แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า ตอนตั้งความปรารถนา - ก่อนประสูติ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาสพระมหาเถระ พระเถรานุเถระ
เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป ด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็น
แห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่คุณโยมพุทธศาสนิกชน ทุกคนทุกท่าน พวกเราเอามือลง
นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นการสวดพระอภิธรรมคืนที่ ๒ ของแม่วรรัตน์ คำสด ซึ่งได้ละสังขารวายชนม์จากโลกนี้ไป ซึ่งท่านเป็นคนดีมาก
ดีพิเศษ และก็ดีจริง ๆ มีชีวิตที่งามพร้อม มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา และวันนี้ก็เป็นที่น่าปลื้มใจ ที่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อใหญ่ พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ และคณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันมาส่งกุศลผลบุญให้แด่คุณแม่วรรัตน์
คำสด ไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ มรรคผลนิพพาน และก็จะมีการบำเพ็ญกุศลเช่นนี้ทุกคืนจนถึงวันที่ ๖ มกราคม และก็วันที่ ๗ หลังเที่ยง คณะสงฆ์ และคณะศรัทธาสาธุชน ลูกหลาน ญาติมิตร จะได้พร้อมเพรียงกันสวดมาติกาบังสุกุล อุทิศบุญกุศล นำสรีระ
ไปประชุมเพลิง และก็ในงานนี้ องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อใหญ่ ได้ให้บรรยายธรรม เพื่อให้คณะสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรม ได้เข้าใจในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ได้ทราบถึงเรื่องแห่งบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ผู้เสียสละมากที่สุด จนกว่าจะได้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์บรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ให้
มีพระพุทธศาสนา ให้มีพระสัทธรรม อันนำไปสู่ความดับทุกข์ และก็ไปสู่ความพ้นทุกข์
ถึงมรรคผลพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นยอดบุคคลในดวงใจ ที่เราต้องยกไว้เป็นที่หนึ่งในใจของเราเสมอ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่เราต้องรู้จักเรื่องราวของพระพุทธเจ้า และดำเนินตามรอยบาทแห่งพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือใคร? พระพุทธเจ้า คือบุคคลผู้ที่เสียสละมากที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีพระนามว่า พระศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ ภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๕ พระองค์
องค์ที่ ๑ ก็คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า องค์ที่ ๒ พระโกนาคมนพุทธเจ้า องค์ที่ ๓ พระกัสสปพุทธเจ้า องค์ที่ ๔ ก็คือองค์ปัจจุบันคือ พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า และองค์สุดท้าย
ในอนาคตก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
คำว่ากัป หรือคำว่ากัลป์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาอันยาวนานของโลก จนไม่สามารถกำหนดเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปีได้ มี ๒ ประเภท
ประเภทแรก คือ สุญญกัป หมายถึงกัปที่ว่างเปล่า ไม่มีมรรคผลนิพพานปรากฏเกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะว่าสุญญกัปเป็นมหากัปที่ว่างเปล่าจากบุคคลผู้บรรลุคุณธรรมพิเศษ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า รวมถึงพระเจ้าจักรพรรดิด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ถือเป็นบุคคลต้นแบบ เป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นบุคคลผู้ที่เสียสละของโลก
และก็กัปประเภทที่ ๒ ก็คือ อสุญญกัป จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น และก็ยังมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า มีพระอรหันต์สาวก และมีพระเจ้าจักรพรรดิด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวไว้ว่า ช่วงอสุญญกัปคือ กัปที่ไม่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่นรกจะร้าง สวรรค์จะเนืองแน่นไปด้วยผู้มีบุญที่ได้ทำทาน ได้รักษาศีล
ได้เจริญสมาธิ ได้เจริญภาวนา เป็นผู้อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อสุญญกัป จึงนับว่าเป็นมหากัปที่เกิดขึ้นได้ยาก
แล้วอสุญญกัปนี้ มีอยู่ ๕ ประเภท
ประเภทแรก สารกัป กัปที่มีแก่นสาร กัปนั้นจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเพียงพระองค์เดียว
กัปที่ ๒ มัณฑกัปคือ กัปที่ผ่องใส กัปนั้นจะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น ๒ พระองค์
อย่างที่ ๓ วรกัปคือ กัปที่ประเสริฐ จะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ ๓ พระองค์
และประเภทที่ ๔ คือ สารมัณฑกัป กัปที่มีแก่นสารและก็ผ่องใส จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๔ พระองค์
และก็อย่างที่ ๕ ก็คือภัทรกัป จะมีพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ ก็คือ ภัทรกัป คือ กัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ และองค์ปัจจุบัน คือ องค์ที่ ๔ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมเรา และก็ในอนาคตคือ พระศรีอริยเมตไตรย
ในทรรศนะของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือว่าพระพุทธเจ้าก็คือ เป็นมนุษย์ เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นเทพ เป็นเทวดาอะไร แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน จึงทรงพบหนทางที่จะดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง จึงชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ และก็ทรงเผยแผ่หนทางนั้นให้กับเวไนยสัตว์ จึงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธ์ปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใด ๆ ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องทำความดีคือ สร้างบารมีมาในชาติก่อน ๆ นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า และที่สำคัญยิ่ง มหากัปที่ว่าเป็นอสุญญกัปนี้ จะมีพืชพรรณไม้ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงกำเนิดของโลก ตรงนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอัคคัญญสูตรว่าด้วยเรื่องราวของการเกิดขึ้นของโลก ของจักรวาล
ในอัคคัญญสูตร ท่านอธิบายว่า ในช่วงที่โลกเกิดขึ้นใหม่ ๆ จะมีพืชพันธุ์ต้นไม้เกิดขึ้น ชนิดแรก คือ ดอกบัว ดอกบัวถือเป็นความเหมือน ๆ กันของหลาย ๆ ศาสนา อย่างเช่น ศาสนาเชนก็มีดอกบัว ศาสนาพราหมณ์ก็มีดอกบัว ศาสนาเต๋าก็มีดอกบัว เป็นเครื่องที่เป็นสากลว่า ดอกบัวนี้เป็นสิ่งที่เป็นสากลของโลก เค้ายกให้เป็นยอดแห่งพืชพรรณ และในอัคคัญญสูตรท่านก็กล่าวว่า ดอกบัวเป็นพืชพันธุ์แรกของโลกที่เกิดขึ้น ตอนที่โลกเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ เรียกว่าเป็นต้นไม้ต้นกัป ต้นบัวที่อยู่ในต้นกัปท่านบอกว่า เป็นต้นไม้ยืนต้น แล้วมีก้าน ๆ เดียว ถ้าหากกัปไหนมีพระพุทธเจ้า ๑ องค์ ก็จะมีดอก ๑ ดอก ถ้ามี ๒ องค์ ก็มี ๒ ดอก ถ้ามี ๕ องค์ ก็มี ๕ ดอก ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า จะไม่มีดอก มีแต่ต้นกับใบ เพราะฉะนั้น ตรงที่ดอกบัวเกิดขึ้นครั้งแรก ท่านเรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน หรือว่าใจกลางโลก อยู่ตรงบริเวณที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงนั้นก็คือ ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ที่พุทธคยาในปัจจุบัน ตรงนั้นเรียกว่าศีรษะปฐพี หรือว่า ศีรษะแผ่นดิน
เวลาที่โลก ที่พระพุทธศาสนาจะหมดสิ้นไปจากโลก ก็มีปรากฏว่า ตอนสุดท้ายเรียกว่า ธาตุอันตรธาน คือ พระบรมสารีริกธาตุทั่วจักรวาลของพระพุทธเจ้า จะไปรวมร่างกันเป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วก็ไฟอันเป็นทิพย์ จะเผาสลายร่าง
เผาสลายพระบรมสารีริกธาตุ จนกลายเป็นอากาศธาตุคือ ความว่างเปล่า เป็นเครื่องหมายว่า พระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดสิ้นไปจากโลก ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐๐ ท่านว่าไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศีรษะแผ่นดิน หรือศีรษะปฐพี
จึงเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ในภัทรกัปนี้ แตกต่างกันที่ต้นไม้ตรัสรู้
พระพุทธเจ้า มีอยู่ ๓ ประเภท คือผู้ที่ได้สั่งสมบารมีมาแตกต่างกันออกไป และก็จะมาตรัสรู้ ณ สถานที่ ๆ เรียกว่า ศีรษะแผ่นดินนั้นแหละ ตรงดอกบัวที่เกิดขึ้นมา ถ้าหากเป็นอสุญญกัป จะมีดอกบัวดังที่ได้อธิบายไว้ แล้วท้าวมหาพรหม เหล่าพรหมที่อยู่ชั้น
สูง ๆ ท่านก็จะลงมาดู มาตรวจดู แล้วก็นำเครื่องอัฐบริขารที่อยู่ในดอกบัวนั้นไปเก็บไว้ยังพรหมโลก พอถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวช หรือเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ท้าวมหาพรหมก็จะเป็นผู้นำเครื่องอัฐบริขารอันนี้แหละมาถวาย ในวันที่ออกบวช อย่างเช่น ตามประวัติของพระพุทธเจ้าของเราที่พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ คือเสด็จออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ฆฏิการพรหมก็นำเครื่องอัฐบริขารที่อยู่ในพรหมโลก ก็คือที่อยู่ในดอกบัวนี้แหละนำมาถวายพระพุทธเจ้า นำมาถวายพระโพธิสัตว์
ในวันที่ออกบวช ในวันที่อธิษฐานเพศบรรพชา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกคือปัญญาธิกะพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสม อบรมบารมีมา เด่นในด้านของปัญญา สร้างบารมีมา ๒๐ อสงไขย กับ ๑ แสนกัป อย่างเช่น พระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ประเภทที่ ๒ สัทธาธิกะ คือ มีปัญญาปานกลาง
มากด้วยความศรัทธา ใช้ศรัทธานำหน้า สร้างบารมีอีก ๑ เท่า ก็คือ ๔๐ อสงไขยกับ
๑ แสนกัป ประเภทที่ ๓ วิริยาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้ความเพียรอย่างแรงกล้า
ในการสร้างบารมี ก็เพิ่มมาอีก ๑ เท่า ก็คือ ๘๐ อสงไขยกับ ๑ แสนกัป อย่างเช่น
พระศรีอริยเมตไตรย เป็นต้น พระพุทธเจ้าจึงมี ๓ ประเภทดังที่ได้อธิบายไว้ และก็ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ ท่านก็อธิบายถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มี
องค์เดียว อดีตก็มีมา อนาคตก็จะมีต่อ ๆ ไป มีต่อ ๆ ไป จึงเป็นเครื่องชี้ชัดว่า เราในสังสารวัฏนี้ เราเคยเกิดเคยเจอพระพุทธเจ้ากี่องค์ แล้วบางทีก็เฉียดไป เฉียดมา
ด้วยความที่ไม่ได้เป็นเวไนยสัตว์ ด้วยความที่เป็นผู้บารมียังไม่แก่กล้า
ในอนาคตวงศ์ ท่านได้อธิบายว่า พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑๐ พระองค์ องค์ต่อไปจากนี้ คือ พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านก็มาเกิด แล้วก็บวชกับพระพุทธเจ้าด้วย นามว่า อชิตะภิกษุ จะมาตรัสรู้ที่ต้นกากะทิง มีพระชนมายุ ๘ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก ท่านว่าไว้อย่างนั้น ยิ่งสร้างบารมีนาน อายุก็ยาว กายก็สูงตามบารมีที่สร้าง
องค์ที่ ๒ ถัดไปจากนี้ คือ พระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาตรัสรู้ที่ต้นไม้แก่นจันทร์ พระชนมายุ ๙ หมื่นปี พระกายสูง ๘๐ ศอก
องค์ที่ ๓ คือ พระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรา คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล มีปรากฏอยู่ มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นพระราชาที่ปกครองเมืองสาวัตถี เมืองที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษานานที่สุด ๒๕ พรรษา ในเมืองสาวัตถี จะมาตรัสรู้ที่ใต้โคนต้นกากะทิง พระชนมายุได้ ๕ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๖๐ ศอก
องค์ที่ ๔ ต่อจากนี้ไป ก็คือ พระธรรมสามีสัมพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าของเรา ก็คือ พระพญาวสวัตตีมาร พญามารที่มารบกวน มาผจญพระพุทธเจ้าในเวลาตรัสรู้ กว่าที่ท่านจะมากลับใจได้ก็ตอนที่ถูกพระอุปคุตเถระทรมาน จนกระทั่งท่านระลึกถึงพุทธภูมิของท่านได้ ท่านก็จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ต่อจากนี้ไป จะมาตรัสรู้ที่ใต้ต้นสาละใหญ่ มี พระชนมายุ ๑ แสนพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก
องค์ที่ ๕ ต่อจากนี้ไป ก็คือ พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล ก็คือ
อสุรินทราหู พระราหูที่มีร่างกายใหญ่โต ตรัสรู้ที่ไม้จันทน์
องค์ที่ ๖ จากนี้คือ พระรังสีมุนีพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าเราคือ โสณะพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้เลียบ
องค์ที่ ๗ คือ พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ สุภพราหมณ์ จะตรัสรู้ใต้ต้นจำปา
องค์ที่ ๘ จากนี้คือ พระนรสีหสัมพุทธเจ้า สมัยพระพุทธกาลคือ โตไทยพราหมณ์ จะมาตรัสรู้ที่ใต้ต้นแคฝอย
และก็องค์ที่ ๙ พระติสสะสัมพุทธเจ้า ในสมัยพระพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลก็คือ ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีที่พระเทวทัตปล่อยช้างตัวนี้ที่จะมาทำร้ายพระพุทธเจ้า จนกระทั่งได้พระพุทธเจ้าโปรด แล้วก็กลับจิตกลับใจ ระลึกถึงพุทธภูมิของท่านได้
และองค์ที่ ๑๐ ก็คือ พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลก็คือ ช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้ที่ใต้ต้นไม้กากะทิง ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราคือ ช้างปาลิไลยกะ
ในสมัยพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงสร้างบารมี
มายาวนาน ๒๐ อสงไขย ที่เล่าเป็นประจำก็คือ ตั้งแต่ชาติแรกที่พระองค์สร้างบารมี เป็นบุคคลธรรมดา ไปค้าขายทางเรือ แล้วเรือแตก ท่านพาแม่ไปด้วย แบกแม่ไว้บนบ่าว่ายน้ำข้ามมาถึงฝั่ง แล้วท่านก็ปรารถนาที่จะช่วยคนหรือสัตว์ทั้งหลายให้ออกจากวัฏสงสาร ให้พ้นจากทะเลทุกข์ เหมือนกับที่ท่านพาแม่ข้ามทะเล ข้ามฝั่งแห่งมหาสมุทรได้ ท่านจึงตั้งใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต เพราะว่าบุคคลผู้ที่จะสามารถช่วยเหลือ ช่วยบุคคลผู้ที่จะข้ามฝั่งแห่งทะเลทุกข์ได้ ไม่ใช่คนธรรมดา มีแต่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าเท่านั้น ทุกภพทุกชาติท่านสร้างบารมี ท่านก็ไม่ได้สร้างที่จะมาเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นราชา มหากษัตริย์อะไร แต่สร้างเพื่อที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต คิดไว้ในใจอย่างเดียวถึง ๗ อสงไขย “จิตติตัง จิตตสังเขยยัง” จากนั้นจึงกล้าเปล่งออกมาทางวาจา เวลาทำกุศล ทำความดีทุกครั้ง ก็กรวดน้ำลงดิน
ก็ขอให้สำเร็จแก่สัมมาสัมโพธิญาณอย่างเดียว ไม่ได้ปรารถนาอย่างอื่นเลย พูดออกมาทางวาจาถึง ๙ อสงไขย “นวะสัง เขยยะ วาจะกัง”
จากนั้นในชาติที่ท่านได้สร้างบารมีมาครบ ๑๖ อสงไขย ในชาตินั้นท่านเกิดเป็น
สุเมธะ เกิดในตระกูลของเศรษฐี ได้รับทรัพย์มรดกจากครอบครัวของบิดามารดาที่
ตกทอดกันมานานถึง ๗ ชั่วอายุคน สั่งสมไว้มากมาย แล้วท่านก็คิดว่า ทรัพย์มากมายมหาศาลขนาดนี้ ซึ่งเป็นของพ่อ ของปู่ ของทวด ของทด ๆ ถึง ๗ ชั่วอายุคน แต่ท่านเหล่านั้นไม่เห็นมีใครแม้แต่คนเดียวที่นำติดตัวไปได้ ต่างล้มหายตายจากแล้วทิ้งสมบัติเหล่านี้เอาไว้ บางคนหาเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็ไม่ได้เอาติดตัวไปได้สักบาทเดียว จนกระทั่งตกทอดมาถึงเรา จึงเกิดความสลดสังเวช ก็เลยเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปบริจาค นำเสียสละออกหมดเลย แล้วบวชเป็นฤๅษี บำเพ็ญพรตอยู่ในป่า จนกระทั่งได้อภิญญา ได้สมาบัติ ๘ ในสมัยนั้น เป็นช่วงที่พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติเกิดขึ้นในโลก ท่านก็เห็นคนทั้งหลาย กำลังปรับพื้นที่ ทำพื้นที่ ที่จะรอต้อนรับพระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จมา ในขณะที่สุเมธดาบสกำลังปรับพื้นที่ แผ้วถางทาง ถากถางทาง ถมที่ที่มันลุ่ม ๆ ดอน ๆ ถวายพระพุทธเจ้า ส่วนของท่านยังไม่เสร็จ พระทีปังกรพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุบริวารเป็นแสนรูปเสด็จมาถึง สุเมธนาท่านดาบสท่านก็เสียสละร่างกายของท่าน นอนราบลงบนแผ่นดิน ถวายร่างกาย ถอดร่างกายให้เป็นสะพาน
เมื่อพระทีปังกรพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้จะถึง ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า
เราปรารถนาจะเป็นอย่างพระทีปังกรพุทธเจ้า บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ และ
พามหาชนข้ามสงสารสาครไปด้วยกัน ท่านสุเมธดาบสเห็นพุทธลีลาของพระพุทธเจ้า
ทีปังกร ก็เกิดความชื่นชมโสมนัส เมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ก็เสด็จยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของท่าน แล้วพระองค์ก็เห็นว่า ดาบสผู้นี้เป็นผู้ที่สั่งสมบรมบารมี
มาอย่างยาวนาน สามารถที่จะบรรลุธรรมด้วยการฟังธรรมเพียงแค่ ๔ บาท คือ ๒ บรรทัดเท่านั้น เพราะว่าบารมีท่านสร้างมาขนาดนี้ ถ้าจะเป็นพระอรหันต์ฟังธรรมนิดเดียว ก็ตรัสรู้เลย บรรลุธรรมเลย แต่ว่าท่านผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ที่บารมีเต็ม จิตใจท่านแน่วแน่
ไม่แปรผัน พร้อมที่ตรัสรู้ในอนาคตอย่างแน่นอน
พระองค์เลยทรงมีพุทธพยากรณ์ตรัสออกมาว่า ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะรุ่งเรืองผู้นี้ ดาบสผู้นี้จะทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เขาสร้างสมพุทธกรกธรรม คือ ธรรมที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย ด้วยความอุตสาหะ เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่อพระโพธิญาณ มาแล้วนับจำนวนครั้งไม่ได้ ความปรารถนาของดาบสผู้นี้ จักสำเร็จในที่สุดนับจาก ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัป นับจากนี้ไป ดาบสผู้นี้จะเป็นพระพุทธเจ้า นามว่า โคตมะ คือ นามว่าโคดม จะกำเนิดเป็นพระโอรสของกษัตริย์ พระบิดานามว่าสุทโธทนะ พระพุทธมารดานามว่าสิริมหามายา
จะเสด็จอุบัติในกรุงกบิลพัสดุ์ ท่ามกลางชาวศากยะ เมื่อมีญาณแก่กล้าจะออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอันยิ่งใหญ่ รับข้าวมธุปายาสที่ใต้ต้นนิโคตร ก็คือต้นไทร เมื่อเสวยแล้วก็จะลอยถาดที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล จะตรัสรู้ที่โคนต้น
อัสสัตถะ ก็คือต้นอัสสัตถะเป็นต้นไม้ตรัสรู้ จะมีอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย นามว่าพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก มีพระเขมาเถรี และพระอุบลวรรณาเถรี เป็นคู่อัครสาวิกา จิตตคฤหบดี และหัตถาฬวกะ จะเป็นคู่อัครอุบาสก นันทมารดา (เวฬุกัณฏกี) และอุตตรา (ขุชชุตตรา) จะเป็นคู่อัครอุบาสิกา สุเมธดาบสครั้นได้รับพุทธพยากรณ์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่แน่วแน่ต่อ
การตรัสรู้ นับแต่นั้นมา ท่านก็สร้างบารมี ความเพียรของท่าน ความพยายามของท่าน
ที่ทำมาถึง ๑๖ อสงไขยนี้ไม่สูญเปล่า เพราะตอนนี้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว
ความปรารถนาของท่านจึงสำเร็จในชาตินั้น ท่านอธิบายว่า บุคคลผู้ที่จะได้รับพยากรณ์นี้ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ๘ อย่าง
อย่างแรก คือ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาไม่ได้ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสุรกายไม่ได้ เป็นพรหมก็ไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น
ประการที่สอง เป็นบุรุษเพศสมบูรณ์ ไม่เป็นผู้หญิง ไม่เป็นเพศที่สาม ต้องเป็นบุรุษเพศเท่านั้น
ประการที่ ๓ มีเหตุสมบูรณ์ ก็คือ นิสัยบารมีพร้อมที่จะบรรลุพระอรหันต์ในชาตินั้น แต่ท่านจะไม่เอาพระอรหันต์ แต่ท่านจะเอาความเป็นพระพุทธเจ้า
อย่างที่ ๔ ได้เห็นพระศาสดา คือได้เกิดทัน ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
ประการที่ ๕ บรรพชา คือถือเพศนักบวช ไม่ว่าจะเป็นฤๅษี เป็นดาบส แต่ไม่ใช่เป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
ประการที่ ๖ ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมพิเศษ คือต้องมีฌาน ต้องมีอภิญญา ต้องมีสมาบัติ
อย่างที่ ๗ ถึงพร้อมด้วยอธิการ คือในชาตินั้น ทำการเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตนให้กับผู้อื่นได้
อย่างที่ ๘ มีฉันทะ มีความพอใจ มีความอุตสาหะพยายามอย่างยิ่งใหญ่ จนเปรียบเหมือนว่ายอมแบกโลกทั้งโลก เพื่อนำตนไปสู่แดนเกษม คือพระนิพพาน เปรียบเหมือนคนที่ยอมเหยียบย่ำโลกทั้งโลกที่เต็มไปด้วยขวากหนาม เต็มไปด้วยหอกดาบ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ได้เสียสละขนาดนี้เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ จึงชื่อว่า เป็นพระโพธิสัตว์อย่างสมบูรณ์
เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าของเรามิใช่ง่าย ๆ กว่าจะได้รับพุทธพยากรณ์ หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีต่อมา อีก ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ในช่วงนั้นแหละ เป็นช่วงเวลาที่พระองค์สร้างบารมี ๑๐ ทัศ บารมี ๑๐ ประการ บารมี ๑๐ อย่าง เริ่มตั้งแต่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี และก็เมตตาบารมี
ทานบารมี คือ เสียสละ ได้ทุกอย่าง ทั้งเสียสละทรัพย์ เสียสละอวัยวะ เสียสละชีวิต เสียสละบุตรภรรยาก็ได้ เหมือนกับเทภาชนะน้ำนี้ คว่ำไปหมดขัน ไม่มีอะไรเหลืออยู่ คือเสียสละได้ทุกอย่าง
บารมีอย่างที่ ๒ คือ ศีลบารมี รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตของท่าน เหมือนกับจามรีรักษาขนหาง เหมือนนกต้อยตีวิดรักษาฟองไข่
บารมีอย่างที่ ๓คือ เนกขัมมะบารมี เป็นผู้ออกจากกาม ออกจากบ้าน ออกจากเรือน เสียสละเรือน ออกบวชจากเรือน เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน
และก็บารมีอย่างที่ ๔ บำเพ็ญปัญญาบารมี เข้าหาบัณฑิตนักปราชญ์ เพื่อไต่ถาม สร้างบารมีของตนเอง ซึ่งในชาตินั้น ท่านก็เกิดเป็นพระมโหสถบัณฑิต
อย่างที่ ๕ บำเพ็ญวิริยบารมี มีความเพียรไม่ย่อหย่อนทุกอิริยาบถ ในชาตินั้นพระองค์ก็บำเพ็ญบารมี คือเป็นพระมหาชนก
อย่างที่ ๖ บำเพ็ญขันติบารมี อดทนทั้งในคำยกย่อง ทั้งคำดูหมิ่น เหมือนกับแผ่นดิน ไม่ว่าใครจะทิ้งของสะอาด ทิ้งของสกปรก ก็รองรับได้ทั้งหมด
อย่างที่ ๗ บำเพ็ญสัจจะบารมี รักษาความจริง ไม่พูดคำเท็จทั้งที่รู้อยู่ แม้ฟ้าจะผ่าลงมา เพราะเหตุไม่พูดเท็จ ก็ไม่ยอมพูดเท็จ เหมือนอย่างดาวอโศคี เหมือนอย่างดาวนพเคราะห์ดำเนินไปในวิถีของตน เที่ยงตรง
อย่างที่ ๘ บำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือมีจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว สมาทานความดี ประพฤติความดี เด็ดเดี่ยวแน่นอนในสิ่งที่อธิษฐานไว้เหมือนกับภูเขาหิน ที่ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมที่มากระทบ
บารมีอย่างที่ ๙ ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี แผ่เมตตาไมตรีจิต ไม่คิดโกรธ ไม่คิดอาฆาตใคร มีจิตเสมอทั้งผู้ที่ให้คุณทั้งที่ผู้ให้โทษ เหมือนกับน้ำที่แผ่ความเย็นไปให้อย่างเดียวกัน ทั้งกับคนชั่วและก็คนดี
บารมีอย่างที่ ๑๐ คือ อุเบกขาบารมี วางจิตเป็นกลาง ทั้งในยามสุข ทั้งในยามทุกข์ เหมือนกับแผ่นดิน ใครจะทิ้งของสะอาด ทิ้งของสกปรกก็รองรับได้ทุกอย่าง
ทั้ง ๑๐ ประการนี้ชื่อว่า ทศบารมีคือ บารมี ๑๐ ทัศของพระพุทธเจ้า บำเพ็ญขั้นพื้นฐาน เรียกว่า บารมีธรรมดา ขั้นสูงขึ้นมา เป็นอุปบารมี แล้วก็ขั้นสูงสุด เรียกว่า เป็นปรมัตถบารมี จึงเป็นบริบูรณ์ เป็นบารมี ๓๐ ทัศ ทรงบำเพ็ญมายาวนานขนาดนี้ จนชาติสุดท้าย ที่พระองค์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดร ทรงสร้างทานบารมีอย่างเต็มที่ในชาตินั้น ทรงเสียสละทรัพย์สมบัติ เสียสละบุตรภรรยา เมื่อสิ้นชาติ สวรรคตจากพระเวสสันดร พระองค์เกิดเป็นท้าวสันดุสิตเทวราช อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต รอคอยจนกระทั่งถึงเวลา ที่จะมาเสด็จอุบัติลงในโลก
อันนี้คือเรื่องราวของการสร้างบารมีที่พระพุทธเจ้าของเรา กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า กว่าจะมาเป็นพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องง่าย ๆ ที่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจะมาบังเกิดขึ้นในโลก เพราะฉะนั้น จึงเป็นความโชคดี เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นมงคลอย่างสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย ที่เราได้เกิดมาทันในยุคที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ยังปรากฏอยู่ในโลก ยังมาปรากฏอยู่ในแผ่นดิน ทำให้พวกเราทั้งหลายได้สืบสานปณิธาน ได้สืบต่อ ได้สืบทอด ได้ต่อยอด ได้ตามรอยแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องเป็นผู้ไม่ประมาท ทำความเห็นถูกต้อง ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ตามรอยของพระอรหันต์ ตามรอยขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เดินตามรอยคนดีที่อยู่หน้า
เมื่อเราทำได้อย่างนี้ ชีวิตของเราก็จะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ จะได้สมกับเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อพระนิพพาน พวกเราจึงต้องไม่ทิ้งทาง ต้องไม่ทำตามอารมณ์ ต้องไม่ทำตามความรู้สึก ต้องไม่ทำตามความคิดของตนเอง ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการเสียสละ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าของเรา ที่ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างในการสร้างบารมีตลอดระยะเวลา ๒๐ อสงไขย ๑ แสนมหากัป ที่ได้เล่าให้พวกเราได้ฟังที่ผ่านมา ดังนั้น เราจะต้องเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า จึงจะได้ไม่เสียโอกาส
“วันเวลาผ่านไป ให้เราหยุดคิด เพียงสักนิดว่าเราจะไปไหน
ถามใจดูถามให้รู้จากภายใน ถ้าตอบได้ก็จะรู้อย่าดูนาน
เพราะเวลาไม่มีให้นานนัก หากมัวรักผูกใจหลายสถาน
เหมือนติดห่วงมัดไว้ทุกวันวาน ภพบ่วงมารร้อยรัดมัดโดยตรง
มาคนเดียวไปคนเดียวคือจริงแท้ อย่ามัวแต่มัดไว้ใจลุ่มหลง
สัจธรรมคือธรรมะของพระพุทธองค์ ยังมั่นคงมิแปรผันชั่วกาลนาน”
ให้พวกเราได้สมาทานความดี ตั้งอธิษฐานบารมี เพื่อที่จะเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นธรรมนูญของชีวิต ปฏิบัติธรรมมีความสุขในการอยู่กับธรรม มีความสุขอยู่กับการเสียสละ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ขอให้พวกเราได้มีความสุขอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกให้สบาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่แห่งหนใด มีอานาปานสติ มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท
ก็ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย และบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขอกุศลคุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญอุทิศในวันนี้ ขอกุศลในครั้งนี้ จงถึงแด่คุณแม่วรรัตน์ คำสด ถ้าหากมีทุกข์ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ หากมีสุขก็ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีความสุขในสุคติ โลกสวรรค์ มรรคผลนิพพาน ด้วยอำนาจแห่งพระสัมมาสัมพุทธะ ขอทุกท่านจงชำนะความขัดข้อง ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมอันเรืองรอง อย่าได้พ้องผ่านหมู่ศัตรูมาร ด้วยอำนาจแห่งพระอริยสงฆ์ ขอทุกท่านจงเป็นสุขทุกสถาน อันตรายใด ๆ ไม่แผ้วพาน พระสัทธรรมอภิบาล ถึงมรรคผลพระนิพพานทุกท่านเทอญ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.