ชีวิตของคนเรามักมีเรื่องกระทบใจหรือมีการกระทบกระทั่งกันเนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนบ้านเรือนเคียง ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาในที่ทำงาน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความรุ่มร้อนในจิตใจ เปรียบไปไม่ต่างจากการเดินอยู่ในที่โล่งกว้าง แดดแรงกล้า แต่เราคงไม่อยากถูกแดดแผดเผาจนเกรียมใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร ก็ต้องหาร่มมาบังแดดหรือไม่ก็หลบมาอยู่ใต้ร่มไม้
กายหายร้อนได้เพราะร่มเงา ส่วนใจนั้น จะหายร้อนได้ก็ต้องอาศัยร่มธรรม อาทิ สติ สมาธิ สัมปชัญญะ สิ่งเหล่านี้สามารถปกป้องใจจากอารมณ์ที่ร้อนแรงได้ ร่มไม้นั้นมีอยู่เป็นที่ๆ ถ้าอยู่ในเมืองก็หาร่มไม้ยากสักหน่อย จะพบได้ง่ายก็ต้องเข้าสวนหรือเข้าป่า ส่วนร่มธรรมแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่สามารถพบได้ในใจเรา เมื่อพบแล้วก็จะตามเราไปทุกที่
มีหลายคนที่ช่วยให้คนอื่นมีความสุข แต่ใจของตนกลับมีความทุกข์ เต็มไปด้วยความเครียด ความวิตกกังวล ความหนักอกหนักใจ เปรียบไปก็คล้ายๆ กับพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ พัดลมทำความเย็นให้กับผู้คนรอบตัว แต่ตัวมันเองกลับร้อน เมื่อร้อนแล้วก็ต้องระบายความร้อนใส่คนที่อยู่ใกล้ๆ
หลายคนพยายามให้ความสุขกับผู้คน แต่ตัวเองกลับทุกข์ร้อน เสร็จแล้วก็อดไม่ได้ที่จะระบายความทุกข์ใส่คนรอบข้าง จนนำไปสู่การกระทบกระทั่งกัน กระทบกระทั่งด้วยคำพูด อารมณ์ สายตา และท่าที การกลับมาทำให้ตัวเองมีความสุขใจมีความเย็นใจถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อทำประโยชน์ท่านมากแล้วก็ต้องรู้จักทำประโยชน์ตนด้วย ทำให้ผู้อื่นมีความสุขแล้วก็ควรทำให้ตัวเองมีความสุขด้วย สุขที่ว่านี้คือสุขใจ
เราสร้างความสุขให้กับผู้อื่นผ่านการงาน แต่สามารถสร้างความสุขให้กับตัวเองผ่านการภาวนา ถ้าทำได้ครบถ้วนก็จะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ “สงบเย็นและเป็นประโยชน์” สงบเย็นหมายถึงใจสงบเย็น เป็นประโยชน์หมายถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น สองอย่างนี้ควรไปด้วยกัน ขณะที่เราทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เราก็ควรพบความสงบเย็นในจิตใจด้วย ความสงบเย็นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการดูแลจิตใจของตนเอง นั่นก็คือนอกจากการทำกิจเพื่อผู้อื่นแล้ว เราก็ต้องทำจิตเพื่อตัวเองด้วย
ทำกิจกับทำจิตเป็นสิ่งที่ต้องทำคู่กัน การทำกิจคือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ส่วนการทำจิตคือการทำใจให้สงบเย็น หลายคนทำกิจแต่ลืมทำจิต แม้จะทำประโยชน์ให้ผู้อื่นมาก แต่ตัวเองกลับรุ่มร้อน ไม่มีความสงบเย็น เมื่อมีความรุ่มร้อนเกิดขึ้น การทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก็จะค่อยๆ ลดลงไป พอถึงจุดหนึ่งก็เกิดโทษขึ้นมาด้วยซ้ำ
หลายคนตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นจิตอาสา หรือเอ็นจีโอ พอทำไปนานๆ แทนที่จะเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เกิดโทษขึ้นมาแทนที่ เพราะไม่ได้รักษาจิตใจของตนให้สงบเย็น บางคนดูแลผู้ป่วย ทีแรกก็ดูแลด้วยความเอาใจใส่ ทำด้วยความรัก แต่พอต้องรับภาระดูแลนานเข้าก็เริ่มเครียด หงุดหงิด เวลาแนะนำคนป่วยแล้วเขาไม่ทำตาม คนดูแลก็ไม่พอใจ พอสะสมมากขึ้นถึงจุดหนึ่งก็สติแตก ต่อว่าด่าทอผู้ป่วย
มีผู้ดูแลบางคนรำคาญและหงุดหงิดพ่อที่ป่วย พ่อเรียกร้องตลอดเวลา กลางวันเรียกร้องเอาโน่นเอานี่ไม่ได้หยุดหย่อน กลางคืนก็ไม่ยอมนอน ปลุกลูกให้พลิกตัวแทบทั้งคืน พลิกตัวเสร็จไม่ทันไรก็เรียกให้หมุนเตียง เป็นอย่างนี้ทุกคืน จนลูกชายทนไม่ไหวลืมตัว สติแตก คว้าคอพ่อเขย่า ตวาดใส่ว่า “พ่อจะเอายังไงกันแน่ เรียกร้องโน่นนี่ไม่หยุดหย่อน ผมทนไม่ไหวแล้วนะ” นี่เป็นเพราะไม่รู้จักทำใจให้สงบเย็น ปล่อยให้ความเครียดความหงุดหงิดรุมเร้า พอความรุ่มร้อนเกิดขึ้นก็ส่งผลในทางกลับกัน แทนที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย กลับสร้างปัญหาหรือสร้างความทุกข์ให้เขา เมื่อคิดแต่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แต่ไม่รู้จักทำความสงบเย็นให้แก่จิตใจตนเอง สุดท้ายประโยชน์ที่มุ่งหวังให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นก็กลายเป็นโทษไปในที่สุด
การทำจิตให้สงบเย็นเป็นส่วนหนึ่งของการทำกิจ เราจะช่วยผู้อื่นหรือทำประโยชน์ให้แก่เขาได้ อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมีความสงบเย็นในจิตใจเป็นตัวรองรับสนับสนุน จะทำกิจให้ดีก็ต้องทำจิตด้วย ไม่อาจแยกจากกันได้
ความสงบเย็นในจิตใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการภาวนา สมาธิภาวนาช่วยให้เรารู้จักทำจิตได้อย่างถูกต้อง ทีแรกอาจจะต้องทำคนละช่วง แต่ถึงจุดหนึ่งเราก็สามารถทำจิตไปพร้อมกับการทำกิจได้ ระหว่างที่ทำกิจเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เราก็สามารถทำจิตเพื่อประโยชน์ตนได้ และใช้การทำจิตนั้นช่วยกำกับให้การทำกิจเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์อย่างที่ตั้งใจไว้
ที่จริงสมาธิภาวนาไม่ได้เรื่องยากอะไร เราเพียงแต่น้อมใจให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องทำอะไรนอกจากดูกายดูใจ หรือเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง ไม่ต้องใช้ความคิดให้มันยุ่งยาก บางทีเราคิดงานยังเครียดมากกว่า เพราะว่าโจทย์ยาก คิดไม่ออก แต่ภาวนานั้นไม่ต้องใช้ความคิด เพียงแค่เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น ไม่ต้องคิดอะไรใหม่ ไม่ต้องหาทางทะลุทะลวง จะว่าไปแล้วมันง่ายกว่ากันเยอะ เพราะภาวนาไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องแบกรับภาระของหน่วยงานหรือรับผิดชอบอะไร มันมีแต่เรื่องของเรา เรื่องที่เป็นปัจจุบัน เป็นเรื่องของกายและใจ ไม่ต้องทำอะไรเพียงแต่ดูมันเฉย ๆ เหมือนเรานั่งดูสายน้ำที่ไหลผ่านหน้า การนั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ไม่ยากและไม่เหน็ดเหนื่อยเลย
แต่ปัญหาเกิดขึ้นก็เพราะเราไม่ยอมดูเฉยๆ แต่มักจะเข้าไปมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายและใจ พยายามทำโน่นทำนี่กับกายและใจ เรื่องง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยาก ทำให้เหนื่อยล้า แต่การปฏิบัติที่ถูกต้อง คือแค่ดูเฉยๆ เลิกวุ่นวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจ เลิกมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ ที่มันกลายเป็นนิสัยสะสมมา สิ่งที่จะตามมาคือความสงบเย็นในจิตใจ
สมาธิภาวนามีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตจิตใจของเรา หากเราทำงานหนักมาทั้งปี เราควรให้รางวัลแก่ตัวเอง มิใช่ด้วยการไปเที่ยวเท่านั้น แต่ควรมีเวลาปลีกตัวมาภาวนาบ้าง จะได้สัมผัสกับความสงบเย็นในจิตใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทั้งความสุขส่วนตน และสามารถช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขได้ด้วย ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล