แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[01:39] การดำเนินชีวิตของเรานี่ ในแต่ละวันมันมีความหมายสำหรับตัวเรามาก ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างเคร่งเครียด เราก็จะมีความทุกข์ จิตใจก็จะไม่สงบไม่เป็นปกติ ทำให้สุขภาพร่างกายก็พลอยเสียไปด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนร่วมงาน พี่น้อง ก็พลอยที่จะเคร่งเครียดไปด้วย บางทีอาจจะเกิดจากเราเป็นต้นเหตุก็ได้ เพราะฉะนั้นเราควรจะใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายสบายๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด ให้มันสบาย มีระเบียบมีระบบ ง่ายๆ แต่ไม่ได้มักง่ายนะ ทำอย่างมีสติ ก็พลอยให้ชีวิตเรานี่ดีขึ้น จิตใจก็สบาย มีความสุขกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน บรรยากาศคนรอบข้างก็พลอยที่จะสบายอกสบายใจไปด้วย บางทีเราเป็นบุคคลที่สร้างความกดดันให้กับครอบครัวเราก็ได้นะ เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาจริงเอาจังมากนัก อย่าไปเอาถูกเอาผิดเอาเหตุเอาผล บางทีสิ่งเหล่านี้มันก็บีบคั้นให้ใจเราต้องเป็นทุกข์ ให้เราเดินทางสายกลาง ไม่ตึงคือเคร่งเครียด และก็ไม่หย่อนยานคือขาดสติหลงลืมสติ เผลอเพลินไปหย่อนยาน ให้กลางๆ ชีวิตที่เดินสายกลางนี่แหละเป็นชีวิตที่เป็นปกติ มีความสุข เพราะฉะนั้นคนเรานี่ที่เคร่งเครียดบางครั้งก็อาจจะเกิดจากอารมณ์ ติดอารมณ์ เคยมั้ย..ติดอารมณ์ ติดอารมณ์นี่เหมือนติดคุกนะ แต่ไม่ใช่คุกทางด้านร่างกาย เป็นคุกทางด้านจิตใจ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจเรานี่ก็เป็นกรงขังที่แข็ง คุมขังจิตใจเรานี่ไม่ให้เป็นอิสระ คุกทางใจนี่น่ากลัวกว่านะ แม้ว่าเราอาจจะไม่ติดคุกทางด้านร่างกาย แต่เราก็ติดคุกทางด้านจิตใจ ทำให้เราต้องเป็นคนที่อ่อนแอ ไม่สามารถที่จะออกจากคุกอารมณ์นี่ได้ ติดอารมณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราไม่เป็นอิสระ สิ่งที่เราติดนี่ก็คืออารมณ์นะ แต่พูดถึงอารมณ์นี่จะเป็นกลางๆ เราสามารถติดอารมณ์ดีก็ได้ อารมณ์ดีนี่ก็ติดนะทำให้เราเพลิดเพลินหลงใหล หมกมุ่น ติดในการดู ติดในการฟัง ติดในกลิ่น ติดในรสชาติของอาหาร ติดในการสัมผัส ติดในความคิดปรุงแต่ง นี่..ติดอารมณ์ทั้งนั้น นี่คืออารมณ์..เห็นมั้ย บางทีทำให้เราเสียเวลา เพลินไปเสียเวลา เสียงาน เสียเงินเสียทอง เสียสติ เพราะติดอารมณ์ดี ติดเหมือนกันนะ
อีกอารมณ์หนึ่งคืออารมณ์ที่ไม่ดี อารมณ์ที่ไม่ดีนี่เราก็ติดนะ ไม่ใช่ว่าอารมณ์ที่ไม่ดีนี่เราจะไม่ติด ติดเช่นความโกรธ ความอึดอัดขัดเคือง ติดอยู่นั่นแล้วข้ามวันข้ามคืน ข้ามเดือนข้ามปี เห็นมั้ย..บางทีโกรธกันจนป่านนี้ยังไม่เลิกก็มีนะ ก็โกรธกันตั้งแต่สมัยครั้งอดีตและยังไม่เลิกโกรธเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และมีท่าว่าจะโกรธกันถึงตาย ต่อภพต่อชาติ ไม่มีประโยชน์อะไร นี่เรียกว่าติดอารมณ์..อารมณ์ที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกจิตใจเรา ฝึกฝนจิตใจเรา ให้รู้อยู่กับปัจจุบัน การรู้อยู่กับปัจจุบันนี่ไม่ใช่ว่าเข้าไปอยู่นะ แต่รู้อยู่กับปัจจุบันว่า กำลังทำอะไร..รู้อยู่ ถ้ารู้อยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่ละก็อารมณ์อดีต/อนาคตนี่ก็จะไม่มารบกวนเรา สำคัญมากเรื่องการรู้สึกตัว อยู่กับปัจจุบัน รู้อยู่ รู้แบบไม่เข้าไปอยู่ แต่รู้อยู่เห็นอยู่ เราจะอยู่กับปัจจุบันแบบมีความสุขแบบผ่อนคลาย ถ้าหากว่าใครก็ตามกำลังติดอยู่ในอารมณ์ เรายังมีวิธีการคิดนะ เพราะอารมณ์นี่เกิดจากความคิด ถ้าไม่คิดจิตก็ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เพราะความคิดของเรานี่ทำให้เราติดอยู่ในอารมณ์นั้น แต่ไม่เป็นไรเมื่อเราคิดติดอยู่ในอารมณ์ที่เป็นทุกข์ สมมติว่าเป็นทุกข์นะ อารมณ์ดีนี่คงไม่ค่อยจะมีปัญหา อารมณ์สุขไม่ค่อยจะมีปัญหา แต่อารมณ์ที่เป็นทุกข์นี่มันสร้างปัญหาให้กับจิตใจเรา โรคจิต โรคประสาท นอนไม่หลับ ฆ่าตัวตาย ก็เพราะอารมณ์ไม่ดีอารมณ์ทุกข์ทั้งนั้นแหละ อันนี้คือความคิด เมื่อเราคิดแล้วเป็นทุกข์ได้ ทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ให้ไปทางที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามบ้าง คิดแล้วใจเป็นทุกข์ อ้อ..นี่อารมณ์ไม่ดี เปลี่ยนคิดแล้วให้เป็นสุขก็ได้ แก้ปัญหาก็ได้ เป็นการคิดที่สร้างสรรค์ เป็นการแก้ปัญหา เวลาเรามีปัญหาชีวิตมีความทุกข์ เรามักจะคิดหมกมุ่นอยู่ในความทุกข์ ซ้ำเติมตอกย้ำให้จิตใจเราเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น ทำไมเราจึงเป็นอย่างนั้น..เห็นมั้ย เป็นการซ้ำเติม ไม่ได้ช่วยให้เราแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นเลย
ถ้าสมมติว่าเราปวดเข่า พูดถึงเรื่องเข่านะ ทุกคนก็มีเข่า โอ้..ปวดเข่า เราไม่ปวดแค่เข่านะ เราไปปวดใจด้วย โอ้..มันทำไมถึงปวด เมื่อไหร่มันจะหายนะ ถ้าเราปวดอย่างนี้เราต้องทำงานไม่ได้แน่เลยนี่ ไปอนาคตแล้ว แล้วจะทำอย่างไรนี่เดินก็ไม่ถนัด เมื่อไหร่จะเดินได้ซะที เมื่อไหร่จะเดินสะดวกซะที เมื่อไหร่จะวิ่งได้ซะที ทีคนอื่นเค้ายังไม่เห็นเป็นเลย แล้วทำไมเราจึงเป็น ไปอย่างนั้นอีก ออกนอกตัว ส่งจิตออกนอก หนักเข้า..เอ..เวรกรรมอะไรของเราหนอ คิดถึงอดีตอีกแล้ว มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเรา คิดให้ความทุกข์มันทับถมใจตนเอง ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความคิดไปทางที่เป็นบวก สร้างสรรค์แก้ปัญหา อาจจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอกเราปวดเข่าแค่นี้ดีกว่าเราเป็นโรคมะเร็งนะ โรคมะเร็งนี่ โห..ถึงตายได้ ปวดเข่าไม่ตาย ปวดเข่ามันก็ดีนะเพราะเรายังมีเข่าให้ปวด บางคนไม่มีเข่าอ่ะ คนขาขาดไม่มีเข่า เค้าไม่มีโอกาสปวดเข่าได้เลย..เห็นมั้ย เรานี่ยังโชคดียังมีเข่าให้ปวด บางคนนี่ไม่ปวดนะ อย่างคนเป็นอัมพาตนี่ อัมพาตอัมพฤกษ์นี่ไม่เคยปวด เพราะเข่าเค้าผิดปกติประสาทที่รับรู้ทางด้านร่างกายนี่เค้าถูกทำลายไป เค้าจะไม่รู้สึกปวดเข่า แต่มีอาการชามาแทนที่ แต่เดินไม่ได้..ใช่มั้ย เรายังดีกว่าเค้าตั้งหลายอย่าง ทำไมไม่คิดในแง่นี้บ้าง ปวดได้ต่อไปมันก็ต้องหายปวดด้วย คำนี้ผมจำจากคุณแม่ผมนะ คุณแม่ผมนี่ตอนสมัยที่ผมไม่สบายใหม่ๆ พิการใหม่ๆ ป่วยไข้ใหม่ๆ แม่บอกว่า..ลูกมันเป็นได้มันก็หายได้ เป็นได้ก็หายได้ โอ..คำสอนนี้เราใช้ได้ตลอดเลย เป็นได้หายได้ ไม่เป็นไร..เห็นมั้ย เราลองคิดไปทางที่เป็นบวกบ้าง มันช่วยจิตช่วยใจเรานี่ออกจากความทุกข์ออกจากปัญหาได้ อย่างน้อยในขณะปัจจุบันนั้นใจเราก็ดีแล้ว เราเคยดูทีวีมั้ย เวลาเราดูทีวีนี่บางทีช่องที่เราไม่ชอบ ดูแล้วไม่สนุกไม่ชอบ เรายังหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่องได้ รีโมทเปลี่ยนช่องทีวีได้ ใจเราก็เปลี่ยนได้ รีโมทใจมันก็มีนะ เปลี่ยนได้หลายช่อง แล้วเปลี่ยนง่ายกว่าช่องทีวีด้วยโดยที่ไม่ต้องใช้รีโมท [09:41] รีโมทชีวิตก็คือการมีสติ การเปลี่ยนช่องทีวีต้องกดรีโมท แต่การเปลี่ยนช่องจิตใจเราไม่ต้องใช้รีโมทแบบกด..ไม่ต้อง แค่รู้สึกตัวว่ามันคิดแล้วนี่ มันเปลี่ยนไปทั้งที่รู้เลย รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีเลย เปลี่ยนได้ง่ายมาก รู้จักที่ใช้รีโมทเปลี่ยนช่องชีวิตบ้างสิ
เพราะฉะนั้นรีโมทเรามีรึยัง รีโมทนี้คือตัวสตินะ สตินี่เป็นรีโมทชีวิตรีโมทจิตใจ เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจจากคิดร้ายมากลับกลายเป็นดีได้ เรามีรึยัง [10:17] บางทีมีความรู้นะแต่ขาดสตินี่ เราก็นำความรู้นั้นเอามาใช้ไม่ได้ ความรู้นั้นก็เป็นหมันไป เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฝึกสติ มีสติในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน อย่างเช่นเวลาเราเกิดความเครียด เกิดความทุกข์ ถ้าเราลุกขึ้นได้นี่ เราพยายามเปลี่ยนวิธีคิดแล้วก็ยังไม่ได้ผล ก็ไม่เป็นไร ยังมีวิธีต่อไป เราเปลี่ยนอิริยาบถลงไป เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งหรือจากเพลินในความทุกข์ เปลี่ยนไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามซะ เราลุกได้เราเดินได้นี่ อย่าไปจมแช่อยู่กับอารมณ์ที่เป็นทุกข์ อย่าไปติดอย่าไปตกจม เปลี่ยน แม่บ้านอาจจะไปกวาดบ้านถูบ้าน แล้วก็มีสติอยู่กับการทำงานตรงนั้นน่ะ เป็นการทำงานและเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย..ใช่มั้ย กวาดบ้านถูบ้านเช็ดพื้น ให้มีสติรู้อยู่ที่งานที่เราทำเป็นปัจจุบัน แค่นี้ก็เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจไปออกจากความคิดที่เป็นทุกข์ได้แล้ว พ่อบ้านอาจจะลงไปทำสวนขุดดิน พรวนดิน ดายหญ้า รดน้ำต้นไม้ แล้วก็มีสติอยู่กับงานที่เรากำลังทำเป็นปัจจุบัน แค่นี้ก็แก้ปัญหาจิตใจได้แล้ว หรือคนที่เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ป่วยมาก ก็ไม่เป็นไร หยิบผ้าห่มคลี่อย่างมีสติ แล้วก็พับผ้าห่ม ผมเคยใช้บ่อยนะ ผมเองก็ไปไหนไม่ได้หรอก แต่เวลาสมัยก่อนที่เวลามันเครียดมันทุกข์ไม่รู้จะทำอะไร ก็หยิบผ้าห่มมาคลี่ช้าๆ อย่างมีสติ แล้วก็พับเข้าอย่างมีสติแบบเรียบร้อย ทำเพื่อจะทำ ไม่ใช่ทำเพื่อจะเสร็จ ทำเพื่อให้จิตมีงานทำ สติสามารถดึงจิตใจออกจากอารมณ์ออกจากความเครียดได้อย่างยอดเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องไปไหนเลย ไม่ต้องพึ่งใคร พึ่งตัวเอง ท่านเดินได้ ท่านทำอะไรก็ได้ เราจึงสามารถเปลี่ยนแก้ไขอารมณ์ได้มากมาย เพราะคุณสมบัติของสตินี่มีคุณสมบัติอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ตามอารมณ์ และก็ไม่ต้านอารมณ์ อารมณ์ดีมายั่วสติก็รู้อยู่ดูอยู่เห็นอยู่ ไม่ได้เข้าไปในอารมณ์ดีเหล่านั้น แต่รู้อยู่..เห็นมั้ย ไม่ตามอารมณ์
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือด้านของความทุกข์ เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบอารมณ์นี้ สติก็รู้อยู่ไม่ต้าน ไม่ต่อต้าน ไม่ขับไล่ ไม่ผลักไส รู้อยู่ เป็นอิสระจากอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดี รู้อยู่เป็นกลางๆ อันนี้คือคุณสมบัติของสติ เพราะฉะนั้นยามใดที่เรามีอารมณ์ไม่ดี อารมณ์ร้าย อารมณ์เป็นทุกข์ เกิดจากความคิด เพราะฉะนั้นมันคิดขึ้นมานี่คิดได้ แต่เราก็มีสติรู้ด้วย ยามใดที่เรามีความทุกข์ มีได้..โดยเหตุปัจจัยหรือโดยกรรมของเรา แต่เราก็พ้นทุกข์ได้ด้วย แต่ที่สำคัญก็คือชีวิตเรานี่ เวลามันเกิดความเครียดเราจะเห็นว่า อาจจะเกิดจากความคิดหรือการตั้งใจเกินไป ทำสิ่งนี้เพื่อให้ได้ดั่งใจ มันจะเกิดความเครียด เหมือนอย่างกับเราขันน็อต..เห็นมั้ย เราขันเกลียวน็อต ยิ่งขันยิ่งตึงยิ่งแน่น ถ้าขันมากๆ นี่น็อตนี่มีโอกาสแตกได้นะ เพราะฉะนั้นชีวิตที่เคร่งเครียดเหมือนการขันเกลียวน็อตเข้าไป แล้วให้เราผ่อนคลาย การผ่อนคลายนั้นคือใช้ชีวิตแบบสบายๆ ง่ายๆ แต่ไม่มักง่าย แบบสบายๆ แบบผ่อนคลาย อย่างมีความสุขบ้างก็ได้ เหมือนเป็นการคลายเกลียวน็อต การคลายนี่ยิ่งคลายความเครียดก็ยิ่งหาย เพราะฉะนั้นเราเครียดได้ แต่ต้องผ่อนคลายด้วย.