให้พ้นด้วย
ดังนั้น มโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์จึงเกิดขึ้นในคืนนั้น พระองค์จึงไปเรียกนาย
ฉันนะ ฉันนะก็เลยนำม้ากัณฐกะออกมา เสด็จออกไปนอกประตูเมือง พอเวลากลางคืน ประตูเมืองปิดทุกช่อง ม้ากัณฐกะที่กระโดดข้ามกำแพงได้ ก็กระโดดข้ามกำแพงไป พาพระองค์กับฉันนะออกไป พญาวสวัตดีมาร ซึ่งเป็นเทพบุตรฝ่ายมาร ปกครองสวรรค์ชั้นที่ ๖ คือชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ก็มาขัดขวาง บอกว่า พระองค์อย่าเสด็จออกไปเลย อีก ๗ วันข้างหน้านี้ จักรพรรดิสมบัติจะเกิดขึ้นแก่พระองค์ พระองค์ก็ทรงทราบแล้วว่า คนนี้ไม่ใช่เป็นเทพบุตร ไม่ใช่เป็นคนดีอะไรนะ แต่เป็นพญามาร พระองค์ก็จะเสด็จออกไปทำหน้าที่ ไม่สนใจกับจักรพรรดิสมบัติ จักรพรรดิสมบัติ หมายถึงว่า เป็นพระราชาที่ยิ่งกว่าพระราชา ปกครองโลกทั้งโลก จึงเป็นจักรพรรดิ
พระเจ้าจักรพรรดิจะมีของคู่บุญเรียกว่ารัตนะ ๗ ประการ เกิดมาด้วย นั่นคือ จักรแก้ว
มณีแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว เป็นของคู่บารมี ปกครองทวีปน้อยใหญ่ เป็นไปตามคำทำนายของอสิตดาบสกับพราหมณ์ แต่พระองค์ไม่ได้สนพระทัย พอพญามารขัดขวางไม่ได้ พญามารก็เลยตั้งใจไว้ว่า ถ้าหากสิทธัตถะตกอยู่ในอำนาจของกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกเมื่อไหร่ เราก็จะครอบงำใจของสิทธัตถะได้เมื่อนั้น เมื่อพระองค์พร้อมกับนายฉันนะเสด็จไปจนถึงชายแดนกรุงกบิลพัสดุ์ ชายแดนของแคว้นสักกะ อยู่ระหว่างรอยต่อของแคว้นสักกะกับแคว้นมัลละ เป็นริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ก็ไปรุ่งสางที่นั่น พระองค์ก็เลยเปลื้องอาภรณ์ทั้งหมดมอบให้นายฉันนะ ให้เอากลับบ้านไป แล้วพระองค์ก็อธิษฐานเพศบรรพชาที่นั่น ใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี อธิษฐานโยนขึ้นไปในอากาศ อธิษฐานว่า ถ้าหากจะได้ตรัสรู้ ขอให้จุฬาโมลีนี้จงลอยขึ้นอยู่บนอากาศ อย่าได้ตกลงมา แต่ถ้าหากไม่ได้ตรัสรู้ ขอจุฬาโมลีจงหล่นลงบนพื้นพสุธาเถิด พระองค์ก็โยนขึ้นไป เส้นพระเกศาของพระองค์ก็ลอยอยู่บนอากาศ ท้าวสักกะเทวราชก็นำพานทองมารองรับ แล้วก็ทรงสร้างเจดีย์ขึ้นมาองค์หนึ่ง เพื่อบรรจุเส้นผมของพระโพธิสัตว์ นั่นคือ พระจุฬามณี หรือ พระเกศจุฬามณี เป็นที่ประดิษฐานเส้นผมของพระโพธิสัตว์ในวันที่ออกบวช เป็นของบูชาของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท้าวสักกะก็ได้พระเขี้ยวแก้วข้างบนด้านขวา กับพระรากขวัญด้านขวาของพระพุทธเจ้านำไปบูชาไว้บนเจดีย์
ตามพุทธประวัติท่านบอกว่า หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้านี้ อัฐิทั้งหมดจะกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ แต่จะเหลืออยู่ ๗ ส่วน ที่ยังคงสภาพเดิม มิได้กลายเป็นพระธาตุ ไม่ได้กลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ นั่นคือ เขี้ยวแก้ว ๔ องค์ ก็คือข้างขวา ๒ ข้าง ข้างซ้าย ๒ พระรากขวัญก็คือ กระดูกไหปลาร้า ๒ ข้าง แล้วก็อุณหิส (พระนลาฏ) คือ กระดูกหน้าผาก อยู่ในสภาพเดิม แล้วก็ไม่ได้แปรสภาพไปเป็นพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้วด้านบนข้างขวา กับกระดูกไหปลาร้าข้างขวา อยู่บนพระเกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเขียวแก้วด้านล่างข้างขวา อยู่ที่แคว้นกาลิงคะ ปัจจุบันอยู่ที่เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา พระเขี้ยวแก้วด้านบนข้างซ้าย อยู่แคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แล้วก็ พระเขี้ยวแก้วด้านล่างข้างซ้าย อยู่ที่ภพพญานาค ส่วนกระดูกไหปลาร้าข้างซ้าย กับอุณหิส (พระนลาฏ) อยู่ที่ทุสสะเจดีย์ในพรหมโลก ฆฏิการพรหม ท้าวมหาพรหมทั้งหลายเอาไปบูชาที่นั่น
พอพระองค์อธิษฐานเพศบรรพชาแล้ว ฆฏิการพรหม ซึ่งเป็นเพื่อนกันในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ก็นำเครื่องอัฐบริขารที่เก็บไว้ยังพรหมโลกเอามาถวาย พระองค์ก็อธิษฐานเพศบรรพชา ผนวชที่นั่น นายฉันนะพร้อมกับม้ากัณฐกะเสียใจ แต่ต้องกลับไปทูลพระเจ้าสุทโธทนะ เพื่อให้คลายความเศร้าโศก ม้ากัณฐกะเป็นสหชาติ เป็นม้าเพื่อนรักของพระโพธิสัตว์ เดินจากมาด้วยความเสียใจ อาลัยเต็มที่ พอพ้นคลองจักษุ ก็คือมองสุดสายตา แล้วใจก็ขาดตาย ด้วยความรักในเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยใจที่ขาดตาย ใจดับลงด้วยจิตที่ผ่องใส เลยทำให้กุศลในครั้งนี้ เกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ กัณฐกะเทพบุตร เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานเพศบรรพชาแล้ว ก็เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนเก่งกาจ มีนักบวช มีฤๅษี มีโยคีอยู่มากมาย
ตอนนั้นแคว้นมคธเป็นแคว้นมหาอำนาจ เมืองหลวงคือกรุงราชคฤห์ ปกครองโดย
พระเจ้าพิมพิสาร ตรงนั้น นักบวช ฤๅษี โยคี มุนี ทั้งหลาย ศาสดาเจ้าลัทธิ มีอยู่มากมาย พระองค์เสด็จไปที่นั่นเพื่อไปเรียนวิชา ไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมของการบวช จนพระองค์เสด็จเข้าไป คนในเมืองก็แตกตื่น ไม่เคยเห็นสมณะรูปงาม เรื่องก็เลยถึงพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จมาเข้าเฝ้า จะแบ่งราชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แต่พระองค์ไม่รับ พระเจ้าพิมพิสารก็เลยทูลขอพรว่า ถ้าพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้แล้ว เสด็จกลับมาโปรดข้าพระองค์บ้าง พระองค์ก็ให้พรกับพระเจ้าพิมพิสาร แล้วก็เสด็จไปยังสำนักของอาจารย์อาฬารดาบสกาลามโคตร เรียนสมาธิจนได้สมาบัติ ๗ แล้วก็ไปเรียนต่อกับอาจารย์อุทกดาบสรามบุตร จนได้สมาบัติ ๘ เรียนไม่นาน เพราะว่าสมาบัติ ๘ ท่านเคยทำมาจากชาติที่ท่านเกิดเป็นสุเมธดาบส ตอนที่ตั้งความปรารถนากับพระทีปังกรพุทธเจ้า ชาตินั้นท่านก็เคยได้สมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น ของเก่ามีอยู่แล้ว ไปต่อยอดเพียงนิดเดียวท่านก็ได้กลับมา แต่ว่าพระองค์เห็นว่าไม่ใช่ทาง พระองค์ก็เลยเสด็จไปบำเพ็ญเพียรอยู่องค์เดียว
ค่านิยมของนักบวชสมัยนั้นนะ ถ้าออกบวชแล้วต้องทรมานร่างกาย ทำร่างกายให้ทรมานอย่างสุดโต่งถึงที่สุด ใจถึงจะหลุดพ้น พระองค์ก็เลยลองผิดลองถูก ด้วยบำเพ็ญทุกรกิริยาคือ กิริยาที่ทำได้ยากยิ่ง ทำอยู่เกือบ ๖ ปี ทำทุกวิถีทางด้วย เช่นว่า เอาพระทนต์กดพระทนต์จนลมออกทางหู กลั้นลมหายใจจนท้องไส้ปั่นป่วน ก็เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น จนกระทั่งอดอาหารเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก คือถ้าพระองค์ทำต่ออีกนิดเดียวใจขาดตาย คือไม่มีใครที่ทรมานร่างกายได้ถึงขนาดพระองค์แล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าเป็นทางที่จะหลุดพ้นได้ พระองค์ก็เลยกลับมาเสวยพระกระยาอาหาร บำเพ็ญเพียรทางจิตแทน ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ดูแลพระโพธิสัตว์อยู่ คือ ท่านโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ เห็นว่าพระโพธิสัตว์ละทิ้งความพยายาม ทิ้งความตั้งใจ ก็เลยรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกเสียใจ รู้สึกน้อยใจ ก็เลยหนีพระโพธิสัตว์ไปอยู่ที่เมืองพาราณสี ตอนนี้พระโพธิสัตว์อยู่คนเดียว พระองค์ก็มีเวลาอยู่กับความวิเวก อยู่กับความสันโดษ มีเวลาบำเพ็ญเพียรทางจิตได้เต็มที่ พระพุทธองค์ทรงเล่าหลังจากตรัสรู้ เล่าให้กับพระอานนท์ฟังว่า เหตุใดพระองค์จึงต้องทรมานร่างกาย บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี
พระองค์เล่าว่า ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ก่อนนี้ พระองค์ได้กล่าวตู่พระกัสสปพุทธเจ้าว่า จะมีโพธิมณฑล จะมีโพธิญาณ จะตรัสรู้ได้จากที่ไหนกัน กล่าวตู่คือไม่เชื่อ ด้วยวิบากกรรมนี้ จึงทำให้เราต้องทำกรรมที่ทำได้ยาก คือทุกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ตลอด ๖ ปี จากนั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราไม่ได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือไม่ได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกรกิริยา เพราะว่าเราแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะจากนิพพาน พระองค์เล่าให้ฟังว่า ที่ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาเพราะว่าไปกล่าวตู่ ไปกล่าวดูถูก ไปกล่าวปรามาสพระกัสสป
พุทธเจ้า คือไม่เชื่อเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวตู่ด้วยคำพูดสั้น ๆ ทำให้ต้องหลงผิดบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี เมื่อปัญจวัคคีย์หนีไปแล้ว พระองค์จึงมาบำเพ็ญเพียรทางจิต คือเดินทางสายกลาง
ในคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๖ ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ พระองค์ฝัน ทรงพระสุบินนิมิตใน ๕ อย่าง อย่างแรก พระองค์ทรงสุบินนิมิตไปว่า นอนหงายอยู่บนพื้นแผ่นดิน มีภูเขาหิมาลัยเป็นหมอน มือข้างซ้าย แขนข้างซ้ายไปอยู่ทะเลทางทิศตะวันออก แขนข้างขวาไปอยู่ทางทะเลทิศตะวันตก พระบาททั้งสองก็หยั่งลงไปทางทะเลทิศใต้ คือ พูดง่าย ๆ นอนทับแผ่นดินชมพูทวีปเอาไว้ จากพระนิมิตข้อนี้ เป็นเครื่องหมายว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นผู้เลิศในโลก แล้วก็ทั้งสามโลก คือ ทั้งกามโลก รูปโลก แล้วก็อรูปโลก หมายความว่า ทั้งในกามภพ มนุษย์ สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหม อรูปพรหม พระองค์จะทรงสั่งสอน เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ อันนี้คือพระสุบินนิมิตข้อแรก
พระสุบินนิมิตข้อที่ ๒ ทรงฝันว่า มีหญ้าแพรกเส้นหนึ่ง งอกขึ้นมาจากพระนาภี คือ จากสะดือ สูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า นิมิตข้อนี้เป็นเครื่องหมายว่า พระองค์จะได้ประกาศพระธรรม ทรงแสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
พระสุบินนิมิตข้อที่ ๓ พระองค์ทรงฝันไปว่า หมู่หนอนเป็นอันมาก มีสีขาวบ้าง มีสีดำบ้าง ไต่ขึ้นมาจากปลายพระบาททั้งคู่ จนมิดลำแข้งเลย เป็นเครื่องหมายว่า ทั้งหมู่คฤหัสถ์ หมู่พราหมณ์ คนทั้งหลาย จะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์ เป็นผู้ชำระจิตของตนให้ผ่องใส เหมือนกับเป็นผู้นุ่งผ้าขาว ยึดมั่น ถือมั่นในพระรัตนตรัย
ฝันข้อที่ ๔ ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า นก ๔ สี บินมาจากทิศต่าง ๆ นกสีเหลือง สีเขียว สีแดง สีดำ บินมาจากทั้ง ๔ ทิศ และก็ตกลงที่แทบพระบาท แล้วก็กลายเป็นสีขาวไปทั้งสิ้น ตรงนี้เป็นเครื่องหมายว่า คนจะมาจากวรรณะทั้ง ๔ คือ วรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร แล้วจะมาออกบวช เป็นผู้เสมอกันด้วยพระธรรมวินัย
นิมิตข้อที่ ๕ พระองค์ทรงฝันไปว่า พระองค์เสด็จเดินจงกรมอยู่บนยอดเขา ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคูถ เต็มไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะ แต่พระบาทของพระองค์มิได้เปื้อนเลย เป็นนิมิตว่าพอพระองค์ตรัสรู้แล้ว จะทรงบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ ที่ชาวโลก ทั้งราชา มหากษัตริย์ คนทุกเพศทุกวัย นำมาบูชาสักการะพระพุทธองค์ แต่พระองค์มิได้มีพระทัยติดอยู่ในลาภสักการะเหล่านั้น อันนี้คือพระสุบินนิมิต ๕ ข้อ
พอในเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ พระองค์ก็เสด็จมาประทับที่ใต้ต้นไทร ต้นอชปาลนิโครธ คือ ต้นไทรเป็นที่พักของคนเลี้ยงแพะ ในเช้าวันนั้นก็ทรงรับข้าวมธุปายาส ข้าวที่หุงด้วยน้ำนมจากนางสุชาดา รับพร้อมกับถาดทอง พระองค์ได้ปั้นเป็น ๔๙ ก้อน ทรงเสวยทั้งหมด แล้วก็นำถาดทองไปลอยอธิษฐาน ทรงอธิษฐานเสี่ยงทายว่า ถ้าหากจะได้ตรัสรู้แล้ว ขอให้ถาดทองนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ถ้าหากไม่ได้ตรัสรู้ ก็ขอให้ลอยตามกระแสน้ำ พระองค์นำไปลอยที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถาดทองคำก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๘๐ ศอก แล้วก็จมลงไปใต้แม่น้ำ ไปซ้อนกับถาดอีก ๓ ใบของพระพุทธเจ้า ๓ องค์ก่อน ถาดกระทบกัน เสียงดังกริ๊กขึ้นมา พญากาฬนาคราชที่อยู่ในแม่น้ำนั้นได้ยินเสียงถาดก็ตื่นขึ้นมา ก็อุทานถามขึ้นมาว่า เมื่อวานพระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ไปองค์หนึ่ง วันนี้จะตรัสรู้อีกแล้วหรือ แล้วก็ชมเชยพระพุทธองค์ด้วยคาถาถึงพันคาถา จากนั้นก็หลับต่อไป
พญากาฬนาคราชนี้ อดีตชาติเคยเกิดเป็นสามเณร แล้วก็ดูแลรับใช้พระภิกษุอยู่เป็นร้อยรูป ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องคอยดูแลอุปัฏฐากรับใช้ ไม่ได้นอนเต็มอิ่มสักวัน ก็เลยทำงานไป อธิษฐานไปว่า ด้วยกุศลบารมีที่ได้อุปัฏฐากดูแลพระนี้ ขอให้ได้นอนไม่รู้จักตื่น เพราะว่าอดหลับอดนอนมาหลายวัน ด้วยคำอธิษฐานนี้ จึงทำให้ไปเกิดเป็นพญางูดำ พญากาฬนาคราช อยู่ในภพอันเป็นทิพย์อยู่ใต้แม่น้ำเนรัญชรา มีคนมาปลุกได้คนเดียวคือพระพุทธเจ้า แสดงว่าในภัทรกัปนี้ มีพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ท่านตื่นอยู่แค่ ๕ ครั้งเท่านั้นเอง ที่เหลือก็หลับต่อไป แต่เรื่องราวตรงนี้ ถ้าถอดเป็นธรรมาธิษฐาน ก็จะมองอีกมุมหนึ่งว่า มนุษย์ทั้งหลายปกติหลับอยู่ด้วยกิเลสนิทรา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็ปลุกให้ตื่น แต่ก็ตื่นขึ้นช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็หลับต่อไปถ้าหากไม่เพียร ไม่เร่งความเพียรในการปฏิบัติอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงสนานพระวรกาย เสด็จรับหญ้าคาจากนายโสตถิยะ ๘ กำ แล้วก็เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปยังที่โพธิมณฑล ต้นอัสสัตถะ คือต้นไม้นี้แต่เดิมไม่ได้ชื่อว่าต้นโพธิ์ ต้น
อัสสัตถะ คือ ต้นที่มีใบเหมือนกับหูม้า อัสส แปลว่าม้า อัสสัตถะ ก็คือ ต้นที่มีใบเหมือนกับหูม้า พอเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็เลยมีชื่อว่า ต้นศรีมหาโพธิ์ พระองค์ก็นำหญ้าคา ๘ กำ ไปปูลาดตรงแท่นหิน เป็นวัชรอาสน์ ที่นั่งของบุรุษใจเพชร แล้วพระองค์ก็หันหลังให้กับต้นโพธิ์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พระองค์ก็ตั้งความเพียร ด้วยการตั้งสัจจะไว้ในใจ ยอมตายว่า “กามํ ตโจ นหารุ จ อฏฺฐิ จอวสิสฺสตุ เม สรีเร สพฺพนฺตํ มํสโลหิตํ” ซึ่งหมายความว่า แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป เหลือเพียงหนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที ถ้าเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ตราบนั้น
จากนั้น พระองค์ประทับนั่ง พญาวสวัตตีมารที่เป็นเทพบุตรฝ่ายมารอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ที่คอยหาช่องทางตลอด เมื่อรู้ว่าพระมหาบุรุษอธิษฐานใจดังนี้ ก็เลยขี่ช้างคีรีเมขล์ ช้างคีรีเมขล์อยู่ในบทพาหุงฯ ช้างตัวนี้สูงถึง ๑๕๐ โยชน์ พญามารเนรมิตแขนพันแขน “พาหุงสหัสสะ” แขนพันแขน ถืออาวุธนานาชนิด เรียกเสนามารมาสารพัด เพื่อที่จะมาขับไล่พระมหาบุรุษให้ลุกไปจากใต้ต้นโพธิ์ เทวดาในหมื่นจักรวาล ก็มายืนห้อมล้อมพระมหาบุรุษ มาคอยดู มาคอยชมบารมี ท้าวสักกะเทวราชยืนเป่าสังข์ ยืนเป่าหอยสังข์วิชัยยุทธ เค้าบอกว่าสังข์นั้นมีขนาดถึง ๑๔๐ ศอก เพื่อให้เก็บลมไว้ คราวเดียวเป่าจะมีเสียงดังอยู่ถึง ๔ เดือน เสียงถึงจะหมดไป พญากาฬนาคราชยังกล่าวคาถาสรรเสริญพุทธคุณยังไม่จบในตอนนั้น ท้าวมหาพรหมก็ได้ยืนกั้นเศวตฉัตรเอาไว้ แต่เมื่อพญาวสวัตตีมารพร้อมเสนามารมาถึง เทวดาแม้องค์หนึ่งก็ไม่สามารถจะอยู่ตรงนั้นได้ ต่างพากันหนีไปหมด พญากาฬนาคราชที่กล่าวบูชาคาถาพุทธองค์อยู่ เค้าบอกว่าดำดินลงไปยังนาคพิภพ นอนเอามือทั้งสองปิดหน้าเอาไว้ด้วยความกลัวพญามาร ท้าวสักกะเอาสังข์วิชัยยุทธ์ไว้ข้างหลัง หนีไปยืนอยู่ที่ขอบจักรวาล ท้าวมหาพรหมจับปลายเศวตฉัตร ก็คือร่มสีขาว หนีไปยังพรหมโลกทันที เพราะสู้ไม่ได้ แม้แต่เทวดาองค์หนึ่ง ที่ชื่อว่าสามารถอยู่ตรงนั้นได้ ไม่มี มีแต่พระมหาบุรุษพระโพธิสัตว์องค์เดียวเท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น
ฝ่ายพญามาร เมื่อเห็นมหาบุรุษยังคงประทับอยู่ด้วยอาการปกติ ไม่เห็นมีอาการสั่นสะเทือนหวั่นไหว ก็โกรธขึ้นมาในใจ โจมตีด้วยอาวุธต่าง ๆ บันดาลให้ฝน ๗ ประการ ท่วมทับพระมหาบุรุษ ทั้งฝนหิน ฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง ฝนเถ้าถ่าน แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มาทำร้ายทำลายพระบรมโพธิสัตว์แม้แต่เพียงชายจีวร อาวุธเหล่านั้นกลายเป็นพวงมาลาทิพย์ เป็นเครื่องสักการะบูชาไปทั้งสิ้น พญามารก็เลยไสช้างคิรีเมขล์ กวัดแกว่งอาวุธพร้อมตะโกนประกาศก้องไปว่า รัตนบัลลังก์นี้เกิดขึ้นด้วยบุญของเรา ท่านจงลุกออกไป พระบรมโพธิสัตว์ได้ฟังคำของพญามาร ก็เลยเปล่งสีหนาท
ออกไปว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ไม่ได้บำเพ็ญอุปบารมี ไม่ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมี แถมยังไม่ได้บริจาคมหาบริจาค ๕ เหมือนกับเรา บัลลังก์นี้จึงไม่ได้มีแก่ท่าน
พญามารก็เลยบอกว่า ใครเป็นสักขีพยานแก่ท่านได้ พระมหาโพธิสัตว์ก็เลยใช้ปลายนิ้วพระหัตถ์เบื้องขวาชี้ลงบนแผ่นดิน บอกว่าแผ่นดินมหาปฐพีนี่แหละ เป็นสักขีพยานของเรา แล้วมหาปฐพีก็ดังสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งกับท่วมทับพลมาร ในการนั้นมีแผ่นดินเป็นพยาน ไม่ใช่พระนางธรณี นางธรณีแต่งขึ้นมาทีหลัง แต่ในพระไตรปิฎกท่านไม่ได้กล่าวถึงนางธรณี กล่าวถึงว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนหวั่นไหว เป็นสักขีพยานให้กับพระมหาบุรุษ พญามารและเสนามารไม่อาจดำรงอยู่ได้ ช้างคีรีเมขล์ก็ต้องคุกเข่าลง พญามารก็หนีไป ตอนนี้พระบรมโพธิสัตว์สามารถชนะพญามาร พร้อมทั้งเสนามาร ทรงเบิกบานพระทัย ทรงเจริญภาวนา ตั้งมั่นทำสมาบัติ ๘ ประการ แล้วก็ทรงบรรลุญาณปัญญาตามลำดับ
ในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกอดีตชาติ ย้อนหลังที่พระองค์เคยบังเกิดเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นสารพัดมา พอเวลาล่วงเข้าสู่มัชฌิมยาม คือ ประมาณเที่ยงคืน พระองค์ก็ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพจักขุญาณ สามารถหยั่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ แล้วก็ยามสุดท้าย ในเวลาใกล้สว่าง พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ดับสูญสิ้นอาสวะกิเลส ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันวิสาขปุรณมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนปีพุทธศักราช ๔๕ ปี
ในขณะนั้นก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย คือ มหาปฐพีเป็นต้น ก็เกิดกัมปนาทหวั่นไหว สั่นสะเทือนไปทั่วพิภพ มหาสาครก็ตีฟอง คะนองคลื่น ดื่นดาษ สรรพสำเนียง เสียงเคลิมคึกกึกก้อง สัตว์ต่าง ๆ ในไพรสณฑ์ ก็พากันส่งเสียงร้องร่าเริงแจ่มใส สัตว์ที่เคยเป็นศัตรูคู่อริกัน ก็กลับกลายเป็นมิตรสนิทสนมกันด้วยความเมตตา ฝูงนกนานาพรรณหลากชนิด ก็ร้องเริงร่าดารดาษเกลื่อนท้องฟ้าสุดที่จะพรรณนาได้ เหตุอัศจรรย์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แม้แต่โลกันตนรกที่แสงสว่างไม่เคยเข้าถึง แสงสว่างก็ยังเกิดขึ้น ตอนนั้นท่านบอกว่า มหาสมุทรได้กลายเป็นน้ำหวาน แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนตาบอดตั้งแต่เกิดมองเห็นรูป คนหูหนวกตั้งแต่เกิดได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยตั้งแต่เกิดก็เดินได้ เครื่องจองจำต่าง ๆ มีโซ่ตรวนเป็นต้น ก็หลุดออกมา เหตุอัศจรรย์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องบูชาว่า ตอนนี้มหาบุรุษได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็เลยเปล่งอุทานว่า เราแสวงหานายช่างผู้กระทำเรือน เมื่อไม่พบ จึงได้ท่องเที่ยวในสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ เป็นต้น ที่พวกเราสวดกันเป็นประจำ
จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังคงประทับอยู่ที่รัตนบัลลังก์ เสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตลอด ๗ วัน ในสัปดาห์ที่ ๒ พระองค์เสด็จจากต้นโพธิ์ แล้วก็เสด็จมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ยืนจ้องมองต้นโพธิ์ตลอด ๗ วัน ไม่กระพริบพระเนตร เป็นที่มาของปางถวายเนตร ตรงนี้ก็คือ ยืนเป็นการขอบคุณต้นพระศรีมหาโพธิ์ สัปดาห์ที่ ๓ พระองค์เสด็จเดินจงกรมระหว่างต้นโพธิ์กับอนิมิสเจดีย์ ที่พระองค์ทรงยืนจ้องอยู่ สัปดาห์ที่ ๔ พระองค์เสด็จสู่รัตนฆรเจดีย์ เทวดาเนรมิตเรือนแก้วขึ้นมา พระองค์ประทับนั่งสมาธิในเรือนแก้ว พิจารณาธรรมที่ได้ตรัสรู้ แล้วก็ทรงพิจารณาพระอภิธรรม และมหาปัฏฐาน ก็คือ “เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อะธิปะติปัจจะโยฯ” ที่เราได้สวดกันเมื่อสักครู่นี้แหละ เมื่อพระองค์พิจารณาเสร็จ พระฉัพพรรณรังสีก็แผ่ซ่านออกมาจากพระวรกาย เป็นสายรุ้ง ตรงนี้เป็นที่มาของปางพระพุทธชินราช ที่ซุ้มเรือนแก้ว สัปดาห์ที่ ๕ พระองค์เสด็จไปยังที่ต้นไทรต้นเดิม ที่พระองค์รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา
ตอนนั้น ธิดาของพญามาร ก็คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี เห็นพญามารผู้เป็นพ่อเสียใจ เอามือขีดแผ่นดินอยู่ เสียใจสู้พระโพธิสัตว์ไม่ได้ ขีดแผ่นดินอยู่ ๑๖ ขีด ขีดว่าข้อไหนสู้ไม่ได้บ้าง ขีดมาได้ ๑๖ ขีด สู้พระโพธิสัตว์ สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ๑๖ ข้อด้วยกัน ๑๖ ขีด ๑๖ ข้อ นั้นคือบารมี ๑๐ อย่างที่สู้ไม่ได้ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี แล้วก็อุเบกขาบารมี ๑๐ ขีด สู้ไม่ได้ แล้วก็อีก ๖ ขีดก็คือ ญาณปัญญาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
กับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า “อสาธารณญาณ” อย่างแรก “อินทริยปโรปริยัตตญาณ” คือญาณหยั่งรู้อินทรีย์อันยิ่งใหญ่ของเหล่าสัตว์ รู้ว่าคนนี้ มีอินทรีย์อ่อน มีอินทรีย์แก่กล้า มีแต่พุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้ ญาณข้อที่ ๒ ก็คือ “อาสยานุสยญาณ” ญาณหยั่งรู้ อาสัย คือ ความน้อมใจไปทางดีทางชั่ว รู้ว่าอนุสัยกิเลสมีอยู่ในกมลสันดานของสัตว์ ผู้นั้นผู้นี้ มากหรือน้อย อสาธารณญาณข้อที่ ๓ ก็คือ “ญาณในยมกปาฏิหาริย์” ญาณที่สามารถแสดงยมกปาฏิหาริย์ได้ อย่างที่ ๔ คือ “มหากรุณาญาณ” อย่างที่ ๕ “สัพพัญญุตญาณ” ญาณที่สามารถหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า แล้วก็อย่างที่ ๖ ก็คือ “อนาวรณญาณ” ญาณอันไม่มีความขัดข้องทุก ๆ กรณี นี่แหละ คือ อสาธารณญาณ ๖ อย่างของพระพุทธเจ้า
พญามารขีดอยู่ ๑๖ เส้น ๑๖ ข้อนี้ สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ธิดามารทั้ง ๓ ก็เลยรับอาสามาหาพระพุทธเจ้า นางตัณหา นางราคา นางอรดี ไปยั่วยวนพระพุทธเจ้า ด้วยการแปลงร่างเป็นหญิงวัยรุ่น หญิงกลางคน หญิงแก่ ก็เอาชนะไม่ได้ ก็เลยรู้ว่า ตอนนี้ไม่สามารถจะทำให้หวั่นไหวได้แล้ว สัปดาห์ที่ ๖ พระองค์เสด็จไปเสวยวิมุตติสุขอยู่ที่ต้นมุจลินท์หรือว่าต้นจิก ตอนนั้นฝนตกพรำอยู่ตลอด ๗ วัน พญานาคมุจลินท์ก็แผ่พังพานบังเอาไว้เพื่อกันลมฝน กันลมหนาว กันละอองฝน ให้กับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์นั่งครบ ๗ วัน ฝนก็หยุด พระพุทธองค์ก็เลยเปล่งอุทานมาด้วยความปีติว่า ความสงัดเป็นสุข สำหรับบุคคลผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว ยินดีอยู่ในที่อันสงัด รู้เห็นตามธรรมตามความเป็นจริง ความไม่เบียดเบียน ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ความปราศจากความกำหนัด คือ ความก้าวล่วงกามเสียได้ เป็นสุขในโลก ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความไม่ถือตัวถือตน เป็นสุขอย่างยิ่ง
จากนั้นสัปดาห์ที่ ๗ พระพุทธองค์ก็เสด็จไปยังต้นเกด ก็คือต้นราชายตนะ เสวยวิมุตติสุขอยู่ตรงนั้น ๗ วัน เมื่อพระองค์ออกจากสมาธิ พระอินทร์ก็นำผลสมอมาถวาย ตอนนั้นก็มีพ่อค้าสองพี่น้องคือ ตปุสสะ และภัลลิกะ มาจากชนบท เทวดาที่เคยเป็นญาติก็ทำให้ท่านหลงทางไปตรงนั้น เขาก็นำข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงไปถวายพุทธองค์ แล้วก็ขอของที่ระลึก พระพุทธองค์นำพระหัตถ์ลูบที่พระเศียร ก็มีเส้นพระเกศาติดมา ๘ เส้น พ่อค้า ๒ พี่น้องก็นำกลับไปยังบ้านเมืองของตัวเอง นำไปสร้างเป็นเจดีย์ที่เมืองตะเกิง ปัจจุบันคือ มหาเจดีย์ชเวดากอง (ที่แปลว่า พระเจดีย์ทองคำแห่งเมืองตะเกิง) ที่เมืองย่างกุ้ง อยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นที่มา
หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จมาที่ต้นไทรตามเดิม แล้วพระองค์ก็ทรงดำริว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต มิใช่วิสัยแห่งนักคิด คือ คิดเอาไม่ได้ แต่ว่ามีแต่วิสัยของบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ พระพุทธองค์ก็เลยทรงขวนขวายน้อย ไม่อยากจะแสดงธรรม ท้าวมหาพรหมก็เลยมาอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรม แล้วพระองค์ก็ทรงรำลึกนึกถึงบุคคลที่จะแสดงธรรม ตอนแรกนึกถึงอาจารย์ทั้งสองก่อน คือ อาฬารดาบส (กาลามโคตร) และอุทกดาบส (รามบุตร) แต่ทราบว่า ท่านทั้งสองสิ้นบุญไปแล้ว พระองค์ก็เลยปรารถนาที่จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ ผู้ที่เคยมีอุปการะในกาลก่อน
พวกเราได้ฟังมาถึงตอนที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของชาวโลกที่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากับพระพุทธเจ้าของเรา พวกเราโชคดีที่ได้มีพระพุทธองค์ผู้ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน จนกระทั่งตรัสรู้พระธรรมที่ได้มาสั่งสอนให้พวกเราได้เดินรอยตาม พวกเราจึงต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต และให้เรามีความสุขอยู่กับลมหายใจ มีความสุขอยู่กับอานาปานสติเป็นเครื่องอยู่ พวกเราจะได้ไม่เสียโอกาส ที่ได้เป็นมนุษย์ ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพาน
ก็ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย และบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขอให้ดวงวิญญาณของคุณแม่วรรัตน์ คำสด ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ด้วยอำนาจแห่งพระสัมมาสัมพุทธะ ขอทุกท่านจงชำนะความขัดข้อง ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมอันเรืองรอง อย่าได้พ้องผ่านหมู่ศัตรูมาร ด้วยอำนาจแห่งพระอริยสงฆ์ ขอทุกท่านจงเป็นสุขทุกสถาน อันตรายใด ๆ ไม่แผ้วพาน พระสัทธรรมอภิบาล ถึงมรรคผลพระนิพพานทุกท่านเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ