แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
... ทำให้สติตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นการรู้แจ้ง เป็นการรู้จริง คำว่า “รู้แจ้งรู้จริง” นี้ หมายถึง รู้อยู่ทุกขณะทุกเวลา ...
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
[01:04] คำที่หลวงพ่อเทียนท่านเคยได้กล่าวไว้ว่า เมื่อเราทำให้สตินี่ตื่นตัว รู้อยู่ทุกขณะ มันก็มีผลทำให้เรานี่รู้แจ้งรู้จริง คำว่า “รู้แจ้งรู้จริง” นี่หมายถึงตัวปฏิบัตินะ เป็นตัวการปฏิบัติ เป็นภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา หรือเกิดจากการเจริญสตินี่แหละ ก่อนถึงคำว่า “รู้แจ้งรู้จริง” นี่ หลวงพ่อเทียนท่านก็ได้พูดไว้ก่อนว่า เรามีความรู้อยู่ ๔ ระดับ คือ รู้จำ แล้วก็รู้จัก แล้วจึงมารู้แจ้ง รู้จริง คำว่า “รู้จำรู้จัก” นี่ก็หมายถึง รู้ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง การที่เราได้อ่าน แล้วเราก็คิดนึก จดจำเอาไว้ เค้าเรียกว่ารู้จำ แต่เป็นความรู้ในขั้นต้นๆ ซึ่งใครๆ ทั่วไปก็รู้ได้ แต่ว่ายังดับทุกข์ไม่ได้ รู้จำรู้จักนี่ไม่ใช่ตัวปฏิบัติ ยังดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาจิตใจไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราเข้าสู่ตัวภาวนา คือการเจริญสตินี่ มันก็มีผลทำให้เกิดความรู้อีก ๒ ระดับ คือ รู้แจ้ง รู้จริง เป็นการประจักษ์แจ้งสัจธรรมต่อหน้าต่อตา อันนี้เป็นการรู้แล้วแก้ปัญหาได้ รู้แล้วพ้นทุกข์ไปเลย มันจะเรียกว่า “ความรู้” มันก็ไม่ใช่ มันเหนือรู้..งงมั้ย..ท่านผู้ฟัง ถ้างงก็รู้ว่างงนะ ถ้ารู้ว่างงแปลว่ารู้แจ้งรู้จริง รู้ในทุกขณะปัจจุบันแล้ว อย่าเพิ่งคิดมาก ชีวิตของเรานี่ก็อย่างนี้แหละ เราต้องอาศัยความรู้ ๔ ระดับนี่แหละ รู้จำก็เป็นประโยชน์ รู้จักก็ดี ถ้ารู้แจ้งรู้จริงก็ยิ่งดีใหญ่เลย รู้เพื่ออะไรล่ะ ก็รู้เพื่อให้หลุด หลุดพ้นจากความทุกข์ คนทุกคนนี่ทุกชีวิตนี่ทุกวันนี้ไม่ต้องการความทุกข์ ต้องการความสุข แต่ว่ามันกลับตรงกันข้าม ความสุขนี่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่หายาก แต่ความทุกข์นี่มันจะหาง่ายๆ ความสุขนี่บางทีคิดแล้วมันไม่เป็นสุขนะ แต่ความทุกข์นี่พอคิดปั๊บนี่ อ้อ..ขึ้นมาทันทีเลย สุขไม่ได้หาง่าย ทุกข์นี่หายาก อันนี้คำตรงกันข้าม แต่เดี๋ยวนี้คนเราทั่วไปนี่เวลาเกิดที่อยากจะได้ความสุขนี่เป็นสิ่งที่หายากมาก จะทำยังไงดีจะให้มีความสุข แล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์
ก็ดูเอาเถอะ ในแต่ละวันนี่เราตื่นนอนขึ้นมานี่ จิตใจเราเป็นอย่างไร จิตมันก็จะคิดแล้ว คว้าเอาความทุกข์มาสู่จิตสู่ใจเรา มีความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ นานา ความทุกข์เลยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถ้าเราเริ่มต้นตื่นนอนในตอนเช้า แม้แต่เวลาเราจะกิน กินข้าวกินอาหารไปแต่ละมื้อนี่ บางทีอาหารในแต่ละมื้อของเราที่แสวงหามานี่ หรือไปซื้อหามา หรือไปนั่งตามร้านต่างๆ ที่มีราคาแพงๆ อาหารที่มีราคาแพงๆ ที่จะหาความสุข แต่บางทีเรากินอาหารแบบจิตใจไม่เป็นสุขก็ได้นะ เรากินแบบจิตใจที่เป็นทุกข์วิตกกังวล กินไปคิดไป ไม่ได้กินอาหาร มันกลับกลายเป็นกินความคิด กินการปรุงแต่ง มันก็เป็นทุกข์ กินไม่เป็นสุข เค้าจึงบอกไว้ว่า ก่อนจะกินอาหารตอนที่ท้องว่างๆ นี่อย่าเพิ่งไปคิดอย่าเพิ่งไปเครียด อย่าไปวิตกกังวล ในยามท้องว่างนี่ถ้าไปคิดวิตกกังวลไปเครียดขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ มันจะมีผลที่ว่ากระเพาะอาหารเค้าจะหลั่งน้ำย่อยออกมานะ โดยที่ไม่มีอาหารให้ย่อยเนี่ย แล้วน้ำย่อยนั่นจะย่อยอะไร ก็ย่อยกระเพาะอาหารเรา มันก็เป็นแผล แล้วก็มาเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ก่อนกินอย่าให้เครียด ก่อนอาหารในยามท้องว่างอย่าเพิ่งเครียดอย่าเพิ่งกังวล แล้วเมื่อเวลากินอาหารไปแล้ว อิ่มแล้วนี่ก็ไม่ควรจะเครียดอีกนะ ถ้าเครียดหลังอาหารมันก็มีผลเหมือนกันนะ การย่อยอาหารจะไม่ปกติ ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องขึ้น มีลม มีเรอ ก็อึดอัดมันก็เป็นทุกข์อีกแหละนะ เพราะฉะนั้น สรุปแล้วนี่ทั้งก่อนอาหารและก็หลังอาหารไม่ควรจะเครียดนะ ทำจิตใจให้เป็นปกติเข้าไว้
เวลาทำงานนี่บางทีเราก็ไม่มีความสุขกับการทำงาน ความสุขเป็นสิ่งที่หาได้ยากในระหว่างการทำงาน ถ้าเราวางจิตวางใจไว้ไม่ถูกต้อง ทำงานไปก็เกิดความวิตกกังวล งานนี่มันจะเสร็จทันเวลาหรือไม่..กังวลแล้ว เราตั้งกฎเกณฑ์ของเวลาเอาไว้ แต่เราทำงานไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ มันจะเสร็จตามเวลาที่เราตั้งเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย อันนี้ใจเราก็เป็นทุกข์กับการทำงาน เกิดความวิตกกังวล เครียดแล้ว หรือบางทีกังวลนะ อ๋อ..ทำงานไปแล้วนี่ ผลของงานนี่จะดีหรือเปล่าเนี่ย อันนี้คือคนเรากังวลกันมากตรงนี้ทั้งหมด ต้องการผลของงาน ถ้าผลออกมาไม่ดีล่ะก็ โอ๋..เรานี่แย่เลย เป็นทุกข์อีกแล้ว ไม่เป็นสุขกับการทำงาน มีแต่ความกังวลมีแต่ความเครียดกับการทำงาน แม้กระทั่งในยามนอน ในยามนอนนี่ตอนเข้านอนน่าจะเป็นสุขนะ เพราะจะได้พักผ่อนทั้งกายทั้งใจ แต่เรายังหาความสุขได้ยากจากการนอน แม้ว่าที่นอนหรือเตียงนอนนี่ราคาแพงๆ นะ เราหาซื้อมาด้วยราคาแพงๆ นี่เปิดแอร์เย็นสบาย ต้องการนอนอย่างมีความสุข แต่เวลานอนนี่เราก็เกิดความคิดวิตกกังวลแล้ว คิดวิตกกังวลปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆ นี่ มันก็นอนไม่หลับ มันก็เป็นทุกข์ในยามนอนอีก..ใช่มั้ย เราจะหาความสุขได้ยากมากในแต่ละวันนี่ ถ้าเราวางจิตวางใจไว้ไม่ถูกต้อง
มีอีกหลายอย่างในชีวิตประจำวันของเราที่หาความสุขได้ยากจากการใช้ชีวิต ความทุกข์เกิดจากอะไร ทำไมจึงมีทุกข์มากมายจนหาความสุขได้ยาก ทุกข์ที่เกิดจากจิตใจนี่มันก็ไม่เกินเรื่องการปรุงแต่งหรอก การปรุง การแต่ง การนึก การคิดในทางจิตใจ แล้วขาดสติ สติที่หมายถึงสติที่รู้สึกตัว หรือรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่สติธรรมดา สติธรรมดาตามธรรมชาติตามสัญชาตญาณนั้นก็แค่รู้เฉยๆ อ้อ..รู้ว่าเราหิว รู้ว่าเราโกรธ รู้ว่าเราสุข รู้ว่าเราทุกข์ รู้แบบเป็นสัญชาตญาณ แบบมีตัวมีตน ถ้าสติแบบรู้ตัวทั่วพร้อมนี่มันจะไม่รู้แค่นั้น คำว่ารู้ตัวทั่วพร้อมคือรู้เรื่องของกายกับรู้เรื่องของจิต จึงได้เรียกว่าตัว เรียกว่าทั่วพร้อม พร้อมทั้งกายพร้อมทั้งจิต อันนี้คือรู้ตัวทั่วพร้อม เพราะตัวเรามีกายมีจิต ต้องมีสติประเภทนี้นะ สติข้อนี้เราจึงจะนำเอามาใช้ประโยชน์ได้ในแต่ละวัน เอาชนะความคิดปรุงแต่งได้ เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมาก่อนที่เราจะลุกออกจากเตียงนี่ ถ้าเรามีสติที่รู้ตัวทั่วพร้อมเราจะรู้ว่า อ้อ..นี่เรานอนอยู่ในท่าไหนนะ เรานอนท่าไหนเราก็รู้สึกตัวอยู่ จิตใจมันคิดมันนึกอะไรก็รู้เท่าทัน เช่น เรามีสติรู้กายว่ากำลังนอนอยู่ ความคิดมันก็จะไม่มีการปรุงแต่งนะ จิตมันจะไม่ปรุงแต่งอะไรขึ้นมาหรอก เพราะเรารู้กายที่มันนอนอยู่ แต่ถ้าหากว่าเรารู้กายไม่ทันไปเห็นจิตที่มันคิดวิตกกังวลเข้า เรามีสติรู้จิตมันก็พ้นออกมาจากความคิดนั้นได้ ด้วยการรู้ตัวทั่วพร้อม เราก็ตื่นนอนอย่างมีความสุข ความสุขเลยหาได้ง่ายเลย ก็เพราะมีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม สติมาก่อนความกังวล เพราะเรามารู้กาย มีสติอยู่เหนือความกังวล
เมื่อเรารู้ทันจิตที่มันคิดขึ้นมา ในยามกินถ้ากินอย่างมีสติ กินอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม กินอย่างรู้สึกตัวนี่ ก็จะอยู่กับปัจจุบันกับการกินนะ อยู่กับการเคลื่อนไหวกับการกิน จิตมันก็จะไม่ปรุงแต่งมากมายนัก แม้ว่าจิตมันจะปรุงมาบ้างสติก็รู้ทันนะ การปรุงแต่งนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร ก็มีความสุขกับการกินได้เหมือนกัน ความสุขเลยหาได้ง่ายจากการกิน แม้ว่าการทำงาน การทำงานของเรานี่ถ้าเราทำด้วยสติที่รู้ตัวทั่วพร้อม การทำงานก็สนุกนะ มีความสุขกับการทำงาน ความวิตกกังวลว่าจะไม่เสร็จทันเวลา หรือกังวลว่าผลงานจะออกมาไม่ดี ซึ่งนั่นเป็นเรื่องอนาคต แต่ถ้าเรามีสติที่รู้ตัวทั่วพร้อม รู้กายกำลังเคลื่อนไหว รู้จิตรู้ใจที่มันคิดมันนึกขึ้นมานี่ โอ้..มันจะเป็นปัจจุบันนะ จะเป็นปัจจุบันอยู่กับแดนงานของเรา งานนั้นก็จะเป็นงานที่ทำให้จิตใจเรามีความสุข สุขเกิดจากการทำงาน ความสุขเลยหาได้ง่ายเหมือนอย่างที่เราทำงาน แม้กระทั่งเรานอน ขณะที่นอนนี่ถ้านอนอย่างมีสติอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม จิตก็จะเป็นปกติ รู้ตัวว่ากำลังเอนกายลงนอนอย่างรู้สึกตัว สติก็มาก่อนแล้ว แม้ว่าจะมีความคิดบ้าง มันต้องมีแน่ล่ะพอตอนนี้ เพราะมันเป็นเวลาที่สรุปแต่ละวัน ถ้ามันคิดเราก็รู้ว่ามันคิด มีความรู้สึกตัว รู้เท่าทันในความคิด คิดมันก็เป็นปกตินะ แล้วก็หลับไปกับความรู้สึกตัว หลับอย่างมีความสุข แม้แต่ในขณะที่เราจะหลับลงไป ชีวิตเรานี่ถ้ากินอิ่มนอนหลับก็มีความสุขแล้ว สตินี่จะทำหน้าที่รู้เท่าทัน รู้กายรู้ใจ เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม รู้ทุกขณะ มันจะอยู่เหนือความทุกข์
[13:20] ในขณะที่รู้สึกตัวนี่จิตก็จะสงบตั้งมั่น รู้อยู่ ดูอยู่ นิ่งอยู่ เป็นปกติเป็นกลางๆ เพราะฉะนั้นจึงเกิดปัญญา รู้ชัดรู้แจ้ง จิตก็จะผ่อนคลายเพราะมีการปล่อยวาง พอรู้ชัดรู้แจ้งแล้วก็จะปล่อยวาง จิตจะผ่อนคลายไม่เครียด จิตจะผ่องใสเบิกบาน ความสุขจึงเป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ความทุกข์จึงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ความสุขเกิดจากสิ่งที่เราขาดไป แต่ถ้าเรามีความรู้สึกตัว มีความรู้สึกตัวรู้ตัวทั่วพร้อม เราก็จะเติมเต็มความสุข ส่วนความวิตกกังวล ความเศร้าหมอง ความเครียด ความทุกข์ต่างๆ ก็คือส่วนเกินของชีวิต.