แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในภาพนี้เป็นภาพการประสูติของพระกุมารสิทธัตถะประกอบด้วยภาพ ๔ ภาพ จะขออธิบายทีละภาพเรียงเป็นลำดับตามเข็มนาฬิกา โดยเริ่มจากภาพมุมบนขวามือเลยนะคะ ในภาพนี้ท่านจะเห็นภาพสตรีนอน หมายถึงพระนางสิริมหามายา กำลังบรรทมหลับและทรงสุบินว่ามีช้างเผือกมาวนอยู่รอบ ๆ แล้วเข้าไปในอุทรของพระนาง
หลังจากนั้นพระนางสิริมหามายาทรงตั้งพระครรภ์ใกล้จะครบกำหนดเวลาพระประสูติการแล้ว ตามธรรมเนียมโบราณพระนางจะต้องเสด็จพระราชดำเนินไป ณ เมืองแห่งตนคือนครเทวทหะ แต่เมื่อเสด็จไประหว่างทางจึงมีพระประสูติการก่อนถึงนครเทวทหะ ซึ่งได้แก่บริเวณสวนลุมพินี ดังแสดงในภาพมุมขวาล่างถัดลงมาจะเห็นพระนางฯ ประทับยืนเหนี่ยวกิ่งไม้รังและมีบุรุษ ๔ คน น่าจะเป็นท้าวจตุโลกบาลถือแผ่นผ้ามารองรับ บนแผ่นผ้านั้นให้ท่านสังเกตรอยพระบาทเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ นั่นคือสัญลักษณ์แทนองค์พระกุมาร
ถัดไปท่านจะเห็นภาพมุมล่างซ้ายเป็นการนำพระกุมารประสูติใหม่ไปให้ฤาษี หรือยักษ์ประจำเมืองดู ท่านจะเห็นว่ามียักษ์หรือเทพารักษ์โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่โคนต้นไม้มีลักษณะเหมือนต้นไทร ในท่าพนมมือไหว้ มีหญิงชูผ้าในลักษณะที่เป็นแผนผ้า และมีรอยเท้าสองรอยอยู่ในแผ่นผ้านำเข้าไปหายักษ์ มีฉัตรกั้นให้แก่รอยเท้า แสดงให้เห็นว่ารอยเท้านั้นเล็งถึงพระกุมารประสูติใหม่นั่นเองค่ะ
คราวนี้ลองสังเกตรายละเอียดเพิ่มอีกสักเล็กน้อยไปที่คนถือฉัตรเป็นผู้หญิง และยังมีคนอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงถือสิ่งของอยู่ในมือ ซึ่งคงจะเป็นของสักการะแก่ยักษ์นั้นนะคะ หากสังเกตดูจากภาพนี้พอจะเห็นได้ว่า ตามปกติยักษ์นั้นไม่ได้แสดงตัว คงจะมีแต่แท่นที่โคนต้นไม้เท่านั้น และก็ได้แสดงตัวในขณะที่มีผู้นำพระกุมารเข้าไปถวายความเคารพ ซึ่งนับว่าเป็นการให้เกียรติแก่พระกุมารอีกนั่นเอง
สำหรับภาพสุดท้ายมุมบนทางซ้าย แสดงถึงเมื่อครั้งพระกุมารมีชันษาได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงโปรดให้เชิญพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในการทำนายลักษณะของพระกุมาร ดังในภาพท่านจะเห็นพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา คือผู้ที่มีที่รองเหยียบพระบาท และมีภาพพราหมณ์ผู้ทำนายที่กำลังยกนิ้วมือชูขึ้นด้วยมือขวา ๔ คน และหญิงผู้รับใช้อยู่ทางเบื้องหลังของพระราชาอีก ๒ คน
ขอให้สังเกตต่อไปที่นิ้วมือที่ยกขึ้นนะคะ ในภาพจะเห็นเป็นยกสองนิ้วด้วยกันทุกคน คือการทำนายพระกุมารเมื่อเจริญชันษาแล้วจะมีคติเป็นสองทาง ได้แก่หากอยู่ครองบ้านเมืองจะทรงเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ หรือหากออกบวชเป็นบรรพชิตจะทรงสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จากความไม่ชัดเจนของภาพอาจจะมีสักคนหนึ่งที่ยกเพียงนิ้วเดียวดังที่เราทราบกันอยู่แล้วในเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งหมายถึงโกณฑัญญะพราหมณ์หนุ่ม ผู้ที่ทำนายต่างจากเขาทั้งหมด คือทำนายว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแน่นอน หรือจะเป็นเพียงความคิดของโกณฑัญญะซึ่งเก็บไว้ในใจตนแต่ผู้เดียว จึงไม่จำเป็นต้องทำภาพคน ๆ หนึ่งที่ยกนิ้วเพียงนิ้วเดียวเป็นพิเศษก็เป็นไปได้
สุดท้ายจะขอเพิ่มเติมเกร็ดอีกสักเล็กน้อยนะคะ ในครั้งนั้นพระเจ้าสุทโธทนะโปรดถามพราหมณ์ว่าสาเหตุใดที่จะทำให้พระกุมารออกบวช พราหมณ์กราบบังคมทูลว่าเพราะเหตุที่พระกุมารได้เห็นนิมิตทั้ง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชประสงค์จะไม่ให้พระกุมารออกบวชเป็นบรรพชิต จึงมีพระราชบัญชาห้ามนิมิตทั้ง ๔ มาใกล้พระราชกุมารโดยเด็ดขาด
หลังจากนั้นเหล่าพราหมณ์ก็ได้ถวายพระนามพระกุมารว่า “สิทธัตถะ” ซึ่งมีความหมายว่ามีความต้องการสำเร็จหรือสำเร็จตามที่ต้องการ หรือประสงค์สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมได้ตามประสงค์