แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:49] สิ่งใดที่เราเข้าไปเกี่ยวพันยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นก็ทำให้เรามีปัญหานะ เป็นโทษสำหรับเราทั้งนั้นแหละ คำว่า..เป็นโทษเป็นภัย..นั้นก็คือ ทำให้จิตใจเรานี่เป็นทุกข์ ชีวิตของเราที่มีความทุกข์มีปัญหาก็เป็นเพราะว่าเราไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือมีความอยากมีตัณหาเข้าครอบงำจิตใจ จะเป็นตัณหาก็ดี ความอยากก็ดี ความยึดมั่นถือมั่นก็ดี อันนี้ถือว่าเป็นสาเหตุของความทุกข์ ผู้ที่อยากจะออกจากความทุกข์ อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องละตัณหา ละความยึดติดยึดมั่นกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็ทำให้ชีวิตนี้อยู่แบบสบายๆ ไม่ต้องแบกภาระอะไรไว้ มันเป็นการง่ายที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ชีวิตของเรานี่ต้องใช้แบบง่ายๆ อยู่แบบง่ายๆ นิยามมีความผ่อนคลายและก็เบาสบาย บางทีเราอาจจะต้องเกี่ยวข้องคือการทำงาน การเข้าไปเกี่ยวข้องกับงาน ทุกชีวิตนี่เมื่อมีการทำงาน งานเป็นเพียงสิ่งภายนอก เรื่องของงานนี่เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องสมมติที่เราจำเป็นจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง งานนี่ไม่มีความสบายหรอก งานมีแต่ความลำบาก มีแต่ความวุ่นวาย ต้องจัดต้องตระเตรียมอะไรมากมาย เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อย ซึ่งทุกคนก็ไม่สามารถจะหลีกหนีพ้นเรื่องการงานได้ แต่ถ้าเรารู้จักทำจิตทำใจของเราให้มันง่ายๆ กับการทำงานนี่ ใจรู้สึกง่ายๆ กับการทำงาน คือทำใจให้มันง่ายๆ หน่อย งานไม่ว่าจะหนักหนาวุ่นวายสับสนขนาดไหนก็ตาม ก็กลายเป็นง่ายลงไปได้เหมือนกันนะ งานจะง่ายจะยากนั้นบางทีมันก็ขึ้นอยู่ที่ใจเราเหมือนกัน ถ้าเราวางจิตวางใจถูกต้องนี่ ของยากก็กลายเป็นง่าย ของหนักก็กลายเป็นเบา สิ่งที่เกือบจะเป็นทุกข์ก็กลายเป็นไม่ทุกข์ก็ได้
นี่ขึ้นอยู่กับการทำใจ แม้แต่อารมณ์ต่างๆ ที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องนี่ อารมณ์คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอก ที่ผ่านเข้ามาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ มันเป็นเพียงแค่อารมณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเลือกได้ บังคับควบคุมก็ไม่ได้ อารมณ์เค้าก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มีการแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ตามอาการของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละ เค้าก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้รู้เท่าทันอารมณ์ ใจเราก็จะไม่แปรปรวนไปด้วยนะ แต่รู้ในความแปรปรวนของอารมณ์ แต่จิตใจนี่ไม่ได้แปรปรวนไปด้วย เพียงแค่รับรู้รับทราบ จะเป็นการงานก็ดี อารมณ์ที่มากระทบก็ดี แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้มันง่ายๆ ทำงานก็รู้สึกให้มันง่ายๆ งานที่ยากงานที่ลำบาก ถ้าเรามองว่า เอ้อ..นี่เป็นงานบุญ เราทำแล้วเราได้บุญ..ใช่มั้ย ใจมันก็จะเบานะ เรื่องของบุญนี่วางใจดีๆ เป็นเรื่องทำให้ใจเราเบาได้ จะตั้งใจเต็มใจทำงานแบบมีความสุข ถ้าใจมีความสุขอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบ ถ้าเรามองเห็นว่า เออ..นี่คือสิ่งที่มาให้จิตมันรู้ มาให้เราเจริญสติ มาให้เราภาวนา มาให้เราสร้างกุศล มาให้เราปฏิบัติ มาเป็นฐานที่ตั้งของสติ อารมณ์จะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม จิตมันก็จะเป็นปกติได้ มันจะไม่แปรปรวนไปตามอารมณ์ คือเราไม่เข้าไปอยู่ในอารมณ์ เป็นผู้เห็นอารมณ์ เอาอารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่ให้สติเรารู้ซะ มันก็จะเกิดการแยกระหว่างอารมณ์ก็คืออารมณ์ จิตผู้รู้ก็คือผู้รู้นะ ไม่เกี่ยวข้องกันนะ บางทีอาจจะเป็นอารมณ์อดีตซึ่งเราได้ผ่านมาแล้ว คำว่าอดีตนี่ก็คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว วินาทีที่แล้ว นาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว วันที่ผ่านไปแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านไปแล้ว เดือนที่ผ่านไปแล้ว ปีที่ผ่านไปแล้ว ชาติที่แล้ว อันนี้คืออดีตอารมณ์ทั้งนั้นล่ะ มันก็ย่อมมีการเกิดขึ้นได้ในขณะปัจจุบัน ถ้าเราขาดสติขาดความรู้สึกตัวนี่ เราก็จะฝังจิตฝังใจฝังตัวเราเข้าไปอยู่ในอารมณ์อดีตเลย ที่ผ่านไปแล้วเข้าไปอยู่เข้าไปเป็นเลย ใจมันก็หนักใจมันก็ทุกข์ นี่เป็นการยึดติด มันก็เลยมีปัญหา ใจเราก็เป็นปัญหา บางทีอาจจะมีอารมณ์มากระทบจากอารมณ์ที่เราคิดถึงอนาคต อารมณ์อนาคตนี่เราเกิดจากความคิดนะ เกิดจากความคิดของเรา
อนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่เพียงแต่เราคิดนึกเอา วินาทีข้างหน้าที่ยังไม่ถึง นาทีข้างหน้า ชั่วโมงหน้า วันหน้า สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ชาติหน้า อันนี้ยังมาไม่ถึงทั้งนั้น เป็นเพียงแค่เราคิดนึกเอา มันก็ย่อมมีนะในแต่ละวันนี่ อารมณ์ที่เกิดจากความคิดนึกในอนาคต ก็ย่อมมีการเกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน ถ้าเราขาดสติขาดความรู้สึกตัว อารมณ์อนาคตเมื่อเกิดขึ้นในปัจจุบันเราก็เข้าไปยึดติด ไปฝังไปแน่นเห็นเป็นจริงเป็นจัง เป็นทุกข์ล่วงหน้าแล้ว คิดเป็นทุกข์ล่วงหน้าแล้ว ขาดทุนแล้ว ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่เราคิดว่ามันมีแล้วเป็นแล้วในตัวเรา เมื่อเราเผลอสติฝังจิตฝังใจไปกับอนาคต แม้แต่ปัจจุบันก็ตาม ปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเป็นอารมณ์ปัจจุบันนี่ อาจจะเป็นหน้าที่การงานซึ่งเราจะต้องกระทำ หรือความคิดนึกทางด้านจิตใจ เกิดความพอใจ ไม่พอใจ หงุดหงิด อึดอัด ขัดเคือง ในขณะปัจจุบันนี้ ขณะกำลังทำงานนี้ ขณะที่มันคิดอยู่ขณะนี้นี่ ถ้าเราขาดสติเราก็ฝังจิตฝังใจไปกับอารมณ์ปัจจุบัน เข้ามาอยู่กับปัจจุบันเลยนะ เป็นตัวเราเป็นของเรา ไปแบกไปยึด มันก็เป็นทุกข์เท่านั้นเอง เป็นผลนะคือความทุกข์นะ ทั้งที่อารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้านี่ ถ้าเราเป็นเพียงแค่ผู้รู้ผู้เห็นในอารมณ์เหล่านั้น อารมณ์เหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่มาให้เรารู้เท่านั้นเอง บางทีอารมณ์อดีตที่เกิดขึ้น ความหงุดหงิด ความที่เราหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์อดีตนี่ เอามาคิดในปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นอารมณ์อดีต แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันในอารมณ์นั้น อารมณ์อดีตนั้นก็กลายเป็นอารมณ์ปัจจุบันให้เรารู้ได้ ไม่เข้าไปเป็นกับอดีต นี่การเจริญสติ แม้ว่าอารมณ์อนาคตที่จะมาเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เกิดจากการตรึกนึกคิด เป็นความวิตกกังวลครุ่นคิดก็ตาม แต่ถ้าเราฉลาดในการรู้เท่าทันอารมณ์ละก็ เราจะเห็นว่าอารมณ์อดีต/อนาคตที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้านั้น ก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ที่ถูกรู้เท่านั้นเอง
เรากลายเป็นผู้รู้ไปแล้ว เป็นจิตผู้รู้ที่ไม่เข้าไปผูกพันกับอารมณ์ แม้เกิดขึ้นเฉพาะหน้าปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันนั้นก็คือเกิดขึ้นที่เฉพาะหน้าเดี๋ยวนั้นทันทีที่เรารู้ทัน เมื่อมีสตินี่เราก็จะไม่เข้าไปเป็นอารมณ์เหล่านั้นนะ อยู่กับปัจจุบันต้องอยู่อย่างมีสติ ถ้าอยู่กับปัจจุบันอย่างขาดสติ เราก็เข้าไปเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันบางทีมันมีความทุกข์ มีความพอใจไม่พอใจ ถ้าเรารู้อยู่ดูอยู่เราก็ไม่เข้าไปเป็นกับความทุกข์เหล่านั้น ความทุกข์ที่เกิดจากปัจจุบันก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้นแหละ การเจริญสตินี่มันไม่ติดนะ แม้ว่าอารมณ์อดีต อารมณ์อนาคต หรืออารมณ์ปัจจุบันมาเกิดขึ้นเฉพาะหน้า สติก็จะเข้าไปเป็นกับอารมณ์เหล่านั้น จะไม่เข้าไปอยู่ไม่เข้าไปเป็น เป็นแค่ผู้ดูผู้รู้ ตัณหาต่างๆ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นความอยากความยึด ความพอใจไม่พอใจ ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ตัณหาเป็นธรรมที่จะต้องละ การรู้แต่ละครั้งเท่ากับเป็นการละไปในตัวเสร็จ ละเพราะเรารู้ทัน รู้เพื่อที่จะละ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่ต้องไปทำอะไรกับกิเลส เพียงแค่รู้มันก็มีการละอยู่ในตัวแล้ว กิเลสเป็นเพียงสิ่งที่มาให้เรารู้เท่านั้น ผู้รู้ก็ไม่เป็นกับกิเลส นี่มันปลอดภัยนะ แต่การรู้นี่เราต้องรู้จักที่จะรู้ให้ถูกต้อง วางจิตวางใจให้ถูกต้อง หัวใจของการปฏิบัติก็ตรงนี้ ต้องรู้จักวางจิตวางใจให้ถูกต้อง ถ้าวางใจไม่ถูกต้องละก็เราก็จะไม่รู้เฉยๆ ละ เราจะเข้าไปอยู่เข้าไปเป็นกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอก จิตก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเรารู้เฉยๆ รู้แบบปล่อยๆ วางๆ อารมณ์เหล่านั้นก็จะผ่าน เวลามีเกิดอาการพอใจหรือไม่พอใจ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มากระทบทางด้านจิตใจ แต่ถ้าเรามีสติรู้เฉยๆ อารมณ์เหล่านั้นก็จะหลุดไป แค่รู้มันก็ละแล้ว เพราะฉะนั้นอารมณ์ต่างๆ จะเป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดี ที่มันจรมาสู่จิตสู่ใจเรานี่ อันนี้ถือว่าไม่สำคัญ รูปรสกลิ่นเสียง ความคิดนึก ความสัมผัสต่างๆ ที่จรมาสู่จิตสู่ใจเรา อันนี้ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราวางจิตวางใจที่จะไปรู้อารมณ์นั้นอย่างไร สิ่งภายนอกที่มากระทบไม่สำคัญนะ
สำคัญที่ว่าจิตใจเรานี่เข้าไปรู้อารมณ์นั้นรู้อย่างไร ถ้าเราไปยึดติดยึดมั่นหรือไปต่อต้าน เข้าไปอยู่เข้าไปเป็น ใจเราก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเพียงแค่รู้เฉยๆ แบบปล่อยๆ วางๆ ใจเป็นกลางแบบผ่อนคลาย สดชื่น จิตมันก็หลุดพ้นจากอารมณ์นั้นโดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเลย รู้อารมณ์อย่างถูกต้องคือรู้เฉยๆ แบบปล่อยๆ วางๆ แบบผ่อนคลาย จิตเป็นกลาง จิตก็หลุดพ้นจากอารมณ์นั้นได้ ง่ายนะการเจริญสตินี่ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย มันง่ายที่เราจะปฏิบัติ การทำงานบางทีมันยาก การทำครัว การกวาดพื้นกวาดบ้าน จัดสิ่งของ บางทีมันยาก แม้แต่การขับรถนี่ก็ยากนะ แต่การเจริญสตินี่ง่าย ง่ายกว่าการทำงาน ง่ายกว่าการทำครัว ง่ายกว่าการขับรถ ซึ่งเป็นงานภายนอก แต่การเจริญสตินี่เป็นงานภายใน แค่รู้นี่ก็สบายๆ แล้ว [14:01] ทุกข์มีอยู่แล้วในตัวเราไม่ต้องไปหา ถ้ามีสติรู้เป็นการเจริญสติแล้ว..ง่ายมั้ย ตัณหามันย่อมเกิดขึ้นเป็นขณะๆ เป็นความพอใจไม่พอใจ เป็นสิ่งที่เราต้องละ ไม่ต้องไปทำอะไรกับตัณหา แค่รู้มันก็มีการละอยู่ในตัวแล้ว ทุกครั้งที่เรารู้ทุกข์ ละเหตุของความทุกข์ ความหลุดพ้นซึ่งเป็นวิมุตติก็มีเกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น ทุกครั้งที่รู้ก็เป็นวิมุตติอยู่ในตัว ชั่วขณะหนึ่ง ถ้ารู้บ่อยๆ เห็นบ่อยๆ กับอารมณ์ต่างๆ มันก็หลุดบ่อยๆ มันสบายเลย ง่ายกว่าการขับรถด้วยนะ
นี่ก็เคยมีคุณสินีนาถพาญาติธรรมไปที่วัดป่าสุคะโต เอารถไฟฟ้าที่อาศัยการบังคับควบคุมโดยมือนี่ ที่ผมใช้อยู่ปัจจุบันนี่ เอาไปมอบให้ที่วัดป่าสุคะโต พร้อมญาติธรรมหลายคน ผมก็ลองนั่งดู ก็คิดว่า..เออ..มันคงจะยากเนาะ เพราะสิ่งเหล่านี้เราไม่เคยสัมผัส คงจะบังคับควบคุมไม่ถนัดหรอก คุณสินีนาถเธอก็บอกว่า..อาจารย์ การเจริญสตินี่มันยากกว่าการบังคับรถไฟฟ้านี่ด้วยนะ โอ้โห..แต่เราก็คิดว่าการเจริญสตินี่มันง่ายที่สุดแล้วนี่ ยังมีอะไรที่มันง่ายกว่านี้อีกเหรอ ก็ลองเลย ถือโอกาสลองควบคุมเลย นั่งบนรถไฟฟ้าแล้วก็ควบคุมไป ลงจากกุฏิไปประมาณ ๕๐๐ เมตร ควบคุมไปที่ศาลาไก่ ก็พอดีมีญาติธรรมที่มาอยู่ปฏิบัติเป็นญาติธรรมจากโรงพยาบาลบุรีรัมย์ มีคุณหมอ มีคุณพยาบาล มีเจ้าหน้าที่ ถือโอกาสไปพูดคุยธรรมะเลย นั่งบนรถไฟฟ้าคันนี้ควบคุมไป แล้วก็ไปพูดคุยธรรมะ พูดเสร็จก็กลับมาบังคับรถกลับมาที่กุฏิ ผมว่ามันยังยากกว่าการเจริญสตินะ อย่างไรก็ตามจนป่านนี้ผมใช้รถไฟฟ้านี่มาตั้ง ๕ ปีแล้ว ผมก็ยังว่ายังยากกว่าการเจริญสติอีก การเจริญสตินี่เป็นสิ่งที่ง่าย ถ้าเรารู้จักวางจิตวางใจให้ถูกต้อง สิ่งที่เราคิดว่ามันยากก็กลายเป็นง่ายไปทันที.