แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า ตอนประสูติ - ครองฆราวาส
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระ พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป ด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ
จงบังเกิดมีแด่คุณโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน พวกเราเอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบายนะ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นการสวด
พระอภิธรรมคืนที่ ๓ ของคุณแม่วรรัตน์ คำสด ซึ่งได้ละสังขารวายชนม์จากโลกนี้ไป
ซึ่งท่านเป็นคนดีมาก เป็นคนดีพิเศษ เป็นคนดีจริง ๆ มีชีวิตที่งามพร้อม มีศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัย แล้วก็วันนี้ มีองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ
แล้วก็คณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันมาส่งกุศลผลบุญให้กับคุณแม่วรรัตน์ คำสด ไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ สู่มรรคผลนิพพาน และจะบำเพ็ญกุศลเช่นนี้ทุกคืนจนถึงวันที่ ๖ มกราคม แล้วก็วันที่ ๗ หลังเที่ยง คณะสงฆ์ แล้วก็คณะศรัทธาสาธุชน และลูกหลานญาติมิตร จะได้พร้อมเพียงกันสวดมาติกาบังสุกุล อุทิศบุญกุศล นำสรีระไปประชุมเพลิง และในงานสวดพระอภิธรรมทุก ๆ คืนนี้ องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อใหญ่ ท่านก็ได้เมตตาให้บรรยายธรรม เพื่อให้คณะสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมได้เข้าใจในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ได้ทราบถึงเรื่องแห่งบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ผู้เสียสละมากที่สุด จนกว่าจะได้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ให้มีพระพุทธศาสนาทุกวันนี้ ดังนั้น เรื่องราวของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวที่พวกเราต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพระองค์คือบุคคลในดวงใจของเรา ต้องยกพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่หนึ่งในใจของเราเสมอ เพื่อพวกเราจะได้ศึกษา จะได้เดินตามรอยบาทของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ขอเล่าต่อจากเมื่อวาน ในภพชาติสุดท้ายที่พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ได้บำเพ็ญบารมีจนครบบารมี ๓๐ ทัศ จนครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วก็ได้ไปบังเกิดจากชาติที่พระเวสสันดรเป็นชาติสุดท้ายนั้น ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นชั้นที่ ๔ ของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น แล้วทีนี้ ท่านก็อยู่บนสวรรค์ชั้นนั้นนาน ก่อนที่พระโพธิสัตว์ หรือว่าบุคคลผู้ที่จะลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าจะลงมาในโลกนี้ จะมีเรื่องราว คือ เป็นการประกาศกึกก้องไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ทั่วจักรวาลก่อน เรียกว่าโกลาหล
โกลาหลไม่ใช่ความวุ่นวาย แต่ว่า เป็นการประกาศกึกก้อง ท่านอธิบายว่า โกลาหลมีอยู่ ๕ อย่างด้วยกันนะ
อย่างแรก “กัปปโกลาหล” เหล่าเทวดาจะมาป่าวประกาศก่อนที่โลกจะแตก คือ กัปจะพินาศ โลกจะถูกทำลายก่อน ๑ แสนปี เทวดาจะมาป่าวประกาศ
อย่างที่ ๒ “พุทธโกลาหล” เทวดาจะมาป่าวประกาศ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาอุบัติในโลก ๑,๐๐๐ ปี
แล้วก็อย่างที่ ๓ “จักกวัตติโกลาหล” เป็นเสียงประกาศก้องว่า อีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า พระเจ้าจักรพรรดิจะเสด็จมาอุบัติเกิดขึ้นในโลก
แล้วก็อย่างที่ ๔ “มังคลโกลาหล” คือ เหล่าเทวดาจะมาป่าวประกาศ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะแสดงมงคล ๑๒ ปี
แล้วก็อย่างที่ ๕ “โมเนยยโกลาหล” จะมาประกาศกึกก้อง ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะแสดงโมเนยยะปฏิปทา ๗ ปี ซึ่งโมเนยยะปฏิปทานี้ ในสมัยของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์จะมีผู้ที่ปฏิบัติได้เพียงองค์เดียว เพียงรูปเดียวเท่านั้น อย่างเช่น ในสมัยพระพุทธเจ้าของเราคือ พระโคดมพระพุทธเจ้า หลังจากพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน พระนาลกะ ซึ่งเป็นหลานของอสิตะดาบส ก็คอยฟังข่าวว่าเมื่อไหร่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่อทราบข่าวท่านก็มาฟังธรรม แล้วก็เอาข้อวัตรข้อปฏิบัติ แบบโมนัยยะปฏิปทานี้ไปปฏิบัติ ซึ่งมุ่งในเรื่องของความมักน้อยสันโดษ สำรวมกาย วาจา มุ่งทำใจให้สงบ ไม่รบกวนผู้อื่น มุ่งทางใจไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นการประพฤติที่ขัดเกลายิ่ง ท่านพระนาลกะประพฤติอยู่เพียง ๗ เดือน ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านก็เข้าสู่นิพพาน
๕ อย่างเรียกว่าเป็นโกลาหล พุทธโกลาหล ก็คือ อีก ๑,๐๐๐ ปีข้างหน้า พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาอุบัติ เทวดาก็จะมาเป็นผู้ป่าวประกาศ เมื่อใกล้เวลาที่จะมาจุติ เทวดาในหมื่นจักรวาล มีท้าวมหาพรหมเป็นประธาน ก็มารวมกันยังสวรรค์ชั้นดุสิต
ทูลอาราธนาให้พระมหาโพธิสัตว์ เพื่อที่จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์บำเพ็ญบารมีมายาวนานนี้ ก็มิได้เพื่อจะเป็นมหาเทพ เพื่อเป็นมหาพรหม เพื่อเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นไหน ๆ แต่ว่าเพื่อจะมาจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อขนสัตว์ในมนุษยโลกกับทั้งเทวโลก ให้ข้ามพ้นจากห้วงแห่งความเวียนว่ายตายเกิด อันไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่รู้จบสิ้น ให้รู้ความจริง บรรลุถึงทางที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น ท้าวสันดุสิตเทพบุตร หรือ
พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ก็เลยทรงตรวจดูปัญจมหาวิโลกนะ พิจารณาถึงเหตุปัจจัย ๕ อย่างก่อน ถ้าถึงพร้อม ถ้าเหตุปัจจัย ๕ อย่างนี้สมบูรณ์ จึงจะลงมาเสด็จอุบัติ
อย่างแรก คือ กาล หมายถึงช่วงเวลา ต้องเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุขัย
ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี และไม่มากกว่า ๑ แสนปี ถ้าหากมนุษย์มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปี จะทำให้มนุษย์จิตใจหยาบช้า หยาบกระด้างมาก จิตใจไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าจะไม่มาอุบัติในช่วงนั้น ถ้าหากต่ำกว่าร้อยปี จิตต่ำ จิตเหมือนกับสัตว์ สอนอย่างไรก็ไม่อาจที่จะบรรลุธรรมได้ และเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุขัย
ไม่เกิน ๑ แสนปี ถ้าหากอายุขัยเกิน ๑ แสนปี จะไม่ค่อยเห็นความแก่ ความตาย จะคิดว่าตัวเองเป็นอมตะ เพราะว่ามีชีวิตยืนยาว ดังนั้น กาลเวลาก็คือ ต้องเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปี จนถึงไม่เกิน ๑ แสนปี
ประการที่ ๒ ทวีป ทวีปไม่ใช่เกาะหรือว่าเป็นทวีปอเมริกา ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรปอะไรนะ ทวีปนี้หมายถึงโลกตามความหมายในพระไตรปิฎก ก็คือ หมายถึงโลกมนุษย์นี่เอง เรียกว่า ชมพูทวีป หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามระบบสุริยะ ก็คือ
ดาวเคราะห์ที่เป็นโลก แล้วตามแผนภูมิจักรวาลในอัคคัญญสูตร ก็บอกว่า ภูเขาพระสุเมรุจะเป็นแกนกลาง แล้วก็มีทวีปทั้ง ๔ ห้อมล้อมอยู่ทางทิศเหนือ ใต้ ออก ตก
ทิศใต้ก็คือ ชมพูทวีป คือโลกมนุษย์ของเรา ทิศเหนือคือ อุตรกุรุทวีป แล้วก็ทิศตะวันตก ก็คือ อปรโคยานทวีป (หรืออมรโคยานทวีป) แล้วก็ทิศตะวันออกคือ ปุพวิเทหทวีป ทั้ง ๔ ทวีปนี้ อยู่ห่างไกลกัน มองไม่เห็นกันด้วยตาเปล่า เพราะมันห่างไกลจนมองไม่เห็น จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า มนุษย์ต่างดาวก็ว่าได้ แล้วแต่ละทวีปนี้ ท่านอธิบายเอาไว้ว่า ชมพูทวีปหรือว่าโลกมนุษย์นี้ ใบหน้าของคนในชมพูทวีปเป็นรูปไข่ ปุพวิเทหทวีป ใบหน้าเหมือนกับพระจันทร์ครึ่งดวง หรือเหมือนกับผลส้มที่ผ่าครึ่งลูก ใบหน้าเป็นอย่างนั้น แล้วก็ อปรโคยานทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ ใบหน้าจะกลมเหมือนกับพระจันทร์ แล้วก็อุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ ใบหน้าจะเป็นสี่เหลี่ยม แล้วอายุขัยของมนุษย์แต่ละทวีปนั้น จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคุณธรรม
ซึ่งท่านก็อธิบายว่า อายุมนุษย์ในทวีปทั้ง ๔ นี้ ในช่วงแรก ๆ ที่โลกมนุษย์เจริญ คือ ในช่วงที่มีมนุษย์ต้นกัป มนุษย์ต้นกัป ก็คือ เป็นมนุษย์แรกที่เกิดขึ้นมาในโลก ความพิสดาร เรื่องราวยาว ๆ จะอยู่ในอัคคัญญสูตร ซึ่งเราไปหาเพิ่มเติมได้ มนุษย์ต้นกัป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในทวีปใด ๆ ก็มีอายุถึงอสงไขยปีทั้งสิ้น เพราะว่าจิตใจของคนในสมัยนั้น กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ยังเบาบาง ทำให้สิ่งแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ แล้วก็อาหารของมนุษย์สมบูรณ์ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์มีอายุยืนยาว
ในเวลาต่อมา มนุษย์ใน ๔ ทวีป มีอกุศลจิตเกิดขึ้น ก็คือ จิตเศร้าหมอง จิตไม่ผ่องใส จิตเกิดความชั่ว เกิดความต่ำทรามเข้ามา เลยทำให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง ผิดปกติไป จากเดิม หนาวก็หนาวเกิน ร้อนก็ร้อนเกิน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล คุณค่าทางอาหารก็ลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้จึงทำให้อายุขัยของมนุษย์ลดลงไปตามลำดับ เมื่ออายุขัยลดลงมาถึง ๑,๐๐๐ ปี มนุษย์ที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปก็คงอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ลดลงไปอีก เพราะว่ากิเลสของพวกเขาไม่เพิ่มขึ้น แล้วก็ปุพวิเทหะลดลงอยู่ที่ ๗๐๐ ปี แล้วก็ อปรโคยานลดลงมาอยู่ที่ ๕๐๐ ปี เหลือแต่ชมพูทวีป คือโลกมนุษย์เราทุกวันนี้ อายุขัยของมนุษย์ขึ้น ๆ ลง ๆ เรื่อย ๆ เพราะว่า กิเลสมันกล้า ไม่สิ้นสุด ลดลงไปจนกระทั่งถึง ๑๐ ปีเป็นอายุขัย มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี คิดดูว่า จิตใจจะต่ำขนาดไหน
ไม่ต่างจากสัตว์นะ แล้วช่วงนั้นเขาบอกว่า อาหารที่มีรสดี ๆ จะหมดไป สิ่งแวดล้อมจะเสื่อมโทรม ผู้คนจะมีโทสะกล้าแข็ง จิตใจมีแต่ความโกรธ มีแต่ความเหี้ยมโหด มีแต่ความโหดร้าย ในที่สุดก็เกิดการรบราฆ่าฟันกันเอง ช่วงนั้นเรียกว่ากลียุค รบราฆ่าฟันกันตลอด ๗ วัน
มนุษย์บางกลุ่มที่หลบหนีซ่อนไปอยู่ในป่าที่ห่างไกลก็จะมีชีวิตรอด เริ่มประกอบกุศลกรรมอีกครั้ง อายุก็จะเพิ่มขึ้น ๆ จนกระทั่งเป็น ๑ แสนปี ลดลงมาถึง ๘ หมื่นปี ตอนนั้นคือ พระศรีอริยเมตไตรยจะลงมาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเหตุการณ์มันต่างกัน แต่ละทวีปมันต่างกันขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ว่าเป็นความโชคดีของชาวโลก คือโลกมนุษย์นี้ พระพุทธเจ้าจะไม่ไปเกิดยังทวีปอื่น จะมาเกิดเฉพาะในชมพูทวีป เพราะว่าในชมพูทวีปนี้ มนุษย์มีลักษณะพิเศษอยู่ ๓ อย่าง ที่แตกต่างจากทวีปอื่นแตกต่างจากดาวดวงอื่น แตกต่างจากโลกอื่น คุณลักษณะพิเศษ ๓ ประการ คือ
ประการแรก “สูรภาโว” หรือ สุระภาวะ คือ กล้าในการทำ ทำดีก็สามารถทำดีจนกระทั่งถึง พระอรหันต์ก็ได้ ทำชั่วสามารถทำความชั่วทุกอย่าง ถึงขนาดอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าแบบนี้ มนุษย์ในโลกนี้แหละ ที่กล้าทำ
อย่างที่ ๒ ลักษณะพิเศษอย่างที่ ๒ “สติมันตะ” เป็นผู้มีสติมั่นคง มีสติตั้งมั่น
อย่างที่ ๓ “พรหมจริยวาส” คือสามารถประพฤติพรหมจรรย์ แล้วก็บวชได้ นี่คือลักษณะพิเศษของมนุษย์ในชมพูทวีป คือ ในโลกนี้ ด้วยลักษณะพิเศษทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงทำให้ชมพูทวีปโดดเด่นกว่าทวีปอื่น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงลงมาอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แต่ในชมพูทวีปเท่านั้น เหตุที่ไม่ไปเกิดในทวีปอื่น ก็เพราะว่า ถ้าหากพระพุทธเจ้าแสดงถึงเรื่องความเสื่อมของสังขาร มนุษย์ในทวีปอื่น ๆ คงนึกไม่ออก เพราะว่าชีวิตของเขาสุขสมบูรณ์ ไม่ค่อยเห็นความเจ็บเท่าไหร่ แล้วก็ไม่เห็นความทุกข์มาก ความแก่ชราก็ไม่ค่อยปรากฏ โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น อันนี้คือลักษณะของทวีปที่พระพุทธเจ้าทรงเลือก
ประการที่ ๓ คือ ประเทศ ทรงพิจารณาเห็นว่า ประเทศที่พระพุทธเจ้าต้องไปเกิด ต้องเป็นมัชฌิมาประเทศ คือภูมิประเทศที่มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง มิใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ดินแดนที่ไร้อารยธรรม ซึ่งในตอนนั้น ประเทศอินเดีย ก็คือมีกลุ่มชนชาวอารยัน หรือ ชาวอริยกะ เจริญรุ่งเรืองมานานแล้ว เป็นมัชฌิมาประเทศ
แล้วก็ประการที่ ๔ คือ ตระกูล พระพุทธเจ้าจะมาเกิดในตระกูลสูงของชาวโลกในยุคนั้น ๆ จะเป็นตระกูลกษัตริย์ก็ดี ตระกูลพราหมณ์ก็ดี ในยุคใดตระกูลพราหมณ์เป็นตระกูลสูง ก็จะเกิดในตระกูลพราหมณ์ เช่น พระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตนี้ จะเกิดในตระกูลพราหมณ์ ถ้าหากในช่วงใดตระกูลกษัตริย์เป็นตระกูลสูง ก็จะมาเกิดในตระกูลกษัตริย์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าของเราจึงทรงเลือกเกิดในตระกูลกษัตริย์ ที่กรุงกบิลพัสดุ์แห่งศากยวงศ์ ที่เป็นตระกูลที่บริสุทธิ์มาหลายชั่วอายุคน แล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็สมควรที่จะเป็นพระพุทธบิดาได้
ประการสุดท้าย สำคัญที่สุดเลย คือ พระพุทธมารดา คือ แม่ของพระพุทธเจ้า สตรีที่จะเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าได้ ต้องสร้างบารมี ตั้งความปรารถนา รักษาศีลบริสุทธิ์มาถึงแสนชาติ แล้วก็ตั้งความปรารถนา อยากที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตด้วย ก็ทรงเล็งเห็นว่า พระนางสิริมหามายา สมควรที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้าได้ แล้วคนที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้านั้น ต้องมีอายุขัยเหลืออีกเพียงแค่ ๑๐ เดือนกับ ๗ วัน เท่านั้น เมื่อพิจารณาดังนี้ ก็เห็นว่า พระนางสิริมหามายานี่แหละ เป็นผู้มีบารมีเต็มที่ ที่จะเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าได้ เขาอธิบายว่า คนที่จะเป็นมารดาของพระโพธิสัตว์ ของพระพุทธเจ้าได้นั้น นอกจากจะมีความดี มีบารมีที่เต็มที่แล้ว ยังต้องสวยถึงที่สุดด้วย
พระนางสิริมหามายาจึงเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในสมัยนั้น เพราะว่าพระนางถึงพร้อมด้วยลักษณะแห่งหญิงงาม ๕ ประการ เรียกว่า เบญจกัลยาณี นางวิสาขาก็มีข้อนี้ คืองาม ๕ อย่าง ผมงาม เนื้องาม หมายถึง ริมฝีปากแดงเหมือนกับลูกตำลึงสุก แล้วก็ฟันงาม ผิวงาม แล้วก็อย่างสุดท้าย คือวัยงาม หมายถึง ต่อให้คลอด ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง ก็ปรากฏเหมือนกับว่าคลอดครั้งเดียว คือเหมือนกับเป็นหญิงอมตะ คือความแก่ชราจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็น เรียกว่า เป็นหญิงเบญจกัลยาณี แล้วยังต้องถึงพร้อมด้วยอิตถีลักษณะ คือ ความงามของสตรีอีก ๖๔ อย่าง ที่ว่ารูปร่างงดงามเหมือนกับเทพธิดา ริมฝีปากแดงเหมือนกับลูกตำลึงสุก มีคอที่เรียวงาม ไหล่ผึ่ง มีผิวพรรณงามละเอียดสุกปลั่งเหมือนกับทองคำ ไม่สูงเกิน ไม่เตี้ยเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ผอมเกิน เอาเป็นว่า ครบหมดตามตำราของหญิงงามในโลก เพราะว่าความเพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยความงามของพระนางสิริมหามายานี่เอง บวกกับความเป็นแขกขาวของพระเจ้าสุทโธทนะด้วย จึงส่งผลต่อพันธุกรรมทำให้พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จเกิดขึ้นมาในโลก สมบูรณ์ด้วยความงามลักษณะแห่งมหาบุรุษ ๓๒ ประการ สมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะบุญอย่างเดียว ต้องมาจากพระพุทธบิดาและพุทธมารดาด้วย
ยีนของพ่อ ยีนของแม่ จะส่งผลต่อลูก ดังนั้น พ่อแม่มีส่วนสำคัญ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ เลือกทั้ง ๕ อย่างบริบูรณ์แล้ว ก็เลยทรงให้ปฏิญญาแก่เหล่าทวยเทพ แก่เหล่าท้าวมหาพรหมที่มาทูลเชิญว่าถึงเวลาสมควรที่จะเสด็จอุบัติ ในเวลาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ พระโพธิสัตว์ก็ลงมาอุบัติ ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา ซึ่งในช่วงเวลานั้น พระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนางสิริมหามายา เพิ่งจะอภิเษกสมรสกันได้ไม่นาน ในคืนวันเดียวกันนั่นเอง พระนางสิริมหามายาที่บรรทมหลับอยู่ พระนางก็ทรงพระสุบินนิมิต เห็นว่า เทวดามาแบกพระแท่นของพระนางไปที่ป่าหิมพานต์ วางพระแท่นบรรทมของพระนางไว้ริมสระอโนดาต แล้วก็ให้พระนางสรงสนาน จากนั้นก็มีช้างเผือกนำดอกบัวมาถวาย
ป่าหิมพานต์อยู่ตรงไหน? ป่าหิมพานต์นี้อยู่คนละมิติ อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์กึ่งเทพ เหล่าเทพบุตร คนธรรพ์ เหล่ามักกะลีผล อะไรที่เราเคยได้ยินกัน คนธรรพ์ เทพบุตร พญาครุฑ พญานาค ก็อยู่ตรงนั้น ตรงนั้นแหละ คือ ป่าหิมพานต์ ป่าหิมพานต์ไม่ได้อยู่บนเขาหิมาลัย แต่ว่าอยู่คนละมิติกัน เป็นภพซ้อนภพอยู่ตรงนั้น
ในปฐมสมโพธิกถาท่านพรรณนาว่า มีเศวตหัตถีเชือกหนึ่ง ก็คือ ช้างเผือก
ชูงวง จับดอกบุญฑริก ก็คือดอกบัวขาวที่เพิ่งบานใหม่ มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบ แล้วก็ร้องโกญจนาท ก็คือร้องเสียงดัง แล้วก็เวียนประทักษิณรอบพระนาง คือเวียนขวา จากนั้นก็เหมือนกับว่า หายวับเข้าไปในพระครรภ์ของพระนาง แล้วพระนางก็ตื่นบรรทม เล่าให้กับพระสวามีฟัง แล้วก็มีพยากรณ์ว่า มีบุคคลสำคัญ มีบุคคลผู้ที่เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ มาเกิดในพระครรภ์ของพระนาง แล้วก็เป็นความพิเศษของพระพุทธมารดาที่ว่า เมื่อพระนางทรงพระครรภ์นั้น จะแปลกไปกับผู้หญิงทั่วไป ปกติผู้หญิงที่ท้อง ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ท้องจะโตขึ้นตามลำดับ แต่พระนางสิริมหามายา ท้องจะแบนราบแบนราบเหมือนกับไม่ได้ท้อง แล้วในช่วงที่ตั้งครรภ์นั้น พระนางจะไม่ได้มีใจที่ฝักใฝ่ในกามคุณ ไม่มีความกำหนัด ไม่มีความปรารถนาในกาม แล้วก็ในช่วงที่พระนางตั้งครรภ์ จะเพียบพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ คือ ถูกดูแลอย่างดี รูป เสียง กลิ่น รส สมบูรณ์ พร้อมทุกอย่างในช่วงที่ตั้งครรภ์ แล้วในช่วงที่ตั้งครรภ์นั้น จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรมาเบียดเบียนเลย คือ ไม่ป่วยเลย และที่สำคัญ พระนางสามารถมองเห็นโอรสน้อยที่อยู่ในพระครรภ์ แต่โอรสน้อยมองไม่เห็นนะ เพราะว่านั่งหลับตาอยู่ แต่แม่สามารถมองเห็นลูก เขาอุปมาเหมือนกับด้ายที่สอดเข้าไปในลูกปัดใส ๆ เราสามารถมองเห็นเส้นด้ายที่อยู่ในลูกปัดได้ฉันใด พระนางก็สามารถมองเห็นลูกน้อยที่อยู่พระครรภ์ ฉันนั้น
เมื่อใกล้เวลาครบถ้วน ๑๐ เดือน พระนางก็กราบทูลพระสวามีเพื่อที่จะไปมีพระประสูติกาลยังบ้านเกิด ก็คือ กรุงเทวทหะ ตรงนี้ก็ขอเล่ารวบยอด เพราะว่า เรื่องราวพุทธประวัติทั้งหลาย พวกเราเคยศึกษา เคยอ่านกันมาบ้าง โดยเฉพาะเมื่อหลายปีก่อนนี้ ที่ประเทศอินเดียเขาทำเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก แต่เรื่องราวจะไม่ตรงกับของเถรวาท เพราะว่าสร้างมาจากพระไตรปิฎกของนิกายสรวาสติวาทิน ก็คือ นิกายเกลุกปะ (เกลุก) ขององค์ทะไลลามะ จะมีความแตกต่างกันอยู่ประมาณ ๓๐% เหมือนกัน ๗๐ ต่าง ๓๐ กับของเถรวาท เมื่อถึงเวลาที่ใกล้ประสูติ พระนางก็จะเสด็จกลับไปประสูติที่กรุงเทวทหะ คือ ที่บ้านเกิด พอเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปได้ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เป็นชายแดน ตรงนั้นคืออุทยานลุมพินีวันพระนางเดินทางมาครึ่งทางแล้ว ก็ปรารถนาจะให้คนที่ตามเสด็จนั้นหยุดพัก
ในช่วงเวลานั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ดอกไม้กำลังเบ่งบาน อุทยาน
ลุมพินีวัน เหมือนกับราวสวรรค์ เหมือนกับอุทยานนันทวันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือสวยงามพร้อมทุกอย่าง ดอกไม้ก็บานเต็มที่ ดอกบัวในสระก็บาน นกก็กู่เสียงร้อง สัตว์
ในป่าก็รื่นเริงยินดี พระนางก็เลยให้หยุดขบวนตรงนั้น แล้วพระนางก็เดินไปที่ใต้ต้นสาละต้นหนึ่ง เกิดลมกรรมชวาตขึ้น ลมกรรมชวาต คือ ลมที่เกิดขึ้นสำหรับผู้หญิงที่กำลังใกล้จะคลอด ลมเบ่ง ลมกรรมชวาตเกิดขึ้น พระนางก็ยื่นพระหัตถ์ขึ้นไป กิ่งสาละหรือว่า
กิ่งต้นรัง ก็โน้มกิ่งลงมาให้พระนางได้จับ แล้วก็มีพระประสูติกาลออกมาโดยง่าย ท่านก็อธิบายว่า ในขณะที่พระราชกุมารประสูติออกมาจากพระครรภ์ของพระพุทธมารดานั้น พระวรกายบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยครรภ์ของมลทิน มีหมู่เทพยดามาคอยรับก่อน
มีธารน้ำร้อนน้ำเย็นมาสรงสนานพระวรกาย ทรงเพียบพร้อมพร้อมด้วยลักษณะแห่งมหาบุรุษ ๓๒ ประการ อันนี้แหละเป็นลักษณะแห่งผู้ที่จะเป็นมหาบุรุษ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
เมื่อพระองค์คลอดจากพระครรภ์ ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์ในวันประสูติ เสด็จ
พระดำเนิน เดินไปได้ ๗ ก้าว จากนั้นก็ทรงผินพระพักตร์ไปทั้งทั่วโลกธาตุเลย ทรงบอกไม่เห็นใครที่จะเสมอเหมือน ไม่มีใครที่จะไปยิ่งกว่านี้ พระองค์เลยเปล่งอาสภิวาจา คือ คำพูดที่มาจากความองอาจ ความกล้าหาญว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ” ซึ่งหมายความว่า เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ภพใหม่ชาติใหม่จะไม่มีอีกต่อไป จากนั้นพระองค์ก็กลับเป็นเด็กเหมือนเดิม อันนี้คือปาฏิหาริย์ในวันประสูติ
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว เดินได้ ๗ ก้าว พูดได้ เป็นไปได้จริงหรือ หลาย ๆ คน สงสัยแม้กระทั่งในที่นี้ ถามว่านกบินได้เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ไหม ปลาอยู่ในน้ำได้เป็นปี ๆ เป็นปาฏิหาริย์ไหม มันก็ไม่ใช่ เพราะอะไร? เพราะว่า มันเป็นธรรมชาติของนกต้องบินได้ธรรมชาติของปลา ปลามันก็ว่ายน้ำได้ มันเป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ สำหรับพระโพธิสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ท่านมีธรรมชาติ มีวิสัยที่จะทำได้แบบนี้ ท่านสร้างบารมี บำเพ็ญเพียรมากี่ล้านชาติ ๒๐ อสงไขย ๑ แสนมหากัป นับภพนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทำได้แบบนี้
ในยุคปัจจุบัน ในกินเนสบุ๊คนะ เขาบันทึกเอาไว้ว่า นายคริสเตียน ไอริช ไฮเนเก้น นี้เกิดมาเพียง ๒ ชั่วโมงพูดได้ อายุ ๔ ขวบพูดได้ ๗ ภาษา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพระองค์สร้างบารมีมาเต็มขนาดนี้ แล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในเกี่ยวกับเรื่องราวตอนประสูติว่า ดูก่อนอานนท์ ในการใด พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในการนั้นแสงสว่างอย่างโอฬารอันหาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏเกิดขึ้นในโลก แม้กระทั่งในโลกันตริกนรก ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย คือ เป็นที่มืดตลอดเวลา (โลกันตนรก) ในเวลานั้นที่พระพุทธเจ้าประสูติในโลก แสงสว่างยังไปถึงโลกันตริกนรกได้เลย
ตรงนี้ ในประเทศจีน ในช่วงนั้นเป็นสมัยราชวงศ์โจว เขาก็จดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติเขาเหมือนกันว่า ในสมัยของกษัตริย์โจวเจา แห่งราชวงศ์โจวที่เมืองจีน เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น ๕ อย่าง คือ น้ำขึ้นในแม่น้ำ โดยปกติช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำลด เพราะว่าเป็นช่วงหน้าแล้ง อย่างที่ ๒ แหล่งน้ำธรรมชาติผุดขึ้นมาจนล้นทุกแห่ง อย่างที่ ๓ แผ่นดินไหว อย่างที่ ๔ มีแสงสว่าง ๕ สีพวยพุ่งไปบนท้องฟ้าสุดลูกหูลูกตา กษัตริย์โจวเจาก็เลยสอบถามอำมาตย์ว่า เกิดอะไรขึ้น อำมาตย์คนนั้นก็ทูลว่า ในทางทิศตะวันตก ทิศตะวันตกของประเทศจีนก็คือประเทศอินเดีย มีมหาบุรุษเกิดขึ้นในโลก แล้วคำสอนของท่านนี้ จะเผยแผ่เข้ามาในแผ่นดินจีนอีก ๑ พันปีข้างหน้า กษัตริย์โจวเจา
ก็เลยให้บันทึกเหตุการณ์อันนี้เอาไว้ มีภาพบันทึกอยู่ในแผ่นศิลา
อีก ๘๐ ปีต่อมา ถึงยุคของกษัตริย์โจวมู่ เขาก็จดบันทึกไว้ว่ามี เหตุประหลาดเหมือนกัน คือเกิดแผ่นดินไหว มีลมพัดแรงในเมืองจีน แสงสว่างคล้ายสีรุ้ง ๑๒ เส้น ส่องมาจากทิศตะวันตก ทาบอยู่บนท้องฟ้าของเมืองจีนตลอดคืน อำมาตย์คนสำคัญในราชสำนักก็เลยบอกว่า กายหยาบของมหาบุรุษ หมดไปจากโลก เหตุการณ์ที่จารึกไว้ในแผ่นดินจีนที่บอกว่า มีแสงสว่างเกิดขึ้น แผ่นดินไหวในสมัยกษัตริย์โจวเจา คือ ตรงกับวันประสูติของพระพุทธเจ้า แล้วในสมัยกษัตริย์โจวมู่ ก็คือ ตรงกับวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ได้เห็นเหตุการณ์สำคัญเฉพาะในชมพูทวีป ในประเทศอินเดีย แต่เห็นกันเกือบทั่วโลก
ในวันนั้น ทั้งแผ่นดินไหว ทั้งแสงสว่างปรากฏเกิดขึ้น เหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ท่านอธิบายเอาไว้ว่ามี ๘ อย่าง อย่างแรกลมกำเริบ ผู้มีฤทธิ์บันดาล ปฏิสนธิกาลพระโพธิสัตว์ อุบัติมหาบุรุษ ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระศาสดาจารย์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร องค์พระสัมพุทธทรงปลงพระชนมายุสังขาร และปรินิพพานแห่งพระพุทธองค์ ๘ อย่าง การดำเนินเดินได้ ๗ ก้าวของพระพุทธเจ้านั้น
ถ้าหากถอดมาเป็นธรรมาธิษฐาน ก็คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อันเป็นธรรมะ ๗ หมวด เป็นธรรมะ ๗ หัวข้อ ที่จะนำบุคคลไปสู่ความหลุดพ้นได้ การเดิน ๗ ก้าว เปรียบเหมือนกับการก้าวเดิน ๗ ก้าว สำหรับการปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งไปสู่มรรคผลนิพพาน
เริ่มต้นจากสติปัฏฐาน ๔ เป็นก้าวแรก
ก้าวที่สอง คือ สัมมัปปธาน ๔
ก้าวที่ ๓ อิทธิบาท ๔
ก้าวที่ ๔ อินทรีย์ ๕
ก้าวที่ ๕ พละ ๕
ก้าวที่ ๖ โพชฌงค์ ๗
แล้วก็ก้าวที่ ๗ ก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘
ธรรมะเจ็ดหมวดนี้ เปรียบเหมือนกับการก้าวเดิน ๗ ก้าวของพระมหาบุรุษในวันที่มีพระประสูติกาลนั่นเอง แล้วในวันประสูตินั้น ก็มีบุคคลสำคัญที่เกิดขึ้นในวันเวลาเดียวกันเรียกว่า สหชาติ ก็คือ พระนางพิมพา พระอานนท์ กาฬุทายีอำมาตย์ ฉันนะอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วก็ขุมทรัพย์ทั้ง ๔
หลังจากที่ประสูติได้ ๓ วัน อสิตดาบส หรือว่า อสิตมุนี ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนัก เป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะก็มาเข้าเยี่ยม อสิตดาบสท่านเห็นพระกุมารน้อย ตอนแรกพระเจ้าสุทโธทนะจะให้พระกุมารน้อยไปไหว้ แต่เมื่ออสิตดาบสได้พิจารณาตรวจดูแล้ว ท่านเป็นผู้ไหว้แทน เพราะหากว่า พระกุมารน้อยมาไหว้ท่าน ศีรษะท่านต้องแตกออกเป็น ๗ เสี่ยงแน่ ๆ ท่านยกมือไหว้เอง จากนั้นท่านก็ยิ้มพอยิ้มแล้ว ท่านก็ร้องไห้ ที่ยิ้มเพราะว่า ชื่นชมบารมีของพระกุมาร ที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะแห่งมหาบุรุษ ๓๒ อย่าง ต้องเป็นศาสดาเอกของโลก หรือว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแน่นอน แต่ที่ร้องไห้ก็เพราะว่าบุญไม่ถึง บุญไม่ทันเห็นพระกุมารเจริญเติบโต เพราะว่าอายุขัยท่านต้องหมดสิ้นไปก่อน
พอผ่านมา ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะก็ให้พราหมณ์ ๑๐๘ มายังพระราชวัง จากนั้นก็คัดเลือก พราหมณ์หัวกะทิเก่ง ๆ ๘ ท่าน คือ รามพราหมณ์ อัญญพราหมณ์ ลักษณพราหมณ์ ธุชพราหมณ์ โภชพราหมณ์ สุทัตตพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ แล้วก็สุดท้ายคือ โกณทัญญพราหมณ์ เป็นผู้ขนานพระนาม แล้วก็ทำนายพระลักษณะ ลักษณะแบบนี้ ก็ทายได้ ๒ อย่างอยู่แล้วว่า อยู่ครองฆราวาสต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาที่ครองโลก กับออกบวชเป็นมหาศาสดาเอกของโลก แล้วก็ขนานพระนามว่า สิทธัตถะ หรือ สิทธารถะ แปลว่า ผู้มีความปรารถนาสำเร็จทุกประการ สิทธะ หรือว่า สิทธิ แปลว่าความสำเร็จ กับ อัตถะ แปลว่าประโยชน์ รวมกัน สิทธะ กับ อัตถะ เป็นสิทธัตถะ คือ ผู้มีความปรารถนา ผู้มีประโยชน์สำเร็จทุกประการ
จากนั้น ๗ วันพระโอรสน้อยก็ต้องสูญเสียพระพุทธมารดา เพราะว่าเป็นปกติของแม่พระพุทธเจ้าที่ว่า เมื่อให้กำเนิดลูก ๗ วัน ท่านต้องสวรรคต เพราะพระครรภ์นี้เป็นครรภ์ที่บริสุทธิ์ จะให้บุคคลอื่น จะให้สัตว์อื่นมาเกิดร่วมไม่ได้ จากนั้นพระพุทธมารดาสวรรคต ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เหตุการณ์ผ่านมา จนกระทั่ง ๗ ปี ในพิธีแรกนาขวัญ ท่านได้ของเก่ากลับมา นั่นคือ ปฐมฌาน ตอนที่ท่านอยู่ใต้ร่มไม้คนเดียว ไม่มีผู้อื่นมารบกวน ท่านไม่รู้จะทำอะไรท่านก็เลยนั่งสมาธิ ของเก่าที่ท่านทำมาเต็มที่มาปรากฏเกิดขึ้น ท่านได้ปฐมฌานครั้งแรก เวลาบ่ายคล้อย เงาต้นไม้ก็ยังตรงอยู่เหมือนเดิม พระพุทธบิดาก็เลยถวายบังคมกราบท่าน
จากนั้น ท่านก็ศึกษาเล่าเรียนในสำนักของอาจารย์ ไม่นานท่านก็เรียนจบทั้ง ๑๘ ศาสตร์ พระชนมายุ ๑๖ ปี ก็อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา อยู่ครองชีวิตฆราวาสมาจนถึงอายุ ๒๙ ปีจนเห็นเทวทูต คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วก็นักบวช ท่านจึงได้นิมิต
อันนี้แหละ ท่านก็เลยสละชีวิตฆราวาส แล้วก็ออกบวช พวกเราได้ฟังเหตุการณ์ ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมหาบุรุษ บุคคลสำคัญของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเราต้องยินดี ต้องมีความปีติยินดี ว่าวันนี้พวกเราได้ชีวิตที่ประเสริฐ เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อพระนิพพาน อยู่ในศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ให้พวกเราได้เกิดปีติ เกิดความเบิกบานใจ น้อมใจเพื่อที่จะเอาธรรมะของพุทธองค์เป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคนทุกท่าน
ขอกุศลบุญบารมีทั้งหลายที่พวกเราได้ตั้งใจทำในวันนี้ ขอจงถึงแด่คุณแม่วรรัตน์ คำสด หากท่านมีทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ หากท่านมีความสุข ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอตั้งจิตอธิษฐานใจด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย และบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ด้วยอำนาจแห่งพระสัมมาสัมพุทธะ ขอทุกท่านจงชำนะความขัดข้องด้วยอำนาจแห่งพระธรรมอันเรืองรอง อย่าได้พ้องพานหมู่ศัตรูมาร ด้วยอำนาจแห่งพระอริยสงฆ์ ขอทุกท่านจงเป็นสุขทุกสถานอันตรายใด ๆ ไม่แผ้วพาน พระสัทธรรมอภิบาล ถึงมรรคผลนิพพานทุกท่านเทอญ