บทที่ ๑ ก้าวข้าม...ก้าวหน้า
พวกเราส่วนใหญ่เคยมาที่นี่แล้ว มีแค่คนสองคนที่ยังไม่เคยมา ผู้ที่เคยมาแล้วก็คงจะทราบดีว่าที่นี่ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรสำหรับพวกเรา เป็นที่ที่ปลอดภัยไม่ใช่เฉพาะพวกเราเท่านั้น แต่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตรวมทั้งต้นไม้ ถึงแม้จะมีภัยคุกคามบ้าง เช่นไฟป่าหรือพรานที่มาล่าสัตว์ แต่โดยทั่วไปก็ถือว่าเป็นที่ที่สงบพอสมควร อย่างน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่หุบเขารอบๆ เพราะที่นี่เป็นเขตวัด ชาวบ้านก็ทราบดีว่าเป็นเขตอภัยทาน ผู้ที่เกี่ยวข้องก็พยายามช่วยกันป้องกันไม่ให้มีคนมาทำลายธรรมชาติ ตอนที่พวกเราขึ้นมาที่นี่ก็คงจะเห็นด่านของชาวบ้านที่ร่วมกับอบต. ทางจังหวัดก็สนับสนุนด้วย เพราะช่วงนี้มีข่าวคนข้างนอกมาตัดไม้พยูง ไม้พยูงเป็นไม้ที่มีราคามาก ส่งออกประเทศจีน ไม้พยูงที่นี่มีไม่มาก แต่ขนาดไม้ล้มขอนต้นหนึ่งราคาเป็นแสน เป็นแสนหมายถึงออกจากที่นี่ไป ถ้าไปถึงเมืองจีนก็คงหลายแสน แต่ตอนนี้สงบเงียบไปแล้วอย่างน้อยก็ช่วงนี้ ที่จะต้องใส่ใจตอนนี้มีเฉพาะเรื่องไฟ ซึ่งก็มีชาวบ้านมาช่วยกันดับไฟและทำแนวกันไฟ เมื่อกี้เราคงเห็นชาวบ้านขึ้นไปทำแนวกันไฟ เดี๋ยวก็กลับมา ถ้าได้ยินเสียงเท้าคนก็ไม่ต้องตกใจ บางทีเขาอยู่ไกล แต่เสียงเหมือนใกล้ กว่าเขาจะกลับมาก็คงประมาณเที่ยงคืน – ตีหนึ่ง ถ้าได้ยินเสียงฝีเท้าคนก็ไม่ต้องตกใจ ที่นี่ปลอดภัย
หลังจากที่พวกเรามาปฏิบัติธรรมเมื่อปีที่แล้วก็ยังไม่มีคณะไหนมาเลย พวกเรามาเยือนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาปลีกวิเวกกันอยู่บ้าง มีพระมาบ้าง มีญาติโยมมาบ้าง แต่มาปฏิบัติแค่คนสองคน ที่มาเป็นกลุ่มก็มีเฉพาะพวกเรา แต่ปีหน้าก็จะมีบางกลุ่มมาปฏิบัติที่นี่เจริญรอยตามพวกเรา
ที่นี่เป็นเขตที่พยายามฟื้นฟูป่าขึ้นมา ประมาณปี ๒๕๓๓ ที่นี่เริ่มมีการทำลายป่า มีการตัดไม้ มีการจุดไฟล่าสัตว์ รวมทั้งไฟจากไร่ข้างเคียง จนพื้นที่รอบๆ ตั้งแต่ตรงนี้ไปจนพื้นที่ที่เราผ่านมากลายเป็นที่โล่ง สิบปีที่แล้วเวลาอาตมาเดินจากกุฏิทะลุป่าเข้ามาจนมาถึงที่นี่ ทางซ้ายมือกลายเป็นที่โล่งหมด เวลากลางวันแดดส่องไม่มีร่มเลย แต่เดี๋ยวนี้ครึ่งทางที่เราเดินผ่านมามีต้นไม้ค่อนข้างแน่น เดินกลางวันไม่ค่อยเจอแดด นี่ก็เป็นผลแห่งความพยายามฟื้นฟูสภาพป่า ที่มีศาลาหลังนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาดูแลป่า มาปลูกป่า มาทำแนวกันไฟ แต่ตอนนี้เราใช้สอยส่วนนี้น้อยลง เพราะต้นไม้ขึ้นมามากจนพอจะวางใจได้ว่าอีกไม่นานก็จะรกครึ้มเหมือนเดิม และเป็นที่ที่เหมาะกับการปฏิบัติ ส่วนการปลูกป่าตรงนี้ไม่ค่อยมีแล้ว แต่ขยายไปทางทิศเหนือซึ่งมีงานที่ต้องทำอีกมาก
พวกเราอยู่ที่นี่คืนนี้เป็นคืนแรก สิ่งที่น่าจะทำก็คือการทำความคุ้นเคยกับสถานที่ โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ที่เรากางเต็นท์ กางเต็นท์ตรงไหนก็ตาม ขอให้รู้สึกคุ้นเคย หรือทำใจเป็นมิตรกับสถานที่ให้ได้ พยายามมองให้เห็นว่าจุดที่เรากางเต็นท์อยู่มีข้อดีอย่างไรบ้าง ถ้าเราเริ่มต้นจากความรู้สึกเป็นมิตรกับสถานที่ เป็นมิตรกับจุดที่เรากางเต็นท์เป็นที่พักที่นอนของเรา การปฏิบัติก็จะราบรื่นขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยเวลาปฏิบัติจะมีอุปสรรคอย่างหนึ่ง คือใจรู้สึกติดขัดกับสถานที่ เช่น รู้สึกว่าที่ตรงนี้ไม่ดีเลย บางทีก็เปรียบเทียบกับที่ของเพื่อน เพื่อนเรากางเต็นท์ตรงจุดที่ดีเหลือเกิน จุดของเราไม่ค่อยดีเท่าไร แดดส่องบ้าง หรือว่าไม่เห็นวิวทิวทัศน์บ้าง พอคิดในแง่นี้แล้วใจก็เป็นลบ จนกลายเป็นอุปสรรคกับการปฏิบัติ เพราะว่าใจจะบ่น ไม่พอใจ บางทีก็เกิดความกลัว
ถึงแม้ที่ที่เราค้างแรมคืนนี้เป็นสถานที่ที่แปลกในความรู้สึกของเราเพราะเป็นที่ที่เราเพิ่งมาอยู่ แต่ลองทำความคุ้นเคยกับสถานที่นั้นโดยเฉพาะเมื่อเราตื่นขึ้นมาเช้าวันพรุ่งนี้ ลองมองดูว่าที่ที่เราอยู่นี้ดีอย่างไรบ้าง เช่น เป็นที่ที่สงบมีร่มเงา หรือเป็นจุดที่มองเห็นทัศนียภาพ หรือมองเห็นต้นไม้ที่ดูเด่นมีเสน่ห์ ไม่ว่าตรงไหนที่เราอยู่ พยายามมองให้เห็นข้อดีของที่นั้น หรือมองเห็นกระทั่งว่าที่นั่นมีเสน่ห์อย่างไร การปฏิบัติของเราก็จะก้าวไปข้างหน้าได้ง่าย อย่าให้ติดข้องอยู่กับสถานที่ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เราควรจะผ่านให้ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เราติดข้อง ก้าวข้ามได้ยากยังมีอีกมาก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องนามธรรม เห็นไม่ง่ายเห็นไม่ชัด เพราะมันอยู่ใกล้เหลือเกิน คือมันอยู่ในใจเรา
พยายามให้อุปสรรคของสถานที่หมดไปจากใจของเรา ให้เราทำความคุ้นเคยกับสถานที่ตั้งแต่คืนนี้ อาตมาอยากจะให้ความมั่นใจว่าสถานที่นี้ไม่มีอะไรน่ากลัว โดยเฉพาะหน้านี้งูเงี้ยวเขี้ยวขอก็น้อย แมลงก็น้อย จะมีมารบกวนเราบ้างก็มีแมลงชนิดหนึ่งเป็นเห็บตัวเล็กๆ เขาเรียกเห็บลม มันเล็กมากเวลาเกาะผิวเราอาจจะนึกว่าเป็นสะเก็ดแผลเล็กๆ ถ้าคันตรงไหนคลำดูแล้วปรากฏว่าสัมผัสสิ่งเล็กๆ ก็อย่าเพิ่งดึง มันอาจเป็นเห็บ ดึงแล้วจะเจ็บจะคันมากขึ้น ก่อนจะดึงก็ทายาหม่องเสียก่อน เพื่อให้มันคลายเขี้ยว เพราะถ้าเราดึงทันทีเขี้ยวจะฝังอยู่กับหนัง จะคันไปอีกหลายวัน แต่ถ้าเราดึงตอนที่มันเริ่มคลายเขี้ยวแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรน่ากลัว นอกจากเห็บลมแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น สัตว์เอย คนเอย ก็ไม่มีอะไรจะมารบกวนเราได้ ขอให้วางใจกับสถานที่
เคยบอกพวกเราเมื่อปีที่แล้ว จำได้ไหม ว่าที่นี่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่คือใจของเรา ใจของเราเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันสามารถปรุงแต่งอะไรให้ดูน่ากลัวได้ ขอให้รู้ทันจิตที่ปรุงแต่ง ถ้าหากเรามีความไว้เนื้อเชื่อใจในสถานที่ ก็จะพบว่าตัวการจริงๆ ไม่ได้อยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่นอกเต็นท์เรา แต่อยู่ในใจเรา ถ้ารู้ตรงนี้แล้วก็จัดการได้ง่ายขึ้น คืออย่าไปเชื่อความคิดที่มันปรุงแต่งขึ้น อย่าไปเชื่อมัน ทักท้วงมันบ้าง โดยเฉพาะเวลาเรามีความกลัว มีความตื่นตกใจก็ให้ถือว่า เป็นโจทย์ที่ดีมากในการช่วยให้เราย้อนกลับมาดูใจ เพราะเวลาคนเรากลัว เวลาเราตกใจ จิตจะพุ่งไปข้างนอก จนกระทั่งมองข้ามตัวการที่แท้จริง นั่นคือความกลัวในใจเรานั่นเอง
เพียงแค่เรารู้ทันความกลัว พิษสงมันก็จะลดลง ยิ่งเรารู้ทันความกลัวมากขึ้น จิตใจเราก็จะแน่วแน่และแนบแน่นกับสถานที่ได้มากขึ้น แล้วเราก็จะรู้สึกว่าตรงที่เรานอน จุดที่เรายืน จุดที่เรานั่ง จุดที่เราเดินจงกรม เป็นจุดที่ให้ความอบอุ่นใจแก่เราได้ จะเลือกเดินจงกรมตรงไหน จะเลือกนั่งทำสมาธิตรงไหนก็แล้วแต่ เมื่อเลือกแล้วก็พยายามรู้สึกเป็นมิตรกับตรงนั้น เป็นมิตรกับจุดนั้นให้ได้ อย่างที่เราพยายามเป็นมิตรกับสถานที่ที่เรากางเต็นท์ เมื่อเราทำใจคุ้นเคยทำใจเป็นมิตรแล้ว การปฏิบัติก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
การบ้านที่พวกเราต้องทำคืนนี้มีอย่างเดียวคือทำใจให้เป็นมิตรกับสถานที่ ไม่ว่าเราอยู่ในเต็นท์ หรือว่าอยู่ข้างนอก หรือเดินจงกรม ก็ให้รู้สึกว่านี่เป็นที่ที่เราจะฝากผีฝากไข้ หรือฝากใจไว้ได้ หลังจากนั้นการปฏิบัติก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น