แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่อง สติเป็นยอดแห่งคุณธรรม
... สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ...
พระโกณฑัญญะ
[00:53] วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา เมื่อวานนี้ก็เป็นวันอาสาฬหบูชา จะว่าไปแล้วก็ทั้งสองวันนี้ถือว่าเป็นวันพระใหญ่ พวกเรามักจะชอบไปทำบุญ ไปให้ทาน ไปรักษาศีล ไปภาวนากัน สองวันนี่เรียกว่าเป็นวันบุญ มีญาติธรรมมาเยี่ยมมาคุย ก็ถามว่าไปไหนมา มาจากไหน ต่างก็จะบอกกันว่า อ้อ..ไปวัดมา ไปทำบุญมา พาลูกพาหลานชวนเพื่อนไปทำบุญที่วัดโน้นวัดนี้ ก็มาอนุโมทนาบุญกันที่ชมรม นี่เป็นบรรยากาศที่ดีมากเลย เป็นบรรยากาศของบุญแท้ๆ เอ้า..ฝ่ายนั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่..อิ่มบุญ อิ่มบุญแสดงว่าเรื่องของบุญเป็นเรื่องที่ทันสมัย ทันสมัยอยู่เสมอ เรื่องของบาปเรื่องของอบายมุขล้าสมัยไปแล้ว มันเลิกไปแล้วล้าสมัย เดี๋ยวนี้เค้ามุ่งเรื่องการทำบุญ การเข้าพรรษาเราฆราวาสญาติโยมเราไม่ได้ไปจำพรรษาเหมือนพระคุณเจ้าที่วัดก็ไม่เป็นไรนะ เราถือเอาสาระตรงนี้ก็ได้ เรามาเข้าพรรษาที่จิตที่ใจของเรา เข้าพรรษาทางใจมันปัจจุบันกว่า คือการเข้าสู่คุณธรรม คุณงามความดี เอาใจเรานี่เข้าสู่คุณธรรม หรือดึงเอาคุณธรรมนี่เข้ามาสู่จิตสู่ใจของเรา เรามาเข้าพรรษากันตรงนี้ดีกว่า คุณธรรมนี่ก็คือการเริ่มจากการคิดดี พูดดี ทำดี คุณธรรมแบบนี้เราทำได้ทุกๆ วันเลย เดี๋ยวนี้ก็ทำได้ พูดดี คิดดี ทำดี บางท่านอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ..ไอ้ที่คิดดี พูดดี ทำดี จะเริ่มต้นจากอะไรก่อน เราเริ่มได้เลย คิดดี..เริ่มต้นคิดดี คิดออกจากกาม คิดออกจากกิเลส อันนี้แค่ความคิดไว้ก่อนนะ คิดที่จะไม่พยาบาท คิดที่จะไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ทั้งคนอื่นและก็ตัวเราด้วย เริ่มต้นที่ความคิดกิจมันก็สำเร็จแล้ว สำเร็จลงไปที่ความคิด พูดดีหรือไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดจริงคำสัตย์คำจริง พูดคำไพเราะอ่อนหวาน พูดมีประโยชน์ถูกกาลเทศะ นี่อันนี้ก็พูดดี แล้วทำดีล่ะ ทำดีทำอะไรก็ได้ ที่เราจะต้องการจะทำ แต่..สิ่งที่เรากระทำนั้นจะต้องไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนชีวิตเค้า ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่ทำลายเค้า ไม่ทรมานชีวิตคนอื่น
แต่ในทางตรงข้ามเราก็มีความเมตตา มีความกรุณา ให้อภัย แล้วก็ไม่ลักขโมยในสิ่งที่เค้าไม่อนุญาต ไม่ลักขโมยเค้า ไม่โกงเค้า ไม่เอาเปรียบเค้า ในทางตรงข้ามเราก็ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละ มีน้ำจิตน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ความไม่เห็นแก่ตัวนี่ดีนะมีประโยชน์มาก เราต้องมีน้ำใจบางครั้ง เราอย่าทำตนเป็นลูกจ้างเสมอไป อย่างเช่นว่าถ้าเค้าไม่จ่ายเราก็ไม่ทำอย่างนี้นะ เค้าไม่จ่ายเงินเราก็ไม่ทำ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเราก็ไม่ทำ อันนั้นไม่ใช่บุคคลที่มีน้ำใจ คนที่มีน้ำใจไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ส่วนนี้เราให้ คือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว อันนี้ไม่ใช่ลูกจ้างนะ คือทำแบบไม่หวังผล ทำแบบไม่ต้องการผลตอบแทน ทำเพียงเพื่อเป็นประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง อันนี้เค้าเรียกว่าเสียสละ บางครั้งเราก็มีอย่างนี้บ้างนะในจิตใจเรา เราจะได้มีจิตใจที่สงบ ภูมิอกภูมิใจ สบายใจในสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราทำเพื่อจะต้องการค่าจ้าง ถ้าเค้าไม่จ้างเราไม่ทำนี่ ใจเราก็เริ่มแห้งแล้ง ไม่ภูมิใจ รับเงินแล้วก็ทำงาน อย่างนี้ไม่ค่อยภูมิใจ สู้ทำงานแบบไม่รับเงินเสียมันน่าภูมิใจนะ ใจสบายมีความสุข บางทีต้องมีแบบนี้บ้าง ไม่ใช่ว่าจะต้องรับเงินตะพึดตะพือ อันนั้นมันก็จะไม่มีความสุข จิตใจจะแห้งแล้ง ได้แต่เงินเอามาใช้เดี๋ยวมันก็หมด ส่วนที่รับจ้าง เอ้า..เราก็ทำไป แต่ส่วนที่น้ำใจเราก็ต้องมีบ้างนะ อันนี้มันจะเป็นความสุข นอกจากเราจะไม่ผิดลูกผิดเมียสามีภรรยาใคร เราก็ทำดีโดยการสันโดษ ทำดีสันโดษนะ สันโดษในคู่ครองของเรา ในสิ่งของของเรา เราไม่ดื่มสุรา ก็ถือเป็นการทำดีเหมือนกันนะไม่ดื่มสุรา มันล้าสมัยแล้วเหล้าบุหรี่ เป็นเรื่องเก่าๆ เรื่องทำร้ายตัวเองให้เดือดร้อน ทำทำไม ไม่ต้องไปแล้วดื่มสุรา สิ่งเสพติดเลิก ล้าสมัย เรามัวแต่ดื่มสุราสูบบุหรี่อยู่นี่ไม่ทันสมัยแล้ว สมัยนี้เค้าต้องมีสติ หันเหมาใช้ชีวิตอย่างมีสติ รักษาจิตรักษาใจเรา ควบคุมวาจาควบคุมกายเราให้เป็นปกติด้วยสติ อันนี้น่ะทันสมัยกว่า เพราะว่ามันเอื้ออำนวยความเป็นประโยชน์ให้กับเรา ทำให้แก้ปัญหาชีวิตเราได้ ไม่เพิ่มปัญหาชีวิต
เข้าพรรษานี้เราต้องทำสิ่งที่ทันสมัยนะ เราจะต้องมีสติอยู่เสมอๆ คุณธรรมทั้งหลาย ความดีทั้งหลาย จะเป็นทางกายทางวาจาทางใจนี่ต้องมีสติ สติจะเรียกเอาคุณธรรมทั้งหลายเข้ามาสู่จิตใจเรา จะว่าไปแล้วคือสตินี่เป็นศูนย์รวมแห่งความดีทั้งหลายทั้งปวง เป็นศูนย์รวมแห่งคุณธรรม ถ้าเราขาดสติเสียอย่างเดียวนี่บางทีคิดดีมันก็ไม่มีนะ คิดไม่ดี พูดก็ไม่ดี ทำก็ไม่ดี เพราะขาดสตินำเอาคุณธรรมส่วนนี้มาใช้ มันก็เลยขาดหายไป ถ้าเรามีสติรู้สึกตัว ความคิดก็จะดี คำพูดก็จะดี การกระทำก็ดีไม่ผิด เป็นศูนย์รวมแห่งคุณธรรมจริงๆ ซึ่งในแต่ละวันนี่เราสามารถจะสร้างขึ้นมาได้สตินี่ความรู้สึกตัวนี่ เราทำตัวนี้ ยิ่งในพรรษานี้เราถือว่าเรามาภาวนากัน มาเจริญสติ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ คือรู้ลงไปเฉยๆ ในการทำการพูดการคิด รู้ก่อนทำ รู้ก่อนพูด ถ้ารู้ก่อนคิดได้ล่ะก็เยี่ยมเลย เรียกความรู้สึกตัวมาก่อนแล้วค่อยทำหน้าที่ อันนี้ความผิดพลาดในชีวิตก็จะไม่ค่อยเกิดขึ้น แม้จะเกิดสติก็รู้ได้ทัน หรือเกิดไปแล้วก็แก้ไขได้ทัน แก้ปัญหาได้ทันท่วงที เพียงแค่รู้แบบธรรมดา รู้สึกตัวแบบธรรมดาแบบเป็นกลางๆ นี่ ในการใช้ชีวิตนี่มันจะผ่อนคลาย ความเป็นกลางความเป็นธรรมดานี่ทำให้จิตไม่เครียด ผ่อนคลาย เดินก็เดินแบบรู้สึกตัว ธรรมดา เป็นกลางๆ นะ วางจิตวางใจเป็นกลางๆ ไว้บ้างในชีวิตนี้ จะได้มีความสุขสงบเย็น คิด..ก็มีสติรู้เป็นกลางๆ ธรรมดาๆ นี่ แล้วความคิดมันก็จะดับไป การกระทำอะไรก็ตามนี่ถ้าเรามีสติรู้แบบธรรมดาบ้าง แบบธรรมชาติ แบบเป็นกลางๆ เดินก็รู้แบบธรรมดา วางใจเป็นกลางๆ การทำอะไรก็ตามลองวางจิตวางใจแบบธรรมดาเป็นกลางๆ ดูซิ บางทีมันจะผ่อนคลายนะ ใจมันจะผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่ยึดติดในอารมณ์ต่างๆ ติดอารมณ์ทั้งหลายนี่อารมณ์อะไรเกิดขึ้นนี่ถ้ารู้แบบธรรมดาเป็นกลางๆ อารมณ์มันก็หลุดออกไปจากจิตเลยนะ ถ้าอารมณ์ไม่หลุดจิตก็จะหลุดจากอารมณ์ มันต้องหลุดข้างใดข้างหนึ่งแหละ จิตที่ธรรมดาเป็นกลางๆ นี่เป็นจิตที่เป็นปกติ จิตที่เป็นกุศล ความเป็นปกติของจิตนี่ต้องธรรมชาติธรรมดาและเป็นกลาง อันนี้คือทางสายกลาง
ทางสายกลางนี่เป็นเรื่องของจิต นี่ล่ะคือทางสายกลาง เราจะเห็นสภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราในกายในใจเรานี่เป็นเรื่องธรรมดาไปหมดเลย เป็นปกติเป็นธรรมดา ธรรมดาของกายจิตคืออะไร ก็คือการเกิดดับ จิตที่เป็นกลางๆ ปกติธรรมดานี่จะเห็นการเกิดดับในกายในจิตของเราได้ชัดเจนมาก อาการของกายอาการของจิตนี่ชัดเจน กายที่มันเคลื่อนไหวไปในอิริยาบถต่างๆ นี่จะเห็นการเกิดดับอยู่ในกายนั้น การนั่ง โอ..นี่รูปนั่งเกิดแล้ว เห็นรูปเห็นนาม รูปนั่งเกิด พอเปลี่ยนเป็นนอน โอ..รูปนั่งก็ดับแล้ว รูปนอนเกิดขึ้นมา ลุกขึ้นยืน สมมติว่าเราลุกขึ้นยืน รูปนอนมันก็ดับไป เกิดรูปใหม่คือการยืน พอเปลี่ยนไปเดิน อ้าว..รูปยืนหายไปแล้วดับไปแล้ว เกิดเป็นรูปเดินขึ้นมาแล้ว การเคลื่อนไหวแต่ละอย่างมันเป็นการเกิดดับทั้งนั้น เช่น ความสุขนะ ความสุข..โอ้..ความสุขเกิดขึ้นมา มีสติรู้แบบธรรมชาติธรรมดา ใจเป็นกลางๆ นี่จะเห็นความสุขเกิดขึ้น แล้วความสุขก็หาย นี่ความสุขดับไปแล้ว บางทีมันเกิดความทุกข์จิตทุกข์ใจ ไม่สบายใจ โอ..ความทุกข์มันเกิดขึ้นในใจนะ เดี๋ยวความทุกข์มันก็ดับไป..ใช่มั้ย มันมีการเกิดดับในความสุขความทุกข์ ยิ่งความคิดยิ่งแล้วเลย ความคิดนี่ โอ..คิดเรื่องอะไรขึ้นมา สติรู้ ถ้าเรารู้แบบธรรมชาติ รู้แบบธรรมดาๆ ใจเป็นกลางๆ นี่ เราจะเห็นความคิดนี่เกิดแล้วก็ความคิดหายไปต่อหน้าต่อตา..ใช่มั้ย ยิ่งความคิดเรื่องของจิตเรื่องของใจนี่มันเกิดดับนับไม่ทันหรอก รวดเร็วมาก สติก็เช่นเดียวกัน สติเกิด เอ้า..ตอนนี้กำลังฟังธรรมอยู่นะ อ้อ..สติเกิดแล้ว เดี๋ยวสักครู่หนึ่ง เอ้า..บางคนอาจจะสติหายไปแล้วก็ได้ มัวไปคิดปรุงแต่งอยู่ สติมันเกิดขึ้นแล้วเค้าก็ดับไป เกิดความหลงลืมสติขึ้นมานะ ความหลงเกิด หลงลืมสติ ความหลงลืมสติก็ดับไป
[12:24] เราจะเห็นการเกิดดับนี่ของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรมะที่มีอยู่ในตัวเรานี่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปต่อหน้าต่อตา ด้วยอารมณ์ปัจจุบันต่อหน้าต่อตา อันนี้ไม่ใช่คิดเอานะ ถ้าคิดเอา เอ้อ..กายใจนี่มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อันนี้เป็นความคิด ไม่ใช่อารมณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ต่อหน้าต่อตา แต่ถ้าเรามีสติวางจิตวางใจให้เป็นกลางๆ แต่รู้กายรู้จิตแบบธรรมดาๆ นี่ ธรรมชาตินี่ เราจะเห็นชัดเจนต่อหน้าต่อตาว่า กายจิตนี่มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับลง “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา” อันนี้คือการที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ดวงตาเห็นธรรมนี่เป็นคาถาของ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระพุทธองค์จึงบอกว่า โอ..โกณฑัญญะรู้แล้วหรือ จึงเรียกว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ เห็นธรรมะ ดวงตาเห็นธรรมนะ คือเห็นอะไร เห็นความเป็นธรรมดาของกายของจิต ความเป็นธรรมดาคืออะไร ก็คือการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นมั้ย แต่เราต้องเห็นบ่อยๆ นะ เห็นบ่อยๆ เห็นการเกิดขึ้นดับลงๆ บ่อยๆๆๆ จนจิตมันยอมรับ ยอมรับ ที่เราไม่ยอมรับนี่เราจะเป็นทุกข์นะ แต่ถ้าเรายอมรับในการเกิดดับก็จะมีการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะเบาสบาย นี่ล่ะยอดของคุณธรรมนะ การภาวนานี่ ณ วันนี้พูดถึงการเข้าพรรษา เข้าพรรษาคือการเข้าสู่คุณธรรม สติสัมปชัญญะคือเป็นยอดแห่งคุณธรรม ศูนย์รวมแห่งคุณธรรม ซึ่งทุกๆ คนนี่ควรจะมีไว้.