ถ้าใจเราเป็นอย่างมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์
สุขบ้างทุกข์บ้าง อาบเหงื่อต่างน้ำไปบ้าง อย่างนี้มันก็เป็นมนุษย์
ในสภาวะของความเป็นคน เป็นทุคติก็ได้ เป็นสุคติก็ได้ เป็นทุคติมีอยู่ ๔ อย่าง เป็นสุคติมีอยู่ ๔ อย่าง นี่พูดให้ฟังง่ายๆ
เป็นทุคติคือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรกความร้อนใจ เมื่อไรคุณร้อนใจ เมื่อนั้นคุณก็เป็นสัตว์นรก นี่พูดแบบเด็กๆ เมื่อไรคุณหิวกระหายทางจิตทางวิญญาณเมื่อนั้นคุณก็เป็นเปรต เมื่อไรคุณโง่อย่างไม่น่าโง่ มีความโง่อย่างไม่น่าโง่ เมื่อนั้นคุณก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ในร่างของคนนี้ คุณก็เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ ทีนี้เมื่อไรคุณขี้ขลาดไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นคุณก็เป็นอสุรกาย นี่คนๆหนึ่งเป็นนรกก็ได้ เป็นเดรัจฉานก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ และเมื่อไรก็ได้แล้วแต่ว่าคนนั้นมันอยู่ในสภาพอย่างไร มันรู้ธรรมะหรือไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กันเสียเลย อย่างนี้มันก็มีโอกาสที่จะเป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ง่วนอยู่ที่นั้น กลับไปกลับมาอยู่ที่นั่น นี่ทุคติ ๔ อย่างนี้เป็นของง่ายดายสำหรับคนๆ นั้น ฉะนั้น ในวันหนึ่งเขาเป็นครบทั้งนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ก็ได้ แล้วแต่จิตใจมันไปอย่างไร จิตใจมันเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น
ในทางสุคติ บางคราวก็เป็นมนุษย์ บางคราวก็เป็นเทวดากามาวจร บางคราวเป็นเทวดารูปาวจร บางคราวเป็นเทวดาอรูปาวจร พูดอย่างชาวบ้านเขาก็พูดว่าเป็นมนุษย์ก็ได้ เป็นเทวดาในสวรรค์ เป็นรูปพรหม และเป็นอรูปพรหม ๔ อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นสุคติ ถ้าใจเราเป็นอย่างมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ สุขบ้างทุกข์บ้าง อาบเหงื่อต่างน้ำไปบ้าง อย่างนี้มันก็เป็นมนุษย์ เมื่อใดสบายใจ ได้แต่เล่นแต่หัวตลอดวันตลอดชั่วโมง นี้ก็เป็นเทวดาไป หรือเมื่อใดมีความสงบอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุบริสุทธิ์ มันก็เป็นรูปพรหมไปบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะมี ถ้ามีความสงบอยู่ด้วยนามธรรมบริสุทธิ์เช่นความว่างเปล่าเป็นต้น ก็เรียกว่าเป็นอรูปพรหมไปบ้าง
สันทัสเสตัพพธรรม (น.๓๕๔)
พุทธทาสภิกฺขุ