แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ แลวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป อีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นธรรมเทศนาสำหรับทำความเข้าใจแก่กันและกันก่อนแต่ที่จะประกอบพิธีวิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบได้อยู่แล้วว่าบัดนี้เป็นเวลาสำหรับประกอบพิธีวิสาขบูชา การกระทำทั้งหลายที่จะมีผลมากต้องเป็นการกระทำที่ถูกต้องโดยอรรถ โดยพยัญชนะ โดยการกระทำ ด้วยความมุ่งหมายในการที่จะกระทำ
บัดนี้ เราจะประกอบพิธีวิสาขบูชาซึ่งแปลว่าเป็นการบูชาแก่สมเด็จพระบรมศาสดา เนื่องในวันเพ็ญวิสาขฤกษ์ ขอท่านทั้งหลายจงทำในใจให้แยบคาย คือ แจ่มแจ้งในสิ่งที่จะกระทำ เมื่อมีการกระทำชนิดที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้สมกับที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์ทนความยากลำบากมาจนถึงสถานที่นี้ บางพวกก็มาจากที่ไกล ไกลมาก เรียกว่าสุดเหนือสุดใต้ทีเดียว ควรจะได้รับผลสมกัน เกี่ยวกับข้อนี้ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจความมุ่งหมายของการที่มาประกอบพิธีวิสาขบูชากันจนถึงที่นี่ ในสภาพอย่างนี้ ที่ให้ ที่ได้จัดให้มีการกระทำในลักษณะอย่างนี้ ก็เพื่อง่ายแก่การกระทำในใจถึงพระพุทธเจ้า ให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาได้โดยง่าย โดยสะดวก หรือโดยอัตโนมัติว่าพระพุทธเจ้านั้นตามที่เราทราบกันอยู่แล้ว ประสูติก็กลางพื้นดินใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ก็กลางพื้นดินใต้ต้นไม้ นิพพานก็กลางพื้นดินและใต้ต้นไม้ และในระหว่างนั้นก่อนแต่จะปรินิพพานก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าอยู่กลางดิน ใต้ต้นไม้ กุฏิของท่านก็พื้นดิน โรงประชุมโรงฉันก็เรียกว่าพื้นดิน ก็มีปรากฏอยู่ในพระบาลีบ่อยๆ ว่าประกอบสังฆกรรมกลางพื้นดินไม่มีหลังคาอย่างนี้ เอาเป็นว่าประสูติกลางพื้นดิน ตรัสรู้กลางพื้นดิน นิพพานกลางพื้นดิน สอนกลางพื้นดิน เป็นอยู่กลางพื้นดิน อาศัยต้นไม้ ท่านทั้งหลายจงลูบคลำแผ่นดินที่กำลังนั่งอยู่นี้ว่าเรากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ในลักษณะที่คล้ายกัน คือ ใต้ต้นไม้ เราก็จะมีจิตใจชนิดที่รักต้นไม้กันมากขึ้น จะไม่พยายามทำลายต้นไม้ จะอดกลั้นอดทน จะไม่ทำลายต้นไม้ซึ่งเป็นของโปรดปรานของพระพุทธเจ้า
เดี๋ยวนี้คนทำลายต้นไม้กันมาก ย่ำยีน้ำใจแห่งพระพุทธบริษัทกันมาก ก็ได้รับผลบาปพอๆ กันทีเดียว เช่น ทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น อากาศร้อนอบอ้าวเหลือประมาณ อย่างนี้เรียกว่าเป็นบาปในทางวัตถุ แต่ยังมีบาปในส่วนจิตใจ คือ เป็นคนประมาทไม่ค่อยจะคิดจะนึกอะไร เอาแต่ความสะดวกของตนเอง เข้าไปลุกล้ำประโยชน์กับความสุขของผู้อื่น ก็อยู่กันด้วยความวุ่นวาย กระทบกระทั่งซึ่งกันอยู่เป็นประจำในโลกนี้ เราจะมีความคิดอย่างพุทธบริษัท คือ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราจะเป็นผู้รู้ตามท่าน คือ รู้ว่าอะไรมันเป็นอย่างไรที่เกี่ยวกับมนุษย์เรา เป็นผู้ตื่นจากหลับ คือ กิเลส ไม่ทำอะไรให้มันผิดพลาดเหมือนคนหลับทำอะไรอย่างละเมอๆ แล้วก็จะพอใจในการเป็นอยู่ของตนที่ได้กระทำให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นคน แล้วก็เป็นมนุษย์สูงสุดตามที่จะเป็นกันได้ นี่แหละ คือ ความเป็นพุทธบริษัทของเราทั้งหลาย ซึ่งจะต้องค่อยๆ กระทำ ให้จริงให้แท้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นทุกที
ขอให้ท่านทั้งหลายปลูกศรัทธาในพระพุทธเจ้าให้ยิ่งขึ้นไปทุกปี ทุกปี อย่างมานั่งอยู่ในสภาพอย่างนี้มันก็ชวนให้เกิดศรัทธายิ่งกว่าธรรมดา หรือว่าได้รับความลำบากแล้ว ความลำบากนั้นจะทำให้เกิดบุญเกิดกุศล เกิดความเข้มแข็งเกิดความเสียสละอดทน เพื่อว่าจะประพฤติปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระผู้มีภาคเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต คนที่ไม่ยอมลำบากนั่น ไม่สามารถจะทำอะไรให้ดี ให้เต็มที่ได้ ผู้ที่เห็นว่าไอ้ความลำบากนั้น เป็นทางมาแห่งกุศล ก็ย่อมจะเห็นเป็นความสุขอยู่ในความลำบากนั่นเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ด้วยความยากลำบาก ก็เรียกว่ามันไม่มีความทุกข์ในโลกนี้ จะทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นความพอใจไปได้หมด ขอให้คิดดูให้ดีๆ
ถ้านึกถึงความลำบากก็ให้นึกไปในทางที่เป็นเดิมพัน สำหรับจะต่อรองกันกับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดาของเรา ท่านทั้งหลายคงจะไม่มีใครโง่เกินไปถึงกับจะคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านเคยนั่งรถยนต์ ท่านทั้งหลายนั่งรถยนต์ พระพุทธเจ้าดำเนินด้วยเท้าแล้วก็ไม่มีร่มไม่มีรองเท้า ก็ลองคิดดูว่ามันอย่างไรกัน เรานั่งรถยนต์บางทีก็มีอบไอเย็นด้วย พระพุทธเจ้าดำเนินกลางแดด ไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า นี่มันเป็นอย่างไรกัน มันจะเป็นลูกศิษย์ เป็นอาจารย์กันได้ที่ตรงไหน เวลาอาตมานั่งรถยนต์เร็วไปอย่างเร็วๆ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกทีๆ ไม่ว่าจะขึ้นรถที่ไหนเมื่อไหร่ รู้สึกระลึกถึงข้อที่พระองค์ไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม แล้วก็เดินด้วยพระบาทไปในที่ไกลๆ เหมือนกับเราอย่างนี้ ก็ลองคิดดูแม้เรื่องเป็นอยู่อย่างอื่น เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องอาหารการกิน อะไรทุกอย่าง ท่านก็มีอยู่ เป็นอยู่ ใช้สอยอยู่ อย่างที่เรียกว่าต่ำที่สุด ง่ายที่สุด และนี่แหละคือน้ำใจของบุคคลผู้ประกอบไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ คือ ความรัก ความเอ็นดูในหมู่สัตว์ ถ้ามัวแต่เห็นประโยชน์ตน ความสุขสบายส่วนตน ย่อมไม่มีในความรู้สึกเมตตากรุณาใครได้ เหมือนกับเราทุกคนในปัจจุบันนี้ มันมีอะไรๆ ที่เห็นแก่ตน รักแต่ความสะดวกสบาย ไม่ชอบความอดกลั้น อดทน หรือความยากลำบาก นั่นแหละ เป็นข้อที่ทำให้เราไม่ปฏิบัติธรรมวินัย ให้สมกับความเป็นพุทธบริษัท ขอให้ดูในข้อนี้ให้ดีๆ ว่าเราออกชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันแต่ปาก ในศาสนาอื่นเขาบัญญัติไว้ว่าเป็นการทำผิดศีล หรือทำบาปชนิดหนึ่งทีเดียว ถ้าหากว่าใครออกชื่อพระเป็นเจ้า สักว่าออกชื่อ คือ ปากออกชื่อพระเป็นเจ้า แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้ตรงตามความมุ่งหมายของการที่มีพระเป็นเจ้า คือนับถือพระเป็นเจ้า
เราก็เหมือนกันออกชื่อพระพุทธบ้าง ออกชื่อพระธรรมบ้าง ออกชื่อพระสงฆ์บ้าง แล้วได้ทำอะไรจริงๆ จังๆ สมกับเราออกชื่อของท่าน อย่างนี้ก็เรียกว่าออกชื่อเปล่าๆ เอาชื่อมาออกเล่นเปล่าๆ ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม พระอะไรก็แล้วแต่จะออกชื่อ มันเอาชื่อมาเรียกเล่นเสียเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นจึงขอตักเตือนกันในข้อนี้ให้มากเป็นพิเศษยิ่งขึ้นทุกปี ทุกปี ว่าเราจะไม่ออกชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แต่ปาก เราจะต้องมีการกระทำที่สมกับที่เราออกชื่อของท่าน เด็กๆ มันเรียกว่าแม่ ใจของมันก็ต้องรักแม่เหลือประมาณ นี้ก็ไม่ชื่อ ไม่เรียกว่าออกชื่อเปล่าๆ แต่ถ้าเราออกชื่อพระพุทธเจ้า เรารักพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า เรามีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเต็มที่หรือเปล่า เราเสียสละ คือ พร้อมที่จะสนองพระคุณของพระองค์ถึงที่สุดหรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์ว่าให้พุทธบริษัททุกคน บูชาพระพุทธองค์ด้วยปฏิบัติบูชา คือ การกระทำที่ดีที่งาม ที่ถูกที่ควร ที่สมแก่การที่จะบูชา ไม่ทรงนิยมอามิสบูชา คือ บูชาด้วยวัตถุดอกไม้ของหอมอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ค่อยจะมีความหมายหรือมีคุณค่ามากเหมือนกับปฏิบัติบูชา
บัดนี้ ท่านทั้งหลายก็เอาธูปเทียนมาเป็นอันมาก นี้มันเป็นส่วนอามิสบูชา จะทำก็ได้แต่อย่าให้มันเสียไปในส่วนที่เป็นปฏิบัติบูชา ว่าต่อไปนี้เราจะต้องมีปฏิบัติบูชาให้สมกันกับที่พระบรมศาสดาเป็นพระบรมครู เป็นบุคคลสูงสุด เป็นปูชนียบุคคลสูงสุดของเราทั้งหลาย อย่ามัวบูชากันแต่ด้วยดอกไม้ธูปเทียนอย่างเดียว ควรจะบูชาด้วยการกระทำ ที่แล้วๆ มาก็พูดกันถึงเรื่องนี้อยู่เสมอว่า จะมีการประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ เตือนกันทุกปี คราวละเรื่อง คราวละอย่าง เพื่อจะเป็นการปฏิบัติสำหรับบูชาคุณของพระองค์ ถ้าเราไม่ได้เล่าเรียนอะไรมาก เราก็ถือเอาตามหลักธรรมะที่เรียกว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เช่น ความไม่เบียดเบียน เช่น ประพฤติศีล สมาธิ ปัญญา เช่น เว้นการกระทำอันเป็นบาป ทำสิ่งอันเป็นกุศลให้สมบูรณ์ แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์ มีการประพฤติกระทำที่ตรงตามกฎเกณฑ์ของพระธรรมที่แสดงไว้ว่า สิ่งทั้งปวงมีเหตุ เราก็จะต้องประพฤติในเหตุของสิ่งที่เป็นไปเพื่อความเจริญ หรือเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ของสรรพสัตว์ ถ้าเรากระทำกันอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผู้มีปฏิบัติบูชา อาตมาอยากจะเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมาตั้งแต่ว่าอุตส่าห์ทนยากลำบากมาประกอบพิธีกันในสถานที่นี้ มันก็เป็นปฏิบัติบูชาด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นถ้ามันจะลำบากบ้างก็ใช้เป็นเครื่องปฏิบัติบูชา ยิ่งลำบากมากก็เป็นการบูชาอันสูงสุด เป็นการฝึกฝนให้ความยากลำบากสำหรับจะใช้เป็นความสามารถในการปฏิบัติที่ยากยิ่งขึ้นไป
เดี๋ยวนี้เราเหลียวไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ บางต้นก็เป็นต้นไม้ที่คล้ายกับต้นสาละเป็นอันมาก เช่น ต้นพะยอมนี้มีรูปร่างคล้ายกับต้นสาละที่พระพุทธองค์ประสูติและปรินิพพาน เราจะถือเอาเป็นนิมิตติดตากระทั่งติดใจไปในทางที่ว่าเป็นเครื่องหมายของความเป็นอยู่อย่างสงบ เป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาติ พอใจในความสงบตามธรรมชาติ ยินดีที่จะอยู่ด้วยความสงบตามธรรมชาติ ตั้งความปรารถนาลงไปอย่างนี้ก็เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน คือ ฝึกหัดจิตใจให้น้อมไปในทางของพระนิพพาน ซึ่งเป็นความเย็น เป็นความสงบ เป็นความสงัด เป็นความไม่เวียนว่าย เราฝึกฝนจิตใจให้น้อมไปในทางของความสงบ ถ้าท่านทั้งหลายได้รับผลอันนี้ ในการมานั่งอยู่ที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ มีอิทธิพลของธรรมชาติเป็นเครื่องน้อมใจตน ให้ยินดีในความสงบแล้ว ก็เข้าใจว่าคงจะคุ้มกันกับที่ได้ลงทุนมาถึงที่นี่ด้วยความหมดเปลือง เปลืองเงิน เปลืองเวลา เปลืองเรี่ยวเปลืองแรง เปลืองอะไรหลายๆ อย่าง และลงทุนด้วยความยากลำบาก ได้มีความรู้สึกที่ทำให้เข้าใจในการเป็นอยู่หรือดำรงชีพอยู่ของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
สถานที่นี้มีหลักฐานอันแสดงให้เห็นได้ว่ามันเคยมีมาแล้วตั้งพันกว่าปี คือ อิฐทั้งหมดนี้มันแสดงลักษณะของความเป็นอิฐแห่งสมัยศรีวิชัย คือ พันสองร้อยกว่าปีมาแล้ว เรามานั่งทับลงไปบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษซึ่งเคยเป็นพุทธบริษัทได้มากระทำขึ้น ได้ใช้สอย นั่งลงบนแผ่นดินนี้ เหยียบย่ำแผ่นดินนี้ คล้ายๆ กับว่ามันเป็นดินอันศักดิ์สิทธิ์ โดยบรรพบุรุษของเราได้ใช้สอย เราก็ทำให้สมกัน มานั่งลงบนแผ่นดินนี้ มาเหยียบย่ำแผ่นดินนี้ จึงเชื่อได้ว่ามันมีความสูงสุดตามที่เราสมมติบัญญัติว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตั้งพันกว่าปีแล้ว ขอให้ท่านจิต ขอให้จิตใจของท่านสงบลงหรือลดลงจากความวุ่นวาย จากความสับสนโกลาหลของเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ มาเป็นจิตใจอันสงบเย็นสมตามความมุ่งหมายในการที่จะมาบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ผู้บรรลุถึงความเย็นอันสูงสุด กล่าวคือ พระนิพพานนั้น เราก็จะพยายามทำตามคำสอนของพระองค์ด้วยความรู้สึกเสียสละอย่างยิ่งตามที่จะกระทำได้อย่างไร ซึ่งอาตมาก็ได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่าให้ประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามหัวใจของพระพุทธ ศาสนา อะไรเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มันพูดได้มากมายหลายอย่าง อาตมาก็เอามาพูดกันทุกอย่าง จนบางคนบอกว่ามันสับสนเต็มทีแล้ว ไม่รู้ว่าอย่างไรกันแน่ ที่จริงมันพูดได้หลายอย่างแต่ใจความสำคัญนั้นมันอย่างเดียว คือ ทำลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูเสียให้หมดสิ้น นั่นแหละคือหัวใจ จะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อว่าจะทำลายสิ่งนี้ จะปฏิบัติละบาปทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ มันก็เพื่อสิ่งนี้ หรือแม้จะปฏิบัติตามหลักของอริยะสัจสี่ ก็ทำลายตัณหา เมื่อทำลายตัณหาก็ไม่มีอุปาทานที่เป็นตัวกูของกู มันจึงเพื่อสิ่งนี้ แม้จะปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ มันก็เพื่อทำลายสิ่งนี้ คือ ทำลายตัวกูของกู เรียกกันง่ายๆ ว่าความเห็นแก่ตัว ผู้ใดปฏิบัติอะไรอยู่ก็ตามถ้าเป็นไปเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวแล้ว นั่นแหละคือการปฏิบัติตรงตามหัวใจของพระพุทธศาสนา
ในโอกาสนี้ สำหรับปีนี้อาตมาก็จะบอกหัวใจของพุทธศาสนาด้วยคำที่สั้นและง่ายยิ่งขึ้นไปอีกว่า ท่านทั้งหลายจงรักผู้อื่นเถิด มัน ๓ พยางค์เท่านั้นว่ารักผู้อื่น ๓ พยางค์เท่านั้น นั่นแหละคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติความรักผู้อื่นแล้วจะมีอะไร อะไร ที่เป็นหลักธรรมะครบถ้วน รักผู้อื่นแล้วไม่มีทางจะขาดศีล คิดดูให้ดีเถิด รักผู้อื่นแล้วไม่มีทางจะขาดศีล รักผู้อื่นแล้วฆ่าใครก็ไม่ได้ ทำร้ายใครก็ไม่ได้ ขโมยใครก็ไม่ได้ เพราะมันรักผู้อื่น แล้วมันก็ล่วงเกินของรักของใคร่ของผู้อื่นก็ไม่ได้เพราะว่าเรารักเขา ไม่อาจจะผิดลูกผิดเมียเขา รักผู้อื่นแล้วก็ไม่อาจจะพูดเท็จแก่ใครได้ เพราะว่าเรารักเขา รักผู้อื่นแล้วก็ไม่ทำตนให้ประมาทมอมเมาด้วยดื่มกินของเมากระทบกระทั่งผู้อื่น ทำผู้อื่นให้ลำบากเดือดร้อนโดยไม่ต้องเจตนา พิจารณาดูเถิดว่ารักผู้อื่นแล้ว ศีลก็มาหมดครบถ้วน เมื่อตั้งใจรักผู้อื่นอยู่ มันก็เป็นเมตตาภาวนา นี่ก็เป็นสมาธิแล้ว ความรักผู้อื่นนี้เป็นปัญญาอันสูงสุด รู้จักเหตุรู้จักผล ของสิ่งที่จะนำมาซึ่งสันติสุขแก่ทุกๆ คน เป็นความเข้าใจถูกต้องอย่างยิ่ง คือ รักผู้อื่น แล้วก็ปฏิบัติเหตุสำหรับจะขจัดความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ท่านทั้งหลายอย่าได้คิดว่าเรื่องรักผู้อื่นนี่มันเป็นเรื่องต่ำๆ เตี้ยๆ มันเป็นเรื่องสูงสุดเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาและทุกๆ ศาสนา
ถ้าไม่เคยได้ยินก็ได้ยินกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่ารักผู้อื่นนี่เป็นหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนา อย่างศาสนา คริสเตียนเน้นแต่เรื่องรักผู้อื่นไปทุกหน้าของพระคัมภีร์ ให้เด็กๆ เล็ก ๆ ยึดถือสำหรับ สำหรับปฏิบัติว่าพระเจ้าสร้างเรามา เพราะพระเจ้ารักเรา เราก็ต้องรักพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าเราก็ต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า ซึ่งสั่งว่าให้รักผู้อื่น พระเจ้าบังคับขอร้องทุกอย่างหละว่าจงรักผู้อื่น เราก็ต้องรักผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้ารักเรา ถ้าเราไม่รักผู้อื่นพระเจ้าก็ไม่รักเรา ถ้าเราทำอันตรายผู้อื่นก็เท่ากับเราทำอันตรายพระเจ้า ฉะนั้นคนทุกคนจึงรักผู้อื่น นี่ถ้าเขาปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักของพระศาสนา ส่วนข้อที่ว่าจะมีใครปฏิบัติตามหรือไม่นั้นมันอีกปัญหาหนึ่ง เดี๋ยวนี้อาตมากำลังบอกแต่เพียงว่ารักผู้อื่นนั้นเป็นหัวใจของคริตศาสนา ไม่แพ้พุทธศาสนาเราที่สอนว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงมีความสุข บริหารตนอยู่อย่างถูกต้องเถิดนี่ มันรักผู้อื่นอย่างนี้ ศาสนาอิสลามถูกหาว่าถือดาบ ก็ขอบใจเสียอีกที่ว่าไอ้คนโง่ๆ มันมีมาก ฉะนั้นต้องถือดาบมาเพื่อให้มันรักผู้อื่น มันไม่รักผู้อื่นก็เอาดาบนี่แหละสับโขกมัน มันก็จะได้รักผู้อื่น บทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอ่านมากมายเหลือเกินที่ส่อถึงความให้เห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าเห็นแก่ตัว เพียง ๓ ศาสนานี้ก็พอแล้วที่ว่ามีหัวใจอยู่ที่ความรักผู้อื่น
ทีนี้มาดูกันต่อไปก็จะเห็นว่า เพราะมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกแล้วมันเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ จนไม่รักใคร มิได้ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติมันก็จะไม่เบียดเบียนใคร หรือมันพอจะรักผู้อื่นบ้าง เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ปล่อยไปตามธรรมชาติ คือมันมีอะไรๆ ที่ทำให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น จนมนุษย์เห็นแก่ตัวแล้วก็ทำอันตรายผู้อื่น จึงต้องเกิดมีคำสั่งสอนเป็นศาสนา เป็นศีลธรรม เป็นบทบัญญัติขึ้นมาว่าให้รักผู้อื่น มันก็อยู่กันเป็นผาสุก สังคมนี้จะอยู่กันเป็นผาสุก และบุคคลนั้นจะหมดกิเลสได้โดยการรักผู้อื่น รักผู้อื่นแล้วมันโลภไม่ได้ เพราะว่ามีการโลภที่ไหนเมื่อไรมันก็มีคนเดือดร้อนเสียหาย ฉะนั้นเราจึงโลภไม่ได้ ความรักผู้อื่นทำให้โลภไม่ได้ และเราโกรธไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้โลภ ไอ้ความโกรธนี้มันๆ มาจากการที่ไม่ได้ตามที่มันต้องการ เราไม่มีความต้องการที่เป็นความโลภ เราก็ไม่มีโอกาสจะโกรธ หรือว่าถ้ามีเรื่องให้โกรธแต่เรารักผู้อื่นเราก็โกรธไม่ได้ และเราก็โง่ไม่ได้ หลงไม่ได้เพราะไอ้ความรักผู้อื่นนั้นมันเป็นความจริง มันเป็นความถูกต้องถึงที่สุด ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะไม่มีแก่บุคคลที่รักผู้อื่นอยู่ เมื่อรักผู้อื่นอยู่อย่างนี้ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว คือ ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูนั้น ค่อยๆ น้อยลง ค่อยๆ ลดลงจนหมดสิ้นไป หมดความเห็นแก่ตัวเมื่อไร คนก็เป็นพระอรหันต์ ความรักผู้อื่นนี้ให้ผลถึงกับนำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ในส่วนบุคคล แล้วก็นำไปสู่สันติภาพอันถาวรของโลกทั้งสิ้น เพราะมันมีแต่ความรักแล้วก็เบียดเบียนกันไม่ได้ นั่นแหละคือศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย
ถ้าผู้ใดชอบคำว่าโลกพระศรีอริยเมตไตรย หรือศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยก็ให้เข้าใจเสียให้ถูกต้องว่าศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยนั้นก็คือบุคคลรักผู้อื่นสูงสุด มีความรักผู้อื่นสูงสุด ทุกคนรักผู้อื่นสูงสุด นั่นคือ โลกของพระศรีอริยเมตไตรยหรือศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรื่องราวทั้งหลายที่ท่านพรรณนาไว้เกี่ยวกับโลกพระศรีอริยเมตไตรย หรือศาสนาของท่านมันมีแต่เรื่องความรัก ความเมตตากรุณา แสดงออกมาในรูปของความที่ไม่มีอันตรายอะไรเลย ไม่มีการเบียดเบียนเลย คนดีเหมือนกันหมด เหมือนกับว่าบิดา มารดา บุตร ภรรยา พี่น้องของเราเอง มีคำเขียนอยู่อย่างหนึ่งว่า พอลงจากเรือนแล้วจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร มันเหมือนกันไปเสียหมด มันดีต่อกัน มันเอาใจใส่รักใคร่กันเหมือนกันไปเสียหมด จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ต่อเมื่อต่างคนต่างกลับมาบ้านของตนขึ้นมาบนเรือนแล้วจึงจะรู้ว่า อ้าว นี่สามีของเรา นี่ภรรยาของเรา นี่พี่น้องชายของเรามันจึงจะรู้ พอออกไปสู่ถนนแล้ว มันไม่จำ จำไม่ได้ มันมีความรักผู้อื่นนั่นแหละ เป็นเหตุให้ประพฤติต่อกัน เป็นมิตรไปหมด ไม่เหมือนในโลกปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ ได้ยินว่ากลางวันแสกๆ บนรถโดยสารเต็มไปด้วยประชาชนมันก็ยังมีอันธพาล ฉกชิงทำอันตรายถึงแก่ชีวิต นี่ ในๆๆโลกปัจจุบัน เขาว่าที่อื่นเมืองอื่นประเทศอื่นมันก็ยังมีอย่างเดียวกันนี้ กล่าวได้ว่าทั่วโลกนี้มันมีการเบียดเบียนเลวร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่ามันไม่มีความรักผู้อื่น ถ้ามันมีความรักผู้อื่นก็จะไม่มีใครทำให้ใครเดือดร้อนรำคาญ แม้แต่แม่ค้าหาบเร่ก็จะไม่วางหาบตามทาง ตามทางเท้าให้คนอื่นเขาพลอยลำบาก ถ้ามันรักผู้อื่นมันจะดีอย่างนี้ มันจะดีตั้งแต่เรื่องเล็ก เล็กที่สุด ไปจนถึงเรื่องใหญ่โตที่สุด คือ ไม่ฆ่าฟันกัน ไม่มีอาชญากรรมข่มขืนทางเพศแล้วฆ่าตาย อะไรต่างๆ ที่เป็นความเลวร้าย ยิ่งกว่าความเลวร้ายของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งกำลังมีอยู่ในหมู่มนุษย์ที่ไม่รู้จักผู้อื่น ดูให้ไกลออกไปก็ไม่มีความรักผู้อื่น
แม้แต่ในรัฐสภา ในรัฐสภาของชาติไหนมันก็มีแต่ความเกลียดชังกัน แบ่งเป็นพรรคเป็นพวก จะโค่นล้มกันเพื่อแย่งกันครองเมือง มันไม่มีความรักผู้อื่นในหัวใจของสมาชิกรัฐสภาแม้แต่ละคน ละคน และจะเอามาเป็นผู้นำประเทศ เป็นผู้ออกกฎหมาย เป็นผู้อะไรต่างๆ ดูมันก็จะเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล เพราะมันทำโดยบุคคลที่ไม่รักผู้อื่น มีสงครามอยู่ในโลกตลอดเวลา ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในโลกนี้มีสงครามอยู่ตลอดเวลา ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง เพราะว่ามันไม่รักผู้อื่น พอใครมีอำนาจก็ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฝ่ายตรงกันข้ามจนไม่รู้ว่าจะฆ่ากันอย่างไร เหมือนเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในประเทศอิหร่านตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือวิทยุแต่ละวัน ละวัน มันไม่มีความรักผู้อื่น ทั้งที่คำว่าอิสลามแปลว่าสันติ หรือสงบ นี่ก็ไม่ได้ถือศาสนาสันติ หรือสงบจึงมีแต่การฆ่า ศาสนาคริสเตียนก็ยังไม่คุ้มครองการฆ่า ยังมีการฆ่าโดยบุคคลที่ประกาศตัวว่าถือศาสนาคริสเตียน ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท ประกาศตัวว่าเป็นพุทธบริษัท เคยมีชื่อเสียงดีมาในประวัติศาสตร์ว่าพุทธบริษัทไม่เคยหลั่งเลือดในสงครามหรือเป็นเหตุให้เกิดสงคราม แต่ก็ระวังเถิดถ้ามันละทิ้งพระศาสนาเมื่อไร มันก็ต้องมีการฆ่า เพราะมันไม่มีความรักผู้อื่น
เดี๋ยวนี้ไปหาความรักผู้อื่นได้ที่ไหนบ้าง ขออภัย อาตมาจะกล่าวว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครมีหัวใจที่รักผู้อื่นบ้าง ว่ากันโดยความบริสุทธิ์ใจใครมีหัวใจรักผู้อื่นบ้าง มันมีแต่รักตัวกู รักของกู การรักลูก รักเมีย รักผัว รักเพื่อนกินเหล้า รักเพื่อนเล่นกอล์ฟ อันนี้มันไม่ใช่รักผู้อื่น นั้นมันเป็นส่วนหนึ่งแห่งตัวกูที่ออกไปอยู่ในรูปนั้น มันไม่ใช่ผู้อื่น ไอ้รักผู้อื่นนั้น มันไม่ใช่เรื่องรักลูก รักเมีย รักผัว รักเพื่อน รักไอ้เพื่อนที่กอบโกยประโยชน์หรือมีประโยชน์ร่วมกัน มันต้องรักเขาอย่างเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย การรักสัตว์เดรัจฉานเป็นบทเรียน เป็นบทฝึกหัดให้เรารักผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราละทิ้งหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนา คือไม่รักผู้อื่น
การศึกษาในโลกนี้ก็ไม่มีเพื่อให้รักผู้อื่น เขาสอนแต่หนังสือ แล้วก็สอนแต่วิชาชีพ การศึกษามีแต่ ๒ประเภท คือ รู้หนังสือและรู้วิชาชีพ ไม่ได้สอนให้รักผู้อื่น ไม่ได้สอนธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ระบบการศึกษาในโลกทั้งโลกปัจจุบันนี้ ไม่มีการสอนให้รู้ธรรมะเพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มันก็เลยไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง การศึกษาก็มีแต่เรื่องรู้หนังสือและวิชาชีพ มันจึงขาดส่วนที่สามที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของธรรมะ เรื่องของศาสนา เรื่องของพระเป็นเจ้า แต่ก่อนนี้ไม่เป็นอย่างนั้น แต่ก่อนนี้เอาเรื่องธรรมะเรื่องศาสนามาสอนในโรงเรียน ด้วยเพราะเหตุว่าไอ้โรงเรียนนี่พระเป็นผู้จัด แม้แต่มหาวิทยาลัย เช่น ออกซ์ฟอร์ด กับเคมบริดจ์ที่มีชื่อเสียงมาก แต่ก่อนนี้ก็พระจัดทั้งนั้น พระในคริสตศาสนาจัดทั้งนั้น มันจึงเต็มไปด้วยเรื่องของศาสนา เดี๋ยวนี้ฆราวาสจัดก็ค่อยกีดกันออกไป ก็ไม่มีเรื่องของธรรมะหรือศาสนา ในโรงเรียนทั่วๆ ไป ก็ไม่มีเรื่องของธรรมะหรือของศาสนา เพราะผู้มีอำนาจแห่งยุคปัจจุบันนี้ถือว่าศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมือง มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับการเมือง เราต้องการความก้าวหน้าทางการเมือง ฉะนั้นอย่าเอาธรรมะ หรือศาสนามาให้กีดเกะกะ ฉะนั้นเอาออกไป เอาออกไป เอาออกไปจนไม่มีเหลือ นี่ไอความหลงในทางการเมือง กำจัดศาสนาออกไปจากการศึกษา
อีกทางหนึ่งมนุษย์โดยส่วนรวมโดยทั่วๆ ไป ไปหลงใหลในความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ยุคนี้เป็นยุคที่วัตถุเจริญประดิดประดอยนั่นนี่ ให้มีความสุขสนุกสนานเกี่ยวกับวัตถุ เข้าไปหลงในความสุขทางวัตถุแล้วก็รังเกียจเรื่องของศาสนา ซึ่งสอนไม่ให้บ้าไม่ให้หลงในเรื่องเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มันเป็นข้าศึกแก่กันและกันอยู่อย่างนี้ เมื่อมนุษย์ถูกความเอร็ดอร่อยทางวัตถุครอบงำเอา จนมองเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่การเมือง ก็กำจัดการศึกษาทางธรรม ทางศาสนาออกไปจากระบบการศึกษาส่วนใหญ่ของประเทศชาติ มันก็เหลืออยู่แต่เรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพ ไม่มีการศึกษาธรรมะเพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง การศึกษาเหลืออยู่เพียงเท่านี้ อาตมาขอเรียกว่า ระบบการศึกษาที่เป็นหมาหางด้วน ใครจะเจ็บแทนก็ตามใจ ใครจะเป็นผู้จัดการศึกษาในรูปหมาหางด้วนอยู่ก็คงจะมี การศึกษาระบบหมาหางด้วนให้เรียนกันแต่หนังสือ ให้เรียนกันแต่อาชีพ มันก็เป็นหมาหางด้วน
ถ้าเคยศึกษาหนังสือเด็กสอนอ่านเรื่องนิทานอีสป เรื่องหมาหางด้วน ก็คือว่า หมาตัวหนึ่งมันไปติดกับหางด้วน แล้วมันก็ไปเที่ยวบอกเพื่อนหมาทั้งหลายว่าหางด้วนดีกว่า ให้ช่วยกันตัดเถอะ ไอ้หมาทั้งหลายที่มันโง่มันก็พลอยตัดหางตามๆ กันไป จนหมาหางด้วนมีมาก จนกว่าจะพบหมาตัวหนึ่งที่รู้เท่าทันไม่ยอมตัดหาง นี่ในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ ความหลงในวัตถุนิยมหรือการเมือง ทำให้ตัดการศึกษาทางธรรมะออกไปเสียจากระบบการศึกษา ไอ้การศึกษามันจึงเป็นเหมือนหมาหางด้วน พูดให้เพราะหน่อยก็เป็นสุนัขหางขาด พูดตรงๆ ก็ว่ามันเป็นหมาหางด้วน ความไปหลงในวัตถุนิยม หรือไปหลงในเรื่องการเมืองนั่นแหละเป็นเหมือนกับกับที่คม งับเอาหางหมานั้นขาดไป คนจัดการศึกษาจึงจัดการศึกษาเป็นหมาหางด้วน ประเทศอื่นก็พลอยเอาอย่าง ประเทศไทยประเทศเล็กๆ ก็พลอยเอาอย่าง จนจัดการศึกษาเป็นหมาหางด้วนตามเขาไป
แบบเรียนเมื่ออาตมาเป็นเด็กๆ เช่นหนังสือธรรมจริยานี้มีเรื่องทางธรรม ทางศานามีอยู่เป็นบทๆ เช่น การเคารพตัวเองบทหนึ่ง การนับถือตัวเองบทหนึ่ง การไว้ใจตัวเองบทหนึ่ง การบังคับตัวเองบทหนึ่ง ความซื่อสัตย์ซื่อตรงบทหนึ่ง กตัญญูกตเวทีบทหนึ่ง ในชุดหนังสือธรรมจริยาสำหรับเด็กเรียน เดี๋ยวนี้หาไม่เห็นเพราะเขาตัดออกไปเสียจากระบบการศึกษาหมาหางด้วน หาหนังสือธรรมะชนิดนั้นอ่านไม่ได้อีกแล้ว เมื่อไรจะกลับมาขอให้ช่วยกันหน่อย เพื่อว่าถ้าว่าธรรมะหรือศาสนากลับมา คนเราก็จะได้รักกันตามความประสงค์ของศาสนาและโลกนี้ก็จะมีสันติสุข ถ้าเรามัวเรียนกันแต่หนังสือกับอาชีพแล้วมันยิ่งเห็นแก่ตัว ตัวกูของกูมันก็จะหนาขึ้นตามความก้าวหน้าของอาชีพ ก็เลยเป็นว่าไม่มีความสงบสุข ขอให้ช่วยกันคิดดูให้ดีๆ ว่าถ้าอย่างไรช่วยกันสักทีว่าพุทธบริษัททั้งหลายนี่แหละ ช่วยกันเพิ่มเติมการศึกษาทางธรรมะหรือทางศาสนาให้แก่ลูกแก่หลานหรือแก่ประชาชน เพื่อว่าให้การศึกษามันครบทั้ง ๓ อย่าง
เอาละในโรงเรียน เรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ แต่ว่าในบ้านทั่วๆ ไปนี้ให้เรียนธรรมะเรียนศาสนาอย่างที่พุทธบริษัทจะทำได้อย่างไร นี่แหละเรียกว่าช่วยกันต่อหางหมาที่มันขาดนั่นให้มันมีขึ้นมา แต่ขอให้ระวังให้ดีๆ อย่าไปคว้าเอาหางลิงมาต่อเข้ากับหางหมา มันก็ยิ่งร้ายไปกว่าเดิม นี่ขอให้ทุกคนสนใจกันสักหน่อยว่าอย่าไปเอาลัทธิผิดๆ นั่นๆ นี่ๆ อะไรก็ไม่รู้ มันออกชื่อแล้วมันก็น่าเกลียด มาต่อกันเข้ากับระบบการศึกษาให้เป็นระบบที่สามเลย ขอให้เป็นธรรมะในพระศาสนาที่เป็นหัวใจของพระศาสนาทั้งหลาย คือ ความรักผู้อื่น
อาตมาขอฝากไว้ในจิตใจของท่านทั้งหลายทุกคนว่า เราจะสนองพระพุทธประสงค์ให้เป็นปฏิบัติบูชา ด้วยการนำมาซึ่งความรักผู้อื่น ปฏิบัติตนอยู่ในความรักผู้อื่นด้วยความยากลำบาก ด้วยความอดกลั้นอดทน และจะใช้เป็นเครื่องบูชาพระศาสดา ไม่ออกชื่อพระพุทธเจ้าแต่เพียงว่าออกชื่อ แต่มีการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เป็นเครื่องบูชาด้วย อาตมาพูดถึงเรื่องความอดทน เดี๋ยวนี้มันก็ตอบได้แล้วว่าฝนมันตกลงมาใครจะทนได้ ใครจะมีความอดทน สำหรับบูชาพระพุทธเจ้าว่าเรานั่งตรงนี้ เราทำพิธีวิสาขบูชา ฝนตกลงมาเพิ่มให้ต้องใช้ความอดทน ใครจะใช้ความอดทนนี้เพิ่มพิธีวิสาขบูชาก็จะได้รู้กัน
อาตมาก็ได้กล่าวถึงการเตรียมจิตเตรียมใจให้เหมาะสมสำหรับการทำพิธีวิสาขบูชาพอสมควรแก่เวลาแล้ว หวังว่าท่านทั้งหลายจะทำในใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มีจิตใจเหมาะสมที่จะทำพิธีวิสาขบูชา แล้วเราก็จะได้ทำพิธีวิสาขบูชากันสืบต่อไป การแสดงธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา และตรงตามความประสงค์แล้ว อาตมาก็จะยุติการแสดงธรรมเทศนา เพื่อเตรียมพิธีวิสาขบูชาสืบต่อไปในกาลบัดนี้ เอวังมีด้วยประการฉะนี้.