ถ้าพอจิตว่างแล้ว การงานเป็นสุข
ถ้าพอจิตวุ่นแล้ว การงานเป็นทุกข์
ความว่างที่เป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่ฆราวาสตลอดกาลนานนั้น มันมีความหมายตรงที่ว่า ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกู แต่เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา รู้จักหน้าที่ ที่จะต้องทำ และทำหน้าที่นั้นด้วยความเป็นสุขสบาย
ผมพูดว่า "ถ้าพอจิตว่างแล้ว การงานเป็นสุข ถ้าพอจิตวุ่นแล้ว การงานเป็นทุกข์" ไม่ค่อยมีใครจะยอมฟัง ถ้าจิตเราวุ่นวายด้วยตัวกู-ของกูนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นสุขเลย การงานก็เบื่อระอาไปหมด ถึงทำงานก็ทำเพราะความจำเป็น อย่างนี้มันก็ไม่มีความสุข มันทำงานด้วยความโลภบังคับชักชวน ชักจูง มันก็ไม่มีความสุข ต่อเมื่อทำงานด้วยจิตที่ว่างจากกิเลสนั่นแหละ มันจึงจะมีความสุข ใจคอสบาย จิตใจโปร่ง จิตใจปกติ จึงจะทำการงานรู้สึกสนุก บางทีทำให้ผู้อื่น ไม่เอาเองเลย ก็ยังสนุก หรือว่าสิ่งที่มันไม่สนุก สกปรกบ้าง ไม่สวยงามอะไรบ้าง มันก็ยังทำสนุก ขอให้จิตว่างโปร่งสบาย ทำอะไรได้ด้วยความรู้สึกพอใจ
ฉะนั้น ฆราวาสที่มีความรู้เรื่องสุญญตาคือความว่างนี้ ก็เป็นฆราวาสที่มีเครื่องรับประกัน ว่าจะไม่ตกนรกทั้งเป็น จะเป็นอยู่ด้วยใจคอที่สบาย ไม่มีความทุกข์ ทุกข์ไม่เป็น จะได้มาก็หัวเราะเยาะได้ จะเสียไปก็หัวเราะเยาะได้ ถ้ามีความรู้เรื่องนี้จริงๆ งานที่ทำมานั้นมันได้กำไร ก็หัวเราะเยาะได้ หรืองานที่ทำนั้นขาดทุน ก็หัวเราะเยาะได้ มีสติปัญญาอยู่เรื่อย ไม่มีตัวกู-ของกู ที่จะไปเสียใจ ที่จะไปโกรธหรือไปอะไร จะเจ็บไข้ก็หัวเราะเยาะได้ จะต้องตายก็หัวเราะเยาะได้ จะร่ำรวยสบายก็ยังหัวเราะเยาะได้ คือไม่หลงใหล เรียกว่าไม่มีความหลงใหลเลยสำหรับผู้ที่มีจิตว่าง ตามแบบที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า
๐ พุทธทาสภิกขุ : ฆราวาสธรรม (น.234)