นี่เป็นเช้าวันแรกที่พวกเราได้มาค้างแรมและปฏิบัติที่กุฏิ๑๑ ถ้านับแบบคนไทยสมัยก่อนก็ถือว่าเรายังไม่ได้ขึ้นวันใหม่ จะขึ้นวันใหม่ก็ต่อเมื่อรุ่งอรุณ มีแสงเงินแสงทองจึงจะถือว่าขึ้นวันใหม่
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราได้มานอนกลางดิน ค้างแรมอยู่ในป่า ซึ่งคงจะแตกต่างจากวันก่อนๆ ที่พวกเราได้นอนสบายในห้องหับมิดชิด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกกลางเมือง แต่ตอนนี้เรามาอยู่กลางหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขา และป่า อากาศก็หนาวเย็น บรรยากาศแบบนี้คนส่วนใหญ่จะเลือกมาก็ต่อเมื่อเป็นการท่องเที่ยว เขายอมมาลำบากแบบนี้เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม เช่นที่เขาใหญ่ ภูหลวง หรือเกาะตะรุเตา หมู่เกาะอ่างทอง แล้วก็มักจะเลือกมาในช่วงเทศกาลสำคัญเช่น ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่พวกเราเลือกมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อมาเรียนรู้ดูใจของตน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญ หรือถือเป็นเรื่องน่าสนใจพอที่จะยอมลำบาก หรือนอนกลางดินกินกลางทรายอย่างนี้ได้
ที่จริงก่อนหน้านี้พวกเราก็ทำงานกันมาเยอะเตรียมงานกันมาเป็นแรมเดือน กว่าการแสดงธรรมที่พวกเราจัดเป็นงานใหญ่จะเสร็จสิ้นก็เหนื่อยกันไม่น้อย คนส่วนใหญ่เวลาทำงานใหญ่แบบนี้เสร็จสิ้นก็จะถือโอกาสให้รางวัลแก่ตัวเองด้วยการเที่ยวหรือเลี้ยงฉลอง แต่พวกเราเลือกที่จะมาปฏิบัติธรรม มาปลีกวิเวก อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งไม่สะดวกสบายเท่าไร สภาพแวดล้อมแบบนี้คนทั่วไปย่อมถือเป็นความลำบาก ทำงานเหนื่อยแล้วก็ยังมาลำบากอีก คงไม่มีใครเลือกแบบนี้ แต่พวกเราเลือกมา ซึ่งจะว่าไปนี่ก็เป็นการให้รางวัลแก่ตัวเองอย่างแท้จริง หลังจากที่เราเหนื่อยยากเพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนา เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ท่าน ให้ผู้คนได้มีโอกาสสัมผัสกับพระธรรมอันประเสริฐ ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พวกเราจะให้โอกาสอย่างนี้แก่ตัวเองบ้าง เป็นโอกาสที่เราจะได้รับธรรมะ เปิดใจของเราเพื่อค้นพบความสุข ความจริง และความดีงามอันประเสริฐ อันเป็นสิ่งมีคุณค่าอย่างมากสำหรับชีวิตของเรา
หลังจากเราได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อพระศาสนา ต่อเพื่อนพี่น้องชาวพุทธด้วยกันแล้ว เราก็ให้โอกาสตัวเองที่จะได้ค้นพบธรรมะซึ่งจะนำพาเราสู่ความสุขอันประเสริฐ และเป็นหลักประกันแห่งความดีงามของชีวิตอย่างแท้จริง การที่พวกเรามาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ชีวิตจิตใจของเรา ที่จะได้พบกับคุณค่าหลายอย่างที่อาจจะไม่ค่อยได้ประสบในชีวิตปกติของเราหรือเวลาอยู่ในเมือง อย่างแรกที่เราน่าจะได้ประสบสัมผัสก็คือความสงบสงัดของธรรมชาติ
ความสงบที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความสงบที่ปลอดจากเสียงรบกวนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสงบที่ปลอดจากสิ่งยั่วยุกระตุ้นเร้าให้จิตเกิดความฟุ้งซ่าน หรือทำให้ชีวิตวุ่นวาย จริง ๆ แล้วความสงบของที่นี่อาจไม่เท่าเวลาเราอยู่ในห้องแอร์ในเมือง ในห้องแอร์นั้นอาจจะเงียบสงบกว่าที่นี่ด้วยซ้ำ ที่นี่ยังมีเสียงลม เสียงลำธาร เสียงนก แทรกเป็นระยะ ๆ แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์มันเงียบมาก แม้กระนั้นชีวิตของเราใช่ว่าจะปลอดจากความวุ่นวาย เพราะอาจจะมีงานการที่ต้องทำ มีโทรศัพท์ที่ต้องรับ มีข่าวที่ต้องอ่านหรืออยากอ่าน และมีสิ่งที่ชวนให้เราอยากจะเข้าไปพัวพันเช่น เพลง หนัง หรือคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดึงเวลา ดึงความสนใจของเราไป นอกจากนั้นก็ยังกระตุ้นให้จิตใจเราปรุงแต่งไปต่างๆ นานา อยู่ในห้องคนเดียวแม้ไม่ได้พูดคุยกับใคร แต่ก็อาจจะติดต่อกับคนทั่วโลก และรับรู้ข่าวสารต่างๆ ซึ่งทำให้จิตใจเกิดความกังวลบ้าง เกิดอารมณ์ขุ่นมัวบ้าง จากข่าวสารบ้านเมืองก็ดี หรือจากความเห็นของผู้คนที่แสดงผ่านสื่อต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ค อีเมล์ และSMS เหล่านี้ทำให้ชีวิตในเมืองกลายเป็นวุ่นวายไปได้ แม้จะอยู่ในห้องแอร์ที่มิดชิดไม่มีเสียงรบกวนก็ตาม แต่ที่นี่ในธรรมชาติแบบนี้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณที่จะใช้ติดต่ออินเตอร์เน็ต ภารกิจการงานที่จะมาดึงความสนใจจากเราก็ไม่มี หรือไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเราได้ อีกทั้งยังไม่มีใครมารบกวนเรา ผิดกับเวลาอยู่ที่กรุงเทพ อาจมีแขกมาหา เช้า กลางวัน เย็น
แต่ที่นี่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้คนหรือแขกมารบกวนเรา เป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ อันนี้เรียกว่าเป็นความสงบสงัดที่หาได้ยากจากในเมือง แม้กระทั่งอยู่วัดก็ใช่ว่าจะสงบสงัดอย่างที่เราประสบอยู่ตอนนี้ เพราะบางทีอยู่วัด แสดงธรรมอยู่ดีๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา เพราะสัญญาณโทรศัพท์ไปถึงทุกที่จนกระทั่งผู้คนรู้สึกว่าที่ไหนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไปจากชีวิต เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ รู้สึกว่าไม่สามารถจะสื่อสารกับใครได้ และไม่มีโอกาสที่จะไปแสดงตัวตนให้ใครได้รับรู้
ความสงบสงัดอย่างนี้แหละที่จะช่วยให้จิตใจเราได้คืนสู่ความสงบภายใน สำหรับคนส่วนใหญ่ความสงบภายในจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่ากายวิเวก กายวิเวกเป็นลักษณะทางกายภาพซึ่งไม่ใช่ปลอดจากเสียงรบกวนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้าให้ร่างกายหรือชีวิตว้าวุ่นเหมือนหนูถีบจักร เช่น งานการ หนังสือหนังหา เมื่อกายวิเวกแล้วก็จะเกิดจิตวิเวกตามมา คือจิตที่สงบ จิตที่สงบก็จะนำมาซึ่งความสุข เป็นความสุขที่ประณีต เป็นความสุขที่ประเสริฐ ความสุขแบบนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเพราะเขารู้จักแต่ความสุขที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นเร้า กระตุ้นเร้าด้วยเสียงเพลง กระตุ้นเร้าด้วยรสชาติของอาหาร หรือกระตุ้นเร้าด้วยความคิดต่างๆ เช่น อ่านนิยายแล้วจิตก็ปรุงแต่งไปเกิดความเพลิดเพลิน เกิดความสนุก อันนี้คือความสุขที่คนส่วนใหญ่รู้จัก
เวลาเขาบอกว่าเขาต้องการให้ความสุขเพื่อเป็นรางวัลแก่ตัวเอง ความสุขที่เขาแสวงหาก็คือความสุขอย่างนี้ เช่นมีการเลี้ยงฉลอง ดูหนังฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ ไปเฮฮากันตามที่ต่างๆ ซึ่งมีแต่จะทำให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยอ่อน มันเป็นความสนุกแต่ไม่ใช่ความสุขอย่างแท้จริง แต่ในธรรมชาติแบบนี้ ถ้าหากว่าเราน้อมใจให้คุ้นเคยกับสถานที่ จิตใจก็จะค่อยๆ สงบ แล้วก็สงบจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความสุขที่ประเสริฐ เป็นความสุขคนละแบบกับที่ผู้คนรู้จักหรือเสาะแสวง อันเป็นความสุขที่เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจ แต่ความสุขอีกแบบหนึ่งคือความสุขที่เกิดจากใจที่สงบ และความเงียบสงัดของสถานที่นี้สามารถน้อมใจให้ได้พบกับความสงบได้ แต่ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับตัวปรับใจให้เข้ากับธรรมชาติให้ได้ก่อน
ตอนมาใหม่ๆ เราคงจะรู้สึกแปลกถิ่น แปลกที่ หรือต้องปรับตัวกับความไม่สะดวกสบาย ที่สำคัญก็คือต้องก้าวข้ามอาการที่ยังเสพติดยังติดยึดกับแสงสี หรือวิถีชีวิตที่คุ้นเคย บางคนมาจากเมืองที่วุ่นวาย พอมาอยู่ในที่แบบนี้ใหม่ๆก็อาจอยู่ลำบาก เพราะนอนก็หูอื้อ มันสงบจนได้ยินเสียงอื้ออึง หรือยังโหยหารสชาติหรือผัสสะของเมือง พอไม่มีอะไรทำก็จะรู้สึกล่องลอย ว้าวุ่นหรือเหงา บางทีก็รู้สึกง่วง อันนี้เป็นช่วงที่เราต้องผ่าน ต้องเจอ แต่ว่าเมื่อทำใจคุ้นกับธรรมชาติ ปรับตัวและกลมกลืนกับธรรมชาติได้ ใจก็จะสงบ พระเถระในสมัยพุทธกาลเวลาปลีกวิเวกมาอยู่ในป่า ท่านก็จะอุทานออกมาด้วยความสุข เพราะได้สัมผัสกับความสงบของธรรมชาติ ทำให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติมากขึ้น
ในสมัยพุทธกาลมีพระบวชใหม่บางรูปที่ยังหวนหาอาลัยชีวิตของฆราวาส หลายคนคิดถึงคู่รัก พระพุทธองค์จึงช่วยพระบวชใหม่เหล่านั้นให้หลุดจากอารมณ์ถวิลหาความสุขในเพศคฤหัสถ์ โดยพาไปสัมผัสกับธรรมชาติ พาไปป่าหิมพานต์ ให้เห็นธรรมชาติที่งดงาม จิตใจของพระใหม่เหล่านั้นก็เลยสงบ แรกๆ ก็คงจะเพลิดเพลิน หรือตื่นตาตื่นใจในความตระการตาของธรรมชาติ แต่ต่อมาก็กลายเป็นความสงบ ความสุขที่เกิดขึ้นก็ทำให้หลุดจากอารมณ์ถวิลหาคนรักได้ เรียกว่าความสุขที่ประณีตเข้ามาแทนที่
แต่จะพบความสงบแบบนี้เราก็ต้องเลือกมาอยู่แบบเรียบง่าย มาสัมผัสธรรมชาติ คนในเมืองซึ่งมีทั้งโทรศัพท์ มีทั้งวิทยุ มีอะไรต่ออะไรมากมาย ยากจะพบกับความสงบในจิตใจได้ การมาอยู่แบบนี้ยังช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตแบบซื่อๆ ตรงๆ ด้วย ความเรียบง่ายนั้นมีประโยชน์ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น จิตใจเราก็ตรง เดี๋ยวนี้ชีวิตในเมืองใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย มันทำให้เราไม่สามารถจะใช้ชีวิตอย่างซื่อๆ ตรงๆ ได้ จิตใจเราจึงพลอยยุ่งยาก ซับซ้อนไปด้วย เดี๋ยวนี้เพียงแค่จะพูดคุยกัน ยังไม่มีเวลาจะพูดคุยกันตรงๆ ต่อหน้าได้ต้องอาศัยเทคโนโลยี ต้องอาศัยโทรศัพท์มือถือ ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ต ทั้งๆ ที่บางทีอยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่สามารถพูดกันตัวต่อตัวได้ ต้องมีเครื่องเครามาเป็นตัวแทรกหรือเป็นสื่อ
การที่เราจะมีความสุขแบบง่ายๆ จึงทำไม่ได้ ความสุขกลายเป็นเรื่องยาก ต้องมีเทคโนโลยีมาปรุงมาแต่ง ชีวิตของเราสมัยนี้สูญเสียความเรียบง่ายไป สูญเสียความซื่อๆ ตรงๆ ไป การที่เราได้มาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ทำให้เรากลับคืนสู่ความเรียบง่ายมากขึ้น และได้เห็นจังหวะของธรรมชาติอย่างที่มันเป็น เห็นพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เห็นความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติ เห็นจังหวะชีวิตที่หมุนเวียนเป็นวัฏจักร ทั้งหมดนี้ล้วนแต่สอนธรรมให้เราได้ทั้งสิ้น คือสอนเรื่องอนิจจัง สอนเรื่องวัฏจักรของชีวิต แต่ละวันเราจะเห็นความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติ ของดินฟ้าอากาศ เห็นความแปรเปลี่ยนของสิ่งรอบตัว ซึ่งถ้าอยู่ในเมืองอาจมองไม่เห็นหรือไม่สังเกต บางคนอยู่แต่ในห้อง เปิดไฟตลอดจนไม่รู้กลางวัน กลางคืน อยู่กับแสงไฟจนกระทั่งไม่รู้จักและไม่เคยสัมผัสกับแสงเทียน
แสงเทียนสอนให้เราเห็นเรื่องอนิจจังได้เยอะ เห็นความเกิดดับ เห็นความแปรเปลี่ยน ถ้าเราน้อมใจของเราให้ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ปรุงแต่ง ไม่ซับซ้อน เราก็จะสัมผัสกับความเป็นอนิจจังของสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ชัดขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเปิดใจให้รับรู้ธรรมะที่ปรากฏตัวอยู่ตลอดเวลา อนิจจังเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่คนเรามักจะมองข้าม พอเราอยู่กับสิ่งปรุงแต่งแล้ว ความเป็นอนิจจังของชีวิต ของธรรมชาติก็ค่อยๆ เลือนหายไป หรือไม่อยู่ในความรับรู้เท่าใด
เมื่อเรากลับมาอยู่กับธรรมชาติ ก็จะได้เห็นความจริงของชีวิต ซึ่งที่จริงก็แสดงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ชีวิตจิตใจของเราซับซ้อนจนกระทั่งไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมีเทคโนโลยีมาขวางกั้น เมื่อเรามาอยู่ที่นี่แล้วก็ขอให้เปิดใจสัมผัสรับรู้ธรรมชาติ วางกิจการงานต่างๆ ลง พวกเราแต่ละคนมีงานการเยอะ หลายคนยังนึกห่วงงานที่บ้าน นึกห่วงคนที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงนี้บ้านเมืองเราเรียกว่าเกิดวิกฤติถ้วนหน้า เช่นเกิดน้ำท่วม พวกเราบางคนโชคดีที่รอดพ้นจากอุทกภัย แต่บางคนก็เจอเหตุการณ์นี้เข้าไปเต็มๆ ถึงแม้ไม่เจอเหตุการณ์นี้ ก็มีเรื่องที่ต้องกังวลเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานการ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ต้องดูแล แต่เมื่อเราอุตส่าห์พาตัวมาถึงที่นี่แล้ว ก็อย่าลืมพาใจมาด้วย ขอให้วางงานการต่างๆ ลง
ส่วนผู้คนที่เราห่วงหาอาลัยแม้ว่าเราจะมีความผูกพัน มีความเมตตาปรารถนาดี แต่เมื่อเรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เรากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถจะช่วยอะไรเขาได้ สิ่งที่เราจะช่วยเขาได้ก็คือการมีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่เขาได้ จะทำเช่นนั้นได้เราก็ต้องให้เวลากับการฝึกฝนตัวเอง นี่คือเหตุผลสำคัญที่เรามาที่นี่
ความห่วงกังวลนอกจากไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่ช่วยให้คนที่เราห่วงกังวลดีขึ้นแล้ว ก็ยังทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ทันทีที่เราวางงานการต่างๆลง วางผู้คนลง จิตใจเราก็จะพร้อมซึมซับรับเอาธรรมะทั้งจากธรรมชาติรอบตัว และจากใจของเรา ซึ่งจะทำให้เรามีปัญญา และทำให้เราได้พบกับความสงบที่จะเป็นการเติมพลังให้แก่จิตใจของเราในการทำภารกิจการงานต่างๆ ให้เป็นไปด้วยดี
ขอให้เราพาใจมาอยู่กับกาย และให้เวลากับตัวเองมาก ๆ เพราะนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก บ่อยครั้งเราอยากจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมีสิ่งต่างๆ ดึงดูดเวลา และความสนใจของเราไป หรือไม่ก็มีสิ่งที่กระตุ้นเร้าให้เราลืมตัว เพลิดเพลินกับสิ่งภายนอก จนไม่มีเวลาให้แก่จิตใจของเรา เวลาสามสี่วันข้างหน้าไม่ใช่เป็นเวลาที่มากมาย แต่ก็ไม่น้อยสำหรับการให้เวลาแก่จิตใจของเรา จิตใจเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมานาน เพราะมีสิ่งรอบตัวที่ล้วนแต่ดึงเวลาของเราไป เสร็จแล้วจิตใจที่ถูกละเลยก็กลายเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้แก่เรา
จิตใจที่ถูกละเลยก็คงเหมือนกับเด็กที่ขาดความอบอุ่น ก็จะงอแง โตขึ้นก็ชอบก่อความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องความสนใจ จากพ่อแม่ จากคนรอบข้าง ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์กันทุกฝ่าย แต่ทันทีที่เขาได้รับความรัก และความสนใจอย่างถูกต้อง เขาก็จะเริ่มมีความมั่นใจ มีความสุข มีความมั่นคง และสามารถทำความดีงามให้เกิดขึ้นได้ อย่างวัยรุ่นที่ชอบก่อปัญหาให้แก่พ่อแม่ ให้แก่ผู้คนรอบข้าง ให้แก่ชุมชน พอเขาได้รับความสนใจ ได้รับคำชื่นชม ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง เขาก็กลายเป็นคนดี ศักยภาพต่างๆ ที่ถูกบดบังเอาไว้ ก็ถูกปลดปล่อยออกมาในทางสร้างสรรค์
จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราให้ความสนใจ ให้เวลาแก่จิตใจของเรา จิตใจที่เคยก่อความวุ่นวาย ชอบพยศ ก็จะค่อยๆ สงบ และมีพลังขึ้นมา สร้างสรรค์สิ่งดีงามต่างๆ นำความสุข ความปกติสุขมาให้กับเรา และกลายเป็นที่พึ่งที่มั่นใจได้อย่างแท้จริง
พวกเราคุ้นกับพุทธภาษิตที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ที่จริงพุทธภาษิตนี้มีประโยคต่อท้ายด้วยว่า ตนที่ฝึกดีแล้วย่อมเป็นที่พึ่งที่หาได้ยาก ตนในที่นี้หมายถึงจิตใจเป็นสำคัญ ธรรมชาติที่สงบสงัดเป็นเครื่องเกื้อกูล ไม่เพียงกล่อมจิตใจของเราให้เจริญงอกงาม หรือเปิดใจของเราให้ได้สัมผัสกับธรรมะที่แสดงตัวอยู่รอบตัวเราเท่านั้น ยังเป็นการฝึกฝนจิตใจของเราให้เจริญงอกงามมากขึ้น เป็นการมอบสิ่งดีงามให้แก่จิตใจของเราในหลายด้าน ทั้งความสุข ทั้งความสงบ ทั้งความเอาใจใส่ เพราะฉะนั้นก็ขอให้เราใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ รวมทั้งถือว่าความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นเครื่องฝึกฝนจิตใจของเรา และเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างซื่อๆ ตรงๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นปิดบังเอาไว้ ใจที่สัมผัสกับธรรมชาติอย่างตรงๆ นี่แหละที่จะช่วยให้เราได้พบกับปัญญาและความสุขที่ประเสริฐ