ทุกข์ทั้งปวงมันเกิดมาจากอวิชชาสัมผัส สัมผัสลงไปด้วยความโง่ก็เกิดกิเลสเป็นทุกข์
คนโง่ที่ยังไม่รู้ ที่ตะเกียกตะกายชะเง้อหาเอาพระนิพพานมาเป็นของตน มันก็เป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่ได้ผลอะไร ถ้าขืนไปทำมันก็ตายเปล่า จะลุถึงความสงบ ไม่ปรุงแต่ง เยือกเย็นเป็นนิพพานไม่ได้ ถ้าความรู้สึกว่าตัวตนมันยังเหลือ นี้เรียกว่า เพราะขาดความรู้เรื่องนี้ ขาดความรู้ เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ มันจึงทำผิด ทำผิดหมดทุกเวลา เมื่อมีอะไรเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันก็ทำผิดหมด เพราะมันขาดความรู้เรื่องนี้ พอมันมีผัสสะต่อสิ่งเหล่านั้นมันก็โง่ มันก็ทำผิดหมด หลงรักในเวทนานั้น เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ เกิดทุกข์
ถ้าอยู่ด้วยสติปัญญาสูงสุด มีอะไรมากระทบผัสสะ ก็ไม่ยึดถือเอาผัสสะและเวทนาปรุงให้เป็นตัณหาอุปาทาน ฉะนั้น เราเรียกว่ามันป้องกันสิ่งเลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้น เมื่อมีสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกข์ทั้งปวงมันเกิดมาจากอวิชชาสัมผัส เรียกว่าสัมผัสด้วยอวิชชา สัมผัสด้วยความโง่ ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธัมมารมณ์ สัมผัสลงไปด้วยความโง่ก็เกิดกิเลสเป็นทุกข์ ถ้าสัมผัสสิ่งทั้งปวงที่เข้ามาถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วยวิชชาด้วยปัญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า มันเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น มันจะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา
สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
ธรรมโฆษณ์ : พุทธทาสภิกขุ