แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[01:13] เราก็มาเป็นกัลยาณมิตรกัน มาแนะนำสิ่งที่มีสาระมีประโยชน์ ในลักษณะสภาพที่ทุกผู้เห็นว่าไม่ได้มาเป็นครูบาอาจารย์ ไม่ได้เป็นผู้รู้ที่จะมาสอนมาสั่ง แต่ว่าอยากจะมาทำหน้าที่นี้ หน้าที่ที่เป็นเทวทูต ทูตในทางธรรม มาบอกมาเตือนให้ท่านผู้ฟังนี่ไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต เพราะว่าชีวิตของเรานี่ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ไป เราก็ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพราก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ได้อยากได้พบอยากได้เจอ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ แต่ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกคนจะต้องแก่ เมื่อเกิดมาแล้วจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อเกิดมาแล้วจะต้องตาย เกิดมาแล้วจะต้องมีความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก..นะ จะต้องได้เจอะเจอกับสิ่งที่เราไม่รัก คือมีความรักแล้วก็มีความชังเกิดขึ้นในจิตใจ อันนี้จะเรียกว่าเป็นเทวทูตก็ได้ เค้ามาบอกมาเตือนเรา เราก็ควรจะพิจารณารับฟังเอาไว้ รู้เอาไว้จะได้เตรียมตัวเตรียมจิตเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เทวทูตเค้ามาบอกมาเตือนเรา แต่ว่าอันนี้อาจจะฟังเอาไว้เป็นแง่คิด แต่ว่าในตัวปฏิบัตินี่เราก็มีอยู่
การปฏิบัติตัวเราเพื่อจะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้นั้น ก็คือการสร้างบุญกุศลเอาไว้ สั่งสมบุญกุศลเอาไว้มากๆ เมื่อเรายังมีโอกาส เมื่อสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังมีโอกาสที่จะเตรียมตัวเตรียมจิตเตรียมใจของเรา แต่แม้ว่าเกิดขึ้นกับเราแล้วเราก็ยังแก้ไขได้ทันในตอนนี้ ยังไม่สายเกินไป บางท่านอาจจะมองไม่เห็น เอ..เราก็ยังไม่แก่นะ เราก็ยังไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ยังไม่ตาย เรายังมีความสุขดีอยู่ บางท่านอาจจะคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเราสามารถที่จะสั่งสมเอาไว้ก่อนได้ เมื่อยังไม่เกิดกับเรา ตัวเราเองยังไม่มีอาการแบบนั้น แต่ว่าเราลองสังเกตดูคนใกล้ๆ ตัวเรานะ เพื่อนของเรา ญาติมิตร หรือบุคคลอื่นที่เราได้รู้ได้เห็น เหมือนเค้ามาบอกมาเตือนเราเหมือนกันนะ ให้เราพิจารณาดูดีๆ อาจจะไม่เกิดขึ้นกับเราในตอนนี้ แต่เราก็สังเกตดูได้ เมื่อเกิดขึ้นกับคนอื่นแล้วเค้ารู้สึกเป็นอย่างไร บุคคลนั้นเค้าทนกับสภาพนี้ได้มั้ย เมื่อความทุกข์มาบีบคั้น เราสังเกตความรู้สึกของเค้า สังเกตดูดีๆ นะ แล้วก็มาน้อมมาใส่ตัวเรา เมื่อเค้ามีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เช่น ความทุกข์บีบคั้น เราลองน้อมมาใส่ตัวเราว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างเราจะรู้สึกอย่างไร..ใช่มั้ย
บางท่านก็เคยมาเยี่ยมมาเยียน มาปรึกษามาถามสภาพที่ผมเคยได้ประสบมา เค้ากลับไปบอกว่าถ้าเป็นเค้านะเค้าทนไม่ได้หรอก เค้าต้องฆ่าตัวตาย คุณทนอยู่ได้อย่างไร..ใช่มั้ย ถ้าเป็นเค้า เค้าต้องฆ่าตัวตาย นี่เป็นความรู้สึกของเค้านะ เพราะฉะนั้น ในความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเราลอง ลองเปรียบ เอาใจเราไปใส่ใจเค้า เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ลองนึกดูว่าสภาพความทุกข์เช่นนั้นนี่เราทนได้มั้ย เราจะหาทางออกได้อย่างไร อันนี้เป็นการฝึกหัดคิด ฝึกหัดเอาไว้เราจะเอาอย่างไร เพื่อว่าเตรียมตัวไว้ก่อน หาลู่ทางไว้ก่อนจะได้ไม่ประมาท เนี่ย..ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาด้วย แต่ว่าเมื่อเรามีโอกาส เมื่อเรายังไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งเหล่านั้นมันยังไม่ใกล้ตัวเราก็ตาม เราก็อย่าประมาท ต้องสั่งสมกุศลเอาไว้ให้มากๆ การให้ทาน การรักษาศีล ก็ทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าลืม [06:23] บุญสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ การภาวนา บุญที่เกิดจากการภาวนานี่แหล่ะ ก็เป็นบุญสูงสุด การภาวนานี่ถือว่าเราสามารถนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยการภาวนานี่เป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย ไม่ไร้สาระ จะเรียกว่าเป็นกำไรชีวิตก็ได้ หัวใจของการปฏิบัติธรรมนะ ก็คือ การนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าจะต้องทำที่โน้นที่นี้อย่างเดียว..ไม่ใช่
[07:07] การภาวนานี่ถ้าเรานำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็...คุ้มค่า ทำให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ คือว่า รู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ แล้วนี่จะเป็นการสั่งสมบุญ สั่งสมบุญได้ตลอดทั้งวัน ทุกครั้งที่เรารู้ คือรู้สึกตัวนะ ก็เป็นการสั่งสมบุญเอาไว้แล้วหนึ่ง ในจิตใจของเรา รู้หนึ่ง รู้สอง รู้สาม รู้สี่ มากรู้เมื่อไหร่ล่ะก็ บุญก็มีโอกาสได้เต็มจิตเต็มใจเรา ยิ่งบุญที่เกิดจากการภาวนาแล้วล่ะก็ จะว่าเป็นยอดของบุญก็ได้ ยอดบุญเหนือทุกข์ เพราะว่าทำให้เราออกจากความทุกข์ได้อย่างยอดเยี่ยม บุญที่เกิดจากการภาวนานี่จะว่าเป็นยอดของบุญที่เราออกจากความทุกข์ได้อย่างยอดเยี่ยม ในชีวิตประจำวันนี่เราควรจะมีสิ่งนี้ไว้ คือการภาวนาอยู่เนืองๆ รู้สึกตัวอยู่เนืองๆ นี่ก็เป็นส่วนที่สำคัญมาก ถ้าหากว่าเราสามารถนำเอาการเจริญสตินี่ เอามาใช้ในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องกันนานๆ รู้เท่าทันในอาการของกายของจิตของใจ รู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต คือสิ้นลมหมดลมเมื่อไหร่ล่ะก็ เราจะพ้นจากปัญหาโดยสิ้นเชิง ยิ่งเราปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าปล่อยวางได้เมื่อไหร่ล่ะก็มันจะสิ้นปัญหา เรียกว่าในวัฏสงสารนี่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเลย การปล่อยวางนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิต เราควรจะฝึกเอาไว้เมื่อเรายังไม่สิ้นลม ฝึกปล่อยวางหน้าที่การงานไว้ชั่วคราว ไม่ใช่ขี้เกียจนะ หมายถึงว่าเราทำงานกันมามากแล้ว คร่ำเคร่งกับการทำงาน ถึงคราวที่จะต้องหยุดเราต้องฝึกที่จะปล่อยวางบ้าง
ปล่อยวางหน้าที่การงาน ปล่อยวางทรัพย์สินเงินทองที่เรามีอยู่ ปล่อยวางครอบครัวญาติมิตร ปล่อยวางสิ่งที่มันกังวลใจ เรื่องวิตกกังวลต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องการ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความเบื่ออึดอัดขัดเคือง เมื่อมันเกิดขึ้นในใจเรานี่เราควรจะมีสติรู้ทันมันแล้วก็ฝึกที่จะปล่อยวางมันซะบ้าง คิดปล่อยวางก็ยังดีนะ คิดปล่อยวางมันซะ ฝึกปล่อยวาง เปลี่ยนอารมณ์ เราเครียดเรื่องนี้..เอ้า..รู้ทัน เปลี่ยนไปทำสิ่งอื่น มันดีกว่าที่ทำให้เราไม่เครียด นี่ชอบตัวปฏิบัติ เปลี่ยนมันซะ มันเกิดความสุข เกิดความยินดี อยากได้ พอใจ ติดตาม เราฝึกให้มีสติรู้แล้วเราไม่ทำตามมันบ้าง ฝึกไม่ทำตามมันบ้าง อยากเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ประกอบไปด้วยกิเลสที่จริงเรารู้อยู่นะ แต่เราไม่เคยมีสติที่จะเอาชนะมันได้ เราติดตามไปเรื่อยๆ แล้วก็เสียเปรียบ เราฝึกที่จะไม่ทำตามมันซะบ้าง เอาชนะโดยที่ไม่ทำตามนะ สุดท้ายรู้จักปล่อยวางมัน เนี่ย..ในความโลภความอยากต่างๆ ทำให้จิตใจเราเคยชินที่จะไม่ยึดติดมัน แล้วก็สิ่งที่มันค้างคาใจ เรื่องอะไรก็ตามที่มันค้างคาใจเราอยู่ จะเป็นเรื่องความโกรธ โกรธบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือความไม่พอใจในสิ่งอะไรก็ตาม เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องหนี้สิน เรื่องการงาน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจเรา ที่มันค้างคาใจเราอยู่ คิดทีไรก็ทุกข์ทุกที ที่เป็นเรื่องราวในอดีตที่มันค้างคาใจ ให้มีสติรู้ทันแล้วก็รู้จักที่จะปล่อยวางมันซะบ้าง ถ้าปล่อยตอนนี้ไม่ได้นี่มันอันตรายนะ
เราจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ถ้าเราตายจากโลกนี้ไปแล้วเราปล่อยวางสิ่งค้างคาใจไม่ได้ล่ะก็ มันจะติดตามเราไป ภพน้อยภพใหญ่ คนก็จะเป็นทุกข์ แล้วทีนี้สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเราต้องฝึก ฝึกที่จะปล่อยวางตัวเราของเราด้วย ตัวตนนี่สำคัญนะ อัตตาตัวตนนี่ ยิ่งอัตตาใหญ่ความทุกข์มันก็ใหญ่ คือตัวตนใหญ่ อัตตาน้อยตัวตนน้อยทุกข์มันก็น้อย ถ้าไม่มีอัตตาไม่มีตัวไม่มีตนเลย คือไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย ทุกข์มันก็จะไม่มี จะไม่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวเราอยู่ ก็ไม่เป็นไร เราลองฝึกที่จะปล่อยวางมันซะบ้าง ปล่อยวางโดยการนอนนิ่งๆ นะ นี่ไม่ใช่ตัวเรานะ เป็นเรื่องของกายเรื่องของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาเป็นตัวเรา อันนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก กายนี่มันไม่ใช่ของเรา เป็นของธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิดจิตใจมันก็ไม่ใช่ของเราอีก มันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรอก กายจิตเรามีอยู่ แต่ว่ามันไม่มีตัวตนจริงๆ หรอก ของเค้ามีอยู่อย่างนั้นแหล่ะ แต่มันไม่มีตัวตนอยู่จริง ฝึกที่จะปล่อยที่จะวางแม้ในความคิดก็ยังเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราสามารถที่จะมีสติมีปัญญาปล่อยวางตัวตนหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ถือว่าเป็นการสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป ก่อนตายทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่ล่ะก็มันจะเป็นประโยชน์จะคุ้มค่ากับที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรียกว่าตายดีก็ได้ ถ้าตายด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่ถือว่าตายดี ตายดีนั้นตายอย่างไหร่ คือตายด้วยจิตที่สงบ แล้วก็มีสติ ในทางพระพุทธศาสนานี่สำคัญมากที่ว่า สภาวะจิตสุดท้ายนี่เป็นจิตที่สำคัญมาก ถ้าจิตที่เป็นกุศลมีสติมีความสงบเมื่อไหร่ล่ะก็ สุคติเป็นที่หวังได้ แต่ถ้าตายด้วยจิตที่ฟุ้งซ่านไม่สงบขาดสติ อันนี้คือทุคติที่หวังได้ วัดกันตอนที่จิตสุดท้าย นาทีสุดท้าย นาทีทอง วินาทีสุดท้าย ตัวมีสิทธิ์ชิงภพก็ว่าได้ วัดกันด้วยจิตที่สุดท้ายของชีวิตนี่สำคัญมากว่าคติเราจะไปทางไหน..ใช่มั้ย
[14:59] เพราะฉะนั้น ชีวิตของเรานี่เราสามารถที่จะวัดผลได้ว่าเราอยู่อย่างไรเราก็ตายอย่างนั้น อยู่อย่างไรตายอย่างนั้น เรามีชีวิตอยู่อย่างไรเราก็ไปอย่างนั้น อย่างเช่นว่าในปัจจุบันนี้เรามีชีวิตที่มีความสุข ทำแต่บุญกุศล แล้วก็เจริญสติต่อเนื่องอยู่เนืองๆ อันนี้เป็นการใช้ชีวิตที่อยู่ แล้วตอนปลายชีวิตก็จะไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล มีความสงบมีสตินะ ไปสู่สุคติ ไปดี แต่ถ้าหากว่าชีวิตในแต่ละวันนี่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยบาปอกุศล สั่งสมแต่เรื่องกองกิเลส ไอ้นั่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากได้นะ โลภ โกรธคนโน้นโกรธคนนี้ หงุดหงิดอึดอัดขัดเคือง พื้นฐานของจิตมีแต่ความทุกข์ ขี้หงุดหงิดขี้โกรธขี้โมโห สั่งสมแต่กองกิเลส ไม่เคยสร้างบุญสร้างกุศล หลงลืมสติอยู่เนืองๆ จิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวาย..ใช่มั้ย เมื่อเราตายไปนี่ มันก็ไปสู่ทางที่ไม่ดี สู่จิตใจที่มีแต่ความทุกข์ มันก็ไปสู่ความทุกข์ เราอยู่อย่างไรเราก็ตายอย่างนั้น และสำคัญมากในชีวิตที่เป็นความเป็นอยู่นี่ ต้องทำให้ดีเข้าไว้ ให้มีความสุขให้มีสติเข้าไว้ เราจะได้เป็นกำไรชีวิตนะ อันนี้เราก็ถือว่าเป็นเทวทูต ไม่ใช่เป็นครูบาอาจารย์ เป็นเทวทูต ปรารถนาดีกับกัลยาณมิตรเพื่อนทุกๆ คน จะได้นำเอาไปพิจารณาเพราะว่าชีวิตของเรานี่ไม่แน่นอน แก่ไม่บอกเรา เราไม่รู้วันเจ็บวันตาย มันพลัดพราก เรารู้ไม่ทัน เราเตรียมตัวเอาไว้เพื่อความไม่ประมาท ก็..นำเอาไปพิจารณา.