"...หิริและโอตตัปปะ
นี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับที่จะต้องมีในโลก
โลกอยู่ได้เพราะธรรมะนี้..."
ถ้าเด็กๆ มีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมะ อย่างนี้ ก็เรียกว่า เรามีการศึกษาอย่างใหม่ อันใหม่ ที่ตรงกันข้ามจากสิ่งที่กำลังเป็นอยู่. แต่ถ้าเราว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว ; ไม่มีธรรมะอะไรใหม่, ธรรมะนั้นไม่รู้จักใหม่ ไม่รู้จักเก่า เป็นของอย่างนั้นเอง. นี้ละเลยกันเสียนาน จนกลายเป็นเหมือนกับว่า เป็นของใหม่ อย่างนี้เป็นต้น.
นี้คือการศึกษาใหม่ สำหรับยุคที่กำลังจะพินาศ ; จะต้องศึกษาให้มันตรงกันข้าม จากที่กำลังเป็นอยู่ หรือก้าวหน้า ; ไม่ต่างก้นวัตถุนิยม. ทำให้มีหิริโอตตัปปะ และธรรมะอื่นๆ ที่จำเป็น ที่โลกจะต้องมี.
สำหรับ หิริและโอตตัปปะ นี้ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับที่จะต้องมีในโลก โลกอยู่ได้เพราะธรรมะนี้ ไม่ใช่อยู่ได้เพราะกฎหมาย เพราะอาชญา หรือเพราะการหลอกการลวง การจ้าง การอะไรกัน อย่างอื่น ; นั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวง
มันเป็นผลจากการที่บรรพบุรุษเขาทำไว้ดี คนในโลกนี้จึงยังมีหิริและโอตตัปปะ อยู่บ้าง ก็เลยคุ้มครองโลกมาโดยไม่รู้สึกตัว ; แล้วคนเวลานี้ก็อวดดีว่าเราอยู่ได้ตามความรู้สึกสามัญสำนึกของเรา มันก็ถูกต้อง ทำโลกให้สงบรำงับอยู่.
แต่ที่จริงตลอดเวลาที่โลกมีความสงบรำงับนั้น มันหมายความว่า มีสิ่งที่เรียกว่า หิริ และ โอตตัปปะ ที่บรรพบุรุษเคยมีอยู่ในสายเลือด ทำสืบๆ ต่อกันมาถ่ายทอดกันมา เป็นเครื่องช่วยให้โลกนี้เยือกเย็น ; เพิ่งจะมาหายไปๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง ก็เลยต้องหันหลังกลับไปใหม่ อย่างที่เรียกว่า "ถอยหลังเข้าคลอง". เดี๋ยวนี้ทำกันไปจนออกนอกคลองแล้ว เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ เถลไถลออกไปนอกคลองแล้วก็ต้องถอยหลังกันเสียที ให้ลงคลอง, คือให้ลงล่องลงรอย ; แล้วจะเดินไปตามคลอง คือโลกนี้จะไปสู่ความสงบสุข หรือสันติ.
จากหนังสือเมื่อธรรมครองโลก (น.๒๔๑)
พุทธทาสภิกขุ