การประพฤติพรหมจรรย์เพื่อจะบรรลุถึงนิพพาน
คืออยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ยกหูชูหาง
การบวชคือการออกไปอยู่อย่างต่ำต้อย อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร. นี่ถ้ามันเป็นเรื่องของคนบวชชั่วคราว เช่น ลาบวช ๓ เดือนอย่างนี้ มันก็กลายเป็นการไปฝึกและไปทดลอง. นี่ใครบวช ๓ เดือน หรือไม่ถึง ๓ เดือนก็ลองฟังข้อนี้ดูบ้าง ว่าถ้าอย่าให้โง่ อย่าให้ตกเป็นความโง่ แล้วก็ขอให้ถือว่า การบวชชั่วคราวนี้ ออกไปฝึก ออกไปทดลองการเป็นอยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ต้องใช้เงินและเป็นอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร เป็นอยู่ในลักษณะของคนขอทาน เรียกว่ามีชีวิตที่ต่ำต้อย ลองดูว่ามันจะอยู่ได้ไหม ? ทำไมจึงกลัวกันนัก ? แล้วก็อยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนี่ก็เพื่อให้รู้ว่า มันอยู่ได้ไหม ทำไมจึงกลัวกันนัก ?
นักบวชทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นในพุทธศาสนาหรือนอกพุทธศาสนาก็ตาม ล้วนแต่มีความเป็นอยู่ที่ต่ำต้อย คือระดับขอทานเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอาหารซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะได้มาอย่างไร. ที่ไปไกลกว่านั้น ก็คือไปอยู่ในป่า กินใบไม้ กินผลไม้ กินรากไม้ กินฝักบัว แล้วแต่ว่าฤดูไหนมันจะมีอะไรให้กิน นี่ก็เรียกว่าอยู่อย่างต่ำต้อย. การกินอาหารก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี ยารักษาโรคก็ดี ล้วนแต่อยู่ในระดับที่ต่ำต้อยไปทั้งนั้น ; เราก็เรียกว่าไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย. อย่างภิกษุนี้ควรจะมีแต่จีวรกับบาตรเท่านั้นเหมือนกับที่ได้ทรงเปรียบโดยอุปมาว่า มันมีแต่ปีกเป็นทรัพย์สมบัติเป็นภาระ ; ภิกษุก็ควรจะเป็นอย่างนั้น มีแต่บาตรและจีวรเท่าที่จำเป็น เป็นภาระติดตัว ก็มีเพียงเท่านั้น.
การอยู่อย่างนั้นมีความจำเป็นมาก สำหรับการประพฤติพรหมจรรย์เพื่อจะบรรลุถึงนิพพาน คืออยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ยกหูชูหาง นี่มันก็ดีมากอยู่แล้ว ถ้าไม่คิดอยู่อย่างต่ำต้อย มันก็คิดจะยกหูชูหาง. จะต้องอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ มันจึงไม่มีการสะสมสมบัติ มันก็ไม่เป็นการบวชเลย ไม่ต้องมีใครมาบอก มาด่า มาว่า มันไม่เป็นของมันเอง เพราะว่าการบวชนั้นมีหลักเกณฑ์อย่างนี้.
จากหนังสือบวชทำไม ? (น.๑๑)
พุทธทาสภิกขุ
พระราเชนท์ อาจริยวํโส
รวบรวม