"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม : ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต : ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"
เรายังไม่เคยพบเลยว่า มีสูตรใดบ้าง นอกจากสูตรนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงนำเอาข้อความเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาสาธยายเล่น ตามลำพังพระองค์ เหมือนคนสมัยนี้ ฮัมเพลงบางเพลงเล่นอยู่คนเดียว เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องที่มีเกียรติสูงสุด ด้วยเหตุผล กล่าวคือ ถึงกับทรงนำมาสาธยายเล่น ในยามว่างลำพังพระองค์ ๑ ทรงกำชับให้ภิกษุเล่าเรียน ๑ ทรงบัญญัติว่าเรื่องนี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ ๑
ดังที่ปรากฏอยู่ในข้อความแห่งสูตรนี้แล้ว และทรงตีค่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทเท่ากับพระองค์เอง โดยตรัสว่า "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท" (มหาหัตถิปโทปมสูตร ๑๒/๓๕๙/๓๔๖) ซึ่งเทียบกันได้กับพุทธภาษิตในขันธวารวรรค สังยุตตนิกาย ว่า
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต : ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม" (๑๗/๑๔๗/๒๑๖) ๑ ดังนั้นจึงถือว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องที่มีเกียรติสูงสุด สมแก่การที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่กลับเป็นเรื่องที่มีผู้สนใจน้อยที่สุด ดังนั้นจึงเอาข้อความแห่งสูตรข้างบนนี้มาอ้างไว้ ในหนังสือเล่มนี้ถึง ๕ แห่งด้วยกัน โดยหัวข้อว่า " ทรงแนะนำอย่างยิ่งให้ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท" และว่า "ปฏิจจสมุปบาท มีเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ" , "ตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาท คือเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์" , "ทรงกำชับสาวกให้เล่าเรียนปฏิจจสมุปบาท" , "แม้พระองค์ก็ทรงสาธยายปฏิจจสมุปบาท"
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ (น.๘๑๑)
พุทธทาสภิกฺขุ