แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:48] ลองสังเกตดูนะชีวิตแต่ละวันนี่ ถ้าตอนเช้าช่วงของจิตดวงแรกของชีวิตนี่ ถ้าความคิดความกังวลซะก่อนละก็ วันนั้นทั้งวันนี่ชีวิตเราจะเศร้าหมอง ทำอะไรแบบไม่ค่อยราบรื่น แต่ถ้าเอาความรู้สึกตัวมีสติเข้ามาก่อนนี่ สังเกตดูวันทั้งวันนี่จะราบรื่นมาก ผมเคยสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ตื่นมาว่าอะไรเข้าสู่จิตใจก่อน ถ้าความกังวลเข้าก่อนละก็ ทั้งวันขุ่นมัวทั้งวัน แต่ถ้าเอาความรู้สึกตัวเข้าก่อนละก็ วันทั้งวันนี่จะราบรื่นไม่ค่อยมีปัญหาอะไร จิตใจจะดี ให้รู้ตัวก่อนแล้วค่อยจะทำสิ่งอื่น มีความคิดอยู่สองอย่าง คิดแบบไม่ตั้งใจคิด กับตื่นมาก็นึกถึงความฝันนึกถึงความกังวลต่างๆ มากมาย และไม่ได้ตั้งใจคิด แต่ถ้าคิดอย่างมีสติ อ้อ..วันนี้จะทำอะไรบ้าง อันนี้ละเรียกว่ามีสติในการใช้ความคิด ไม่เผลอมีความรู้ตัวในการใช้ความคิดในการวางแผน เพราะฉะนั้นตื่นมาละก็ให้มีสติเข้าก่อน สู่จิตใจเราก่อนเลย จองพื้นที่จิตใจไว้ก่อน อย่าปล่อยให้อารมณ์ขุ่นหมองเข้าสู่จิตใจเรา ต่อไปจะทำอะไรให้รู้สึกตัว จะออกกำลังกายบนที่นอนเราก็ทำได้ ทำอย่างมีสติ พลิกตัวไปพลิกตัวมาให้รู้สึกตัว ให้ความรู้สึกตัวสม่ำเสมอในการใช้ชีวิตขณะตอนเช้าไปเรื่อยๆ จะเดินเข้าห้องน้ำก็รู้สึกตัว จะแปรงฟันจะล้างหน้าให้เติมสติลงไปด้วย..เห็นไหม เป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่ในตอนเช้า..ทุกอย่าง และบางสิ่งบางอย่างที่เราห้ามไม่ได้ในเรื่องของความคิดเรื่องของการปรุงแต่ง ไม่ได้ห้ามความคิด แต่ว่าทุกครั้งที่คิดให้มีสติรู้ทัน ให้รู้ทันว่าคิดอะไร รู้ทันว่า อ้อ..คิดแล้วนี่ แค่เรารู้ทันในความคิดนี่ ความคิดก็จะหยุด ถูกตัดออกไปเลย..หยุด นั่นคือความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด คิดมาเราก็มีสติรู้ทัน เราจะเป็นนายเหนือความคิดแล้วตอนนี้ คนเราทุกวันนี้ตกเป็นทาสของความคิด ทำตามความคิด เชื่อความคิด แล้วเวลามีปัญหานี่ความคิดไม่เคยช่วยเหลือเราเลย แล้วก็มานั่งท้อแท้ใจ..ใช่ไหม
ถ้าเรามีสติไว้ก่อนนี่ หรือรู้ทันในความคิดนี่มันจะมีความคิดอีกแบบหนึ่งที่เป็นระเบียบเป็นระบบ กายเคลื่อนไหว อ้อ..มีสติรู้ทัน เวลาใจคิดนึกให้มีสติรู้ทัน มันเผลอมันหลงไปก็ไม่เป็นไรหรอก เริ่มต้นรู้ใหม่ทุกครั้ง ไม่ได้ห้ามเรื่องของความคิด แต่ให้รู้ทันๆ คำว่ารู้ทันนี่เป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคืออะไร คือการนำธรรมะเข้ามาสู่จิตสู่ใจเรา ปฏิ..แปลว่ากลับ กลับ..นำธรรมะเข้ามาสู่จิตสู่ใจเรา โดยอาศัยสติเป็นผู้นำกลับมา ในแต่ละวันนี่ไม่ต้องไปไหน อยู่ที่เนื้อที่ตัวเรา..ใช่ไหม บางคนบอกปฏิบัติธรรมต้องไปที่วัด ต้องไปสำนัก ต้องไปที่โน่นที่นี่..ไม่ต้องไปก็ได้ ถ้าอยากจะไปก็ไป แต่อยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานก็ทำได้ เพียงแต่เรามีสติตามรู้ ว่ากายกำลังทำอะไร ใจกำลังทำอะไร ยิ่งการทำงานสำคัญมากนะ การทำงานถ้าทำแบบไม่มีสตินี่ จิตใจก็จะเลื่อนลอย เผลอ และมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้..การทำงานของเรานี่ แต่ถ้าทำงานอย่างมีสติ จิตใจจะจดจ่ออยู่กับแดนงานนะ จดจ่ออยู่กับแดนงานเป็นสมาธิอยู่กับงาน อยู่กับปัจจุบันกับแดนงานของเรานี่ แทนที่เราจะทำงานไปใจก็คิดปรุงแต่ง โอ..จะได้อะไรจากงานนี้บ้าง จะทำเสร็จทันไหม เอาเรื่องที่บ้านมาคิดปรุงแต่งเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่มีสมาธิกับการทำงานเลย เพราะเราขาดสติควบคุมจิตใจตรงนี้อยู่ ถ้ามีสติควบคุมจิตในการทำงานอยู่กับปัจจุบันกับงานนี่ มันจะเพลิน การทำงานจะเพลิน..ใช่ไหม เพลินไปกับการทำงาน แล้วมันจะมีความสุขสนุกกับการทำงาน แม้งานจะหนักก็เป็นเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้นร่างกายเท่านั้น จิตใจจะไม่เหนื่อย ใจจะไม่เหนื่อย เพราะมีสติเป็นผู้ที่ดูแลอยู่ เราจะไม่เหนื่อยใจเพราะว่าทุกครั้งที่มีสติรู้ทันใจเราที่มันคิดนึกปรุงแต่งนี่ จะมีการพัก มีการพักผ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเราก็จะคิดยาวพรืดเป็นเหล็กเส้น..ใช่ไหม นี่พอเราขาดสติในการทำงานนี่ แต่ถ้ามีสติแล้วมันจะตัดเป็นช่วงๆ แบบโซ่ที่มันร้อยกันอยู่เป็นช่วงๆ จิตได้พักเป็นขณะๆๆ มันไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยจิตไม่เหนื่อยใจ อยู่คนเดียวก็ไม่เหงา
คนอยู่บ้านถ้าอยู่กับการมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนี่..ไม่เหงานะ อยู่หลายคนก็ไม่ฟุ้งซ่านไม่วุ่นวาย มีเครื่องอยู่คือสติ..เป็นเครื่องอยู่ อย่างนี้..อย่างทุกท่านที่นั่งอยู่นี่ ถ้าเราตั้งใจฟังอย่างมีสติ แม้จะคนมากมายก็ตาม จะกลายเป็นคนๆ เดียวกันเลย เพราะทำในสิ่งเดียวกันคือ..ฟัง ทำด้วยสตินี่จะกลายเป็นคนๆ เดียวกันนะ แม้หลายคนถ้าทุกคนมีสติก็กลายเป็นคนๆ เดียวกัน อันนี้เป็นยอดของความสมัครสมานสามัคคีเลย เราไปเรียกร้องความสามัคคีกันภายนอกนั้นนะมันยังไม่ใช่ของจริงหรอก มันจะเป็นแค่สามัคคีแต่ภายนอก แต่ทุกคนถ้าอยู่ด้วยการมีสติมันก็คือหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีปัญหา..ว่าง่าย สบายเลย แต่ถ้าเราขาดสติ นี่..แม้แต่การฟังนี่ ถ้าขาดสติก็เดินวุ่นวาย ขาดสติทั้งนั้นละ คุยกันมั่ง อันนี้คือขาดสติ บางทีจิตใจเลื่อนลอย..เมื่อไหร่จะเลิกเสียที ได้เวลาตั้งนานแล้ว ใจเลื่อนลอยไม่อยู่กับการฟัง และบางคนก็หลับนะ อันนี้คืออาการของการขาดสติ มันก็แตกแยกกันไป นั่นก็ต้องเดิน นี่ก็ต้องคุย นั่นก็หลับ นี่ก็เผลอ ก็เลยกลายเป็นหลายคน..ควบคุมยากมาก สันติภาพไม่เกิดขึ้น สันติภาพก็ต้องมีหนึ่งเดียวคือรู้สึกตัว..ใช่ไหม เพราะฉะนั้นการมีสติอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันนี่ จะควบคุมกายควบคุมวาจาให้เป็นปกติ ถ้ากายวาจาเป็นปกตินี่เท่ากับมีศีลแล้วนะ ศีลแปลว่าความเป็นปกติ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดโกหก และก็ไม่ดื่มสุรา ศีล ๕ พร้อมโดยที่ยังไม่ได้สมาทานเลย..มีไหมนี่ สติควบคุมกายวาจาใจให้เป็นปกติเท่ากับมีศีลแล้ว จิตที่ตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับการฟัง อันนั้นคือสมาธิ สมาธิคือจิตที่ตั้งมั่น เมื่อมีสติ มีศีล มีสมาธิ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเกิดปัญญา ปัญญาคือการรู้จักตัวเรา จะมีการเข้าใจตัวเรามากยิ่งขึ้น รู้จักตัวเรา รู้จักความเป็นจริงของกายของใจเรา จะแก้ปัญหาตัวเราได้ก็ตรงนี้ ตรงรู้จักตัวเราด้วยปัญญา ถ้าทำไปบ่อยๆ นี่..เห็นแจ้งนะ
อาจจะบรรลุธรรมที่เกิดจากการฟัง หรือการเจริญสติในชีวิตประจำวันก็ได้ เกิดการรู้แจ้ง..นะ รู้ความจริงของชีวิต ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางภายในจิตใจ..แต่ทำหน้าที่ข้างนอกอย่างถูกต้อง มีผลมาก การเจริญสตินี่จะเรียกว่าเป็นบุญสูงสุดก็ได้ ในชีวิตประจำวันนี่ถ้าเรามีการเจริญสติเสมอๆ นี่ เท่ากับเราเก็บเกี่ยวบุญได้ทั้งวันเลย มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา นี่เป็นยอดบุญ เป็นยอดแห่งคุณธรรมเลย คุณธรรมของคนเรานี่จะมากน้อยนี่วัดที่สติ คนโน้นคนนี้มีคุณธรรมมาก..อันนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อ ต้องวัดกันที่สติ สำคัญมากที่สติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ใครมีศีลมากน้อยนั้นจะต้องมาอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันนี่จะรู้เลยว่าคนไหนมีศีลมากมีศีลน้อย คนที่จะมีสมาธิมากน้อยแค่นั้นต้องดูตอนที่มีภัย เวลามีภัยมาใกล้ตัวนี่คนที่ขาดสมาธิจะลุกวิ่งก่อนเพื่อนเลย ไม่รู้ละนำหน้าไว้ก่อน แต่คนมีสมาธิ..จะมั่นคง รู้จักไตร่ตรอง อากาศเย็นเกินไปก็บ่นร้อนเกินไปก็บ่น หิวก็บ่น เมื่อยก็บ่น อันนี้ขาดสมาธิทั้งนั้นละ จิตใจไม่มั่นคง ไหลไปตามอารมณ์ ต้องดูตอนที่มีภัย คนไหนจะมีสมาธิมากน้อย คนไหนที่จะมีปัญญามากต้องสนทนากัน ปัญญาต้องเกิดจากการสนทนากัน ถ้ามีศีลมีสมาธิมีปัญญาละก็ อันนี้เป็นสุดยอดของธรรมะเลย วัดกันได้ที่มีสติหรือไม่ ถ้ามีสติแล้วก็มีศีลมีทั้งสมาธิมีทั้งปัญญา นี่..เป็นศูนย์รวมแห่งคุณธรรมเลย มันเกิดความสามัคคีก็เพราะการมีสตินี่ รู้จักกาลเทศะเพราะการมีสติ ความเมตตา ความซื่อสัตย์ ความขยัน ความอดทน ต้องเริ่มจากการมีสติทั้งนั้นเลย นี่อันนี้เป็นคุณค่ามาก
[11:25] ผมจะแนะนำบางอย่างในการฝึกสติในขณะปัจจุบันนี้ การฝึกสติก็เพื่อให้รู้ทันจิตทันใจของเรา เพราะใจเราต่างหากเป็นผู้นำพาปัญหาชีวิตมาให้ เราต้องควบคุมและเอาชนะใจเราให้ได้ ทุกครั้งที่เรามีอารมณ์โกรธ มีอารมณ์หงุดหงิด อารมณ์เครียด ไม่สบายใจ ลองทำอย่างนี้ดูบ้างสิ ลองฝึกหายใจลึกๆ อันนี้ผมเคยทำมาก่อน หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้ แล้วก็หายใจออกยาวๆ อย่างรู้สึกตัว หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้นิดหนึ่ง แล้วก็หายใจออกยาวๆ อย่างรู้สึกตัว ทำเพียงแค่นี้ ๓ ครั้ง จิตจะปลอดโปร่งเลย ออกซิเจนที่เราสูดเข้าไปนี่มันจะทำให้สมองเราปลอดโปร่ง คนที่มีความเครียดฝึกหายใจสัก ๓ ครั้งนี่ ความเครียดก็จะหายไป คนที่มีความโกรธความหงุดหงิดลองหายใจยาวๆ เข้าๆ ออกๆ สัก ๓ ครั้ง มันก็จะหายไป บางครั้งนึกอะไรไม่ออก ก็ลองฝึกหายใจเข้า..รู้สึกตัว หายใจออก..รู้สึกตัวดูสิ มันจะนึกออก เราทำงานมาเหนื่อยๆ เราหยุดพักแล้วก็ลองหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยผ่อนออกยาวๆ สัก ๓ ครั้งเป็นอย่างน้อย อาการเหนื่อยทางกายก็จะหายไป จิตใจก็จะสบาย..ใช่ไหม สติกับลมหายใจนี่ ช่วยฟอกจิตฟอกใจฟอกกายเราให้สดชื่นได้ ลองฝึกดูนะ มันช่วยได้เวลาเกิดความโกรธ ความโมโห ความเครียด อย่าไปขับไล่เขา เพิ่มตัวความรู้สึกกับการหายใจ หายใจเข้า..รู้ กลั้นไว้ หายใจออก..รู้ ช้าๆ ๓ ครั้งเป็นอย่างน้อยนี่ อาการจะดีขึ้น จะนึกอะไรออก ความเครียดก็จะหมดไป อันนี้เป็นการฝึกสติเวลาเจออารมณ์กับปัจจุบัน หรือจะใช้วิธีการเคลื่อนไหวมือก็ได้ เคลื่อนไหวมือ ลองเอามือ กำมือ..แล้วก็รู้สึก แบมือ..แล้วก็รู้สึก เอาสติมารู้ที่มือกำลังกำ กำลังแบ ทำสบายๆ อย่างนี้แหละ สักพักหนึ่งนี่จิตเราจะเป็นปกติ มันจะไม่เข้าไปคลุกเคล้ากับอารมณ์
บางคนยังเคยแนะนำให้ถูนิ้วมือเล่นๆ เอานิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือถูสัมผัสกันเบาๆ แล้วก็รู้สึกๆ อันนี้เป็นการฝึกสติที่เป็นรูปแบบโดยที่ไม่มีใครรู้เลย การรอคอย อาการเบื่ออาการเซ็งนี่ ถ้าทำอย่างนี้..รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวนิ้วมือเบาๆ สัมผัสเบาๆ นี่ อาการรอคอยจะไม่เกิดขึ้น จิตจะไม่คลุกเคล้าไปกับอารมณ์ จะเอาชนะจิตใจเราได้ตรงนี้ ชนะอารมณ์เราได้ การเอาชนะอารมณ์นี่ถือว่าเป็นการเอาชนะตัวเราเลย การชนะอะไรไม่ประเสริฐเท่ากับชนะตัวเรา ชนะใจของเรา บางทีเราทุ่มเถียงกับคนอื่น เอาชนะคนอื่นเขาได้..แต่เราแพ้กิเลสตัวเรานะ เอาชนะคนอื่นแต่แพ้กิเลสตัวเรา ผมเคยได้สังเกตคนไทยนี่มีความอดทนมาก แต่อดทนแบบเก็บกด ฝรั่งนี่ไม่อดทน ชอบระบาย ใช่ไหม..คนไทบอดทนแบบเก็บกด ฝรั่งไม่อดทนชอบระบาย ที่จริงแล้วไม่ถูกทั้งคู่นะ อดทนแบบเก็บกดนี่มันเครียด มันเครียด มันทุกข์ แต่ระบายนี่ก็ไม่เครียด แต่ไม่ดี..เดือดร้อนคนอื่น แล้วจะทำยังไง เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ให้เราอยู่ตรงกลาง อย่าไปโกรธอย่าไปเครียด เพราะความโกรธความเครียดทำให้เรายังต้องอดทนและก็ระบาย อย่าไปโกรธอย่าไปเครียด พระพุทธเจ้าบอกว่า เหตุที่จะโกรธไม่มีหรอก เพราะโกรธเมื่อไหร่ใจเราก็ทุกข์เมื่อนั้น ฝรั่งกับคนไทยนี่ใครอิจฉามากกว่ากัน ผมสังเกตนะ โอ..คนไทยนี่อิจฉามาก ฝรั่งไม่ค่อยอิจฉา มีเรื่องเล่าว่าที่จังหวัดพิษณุโลกนี่ มีร้านอยู่ร้านหนึ่ง..นี่ร้านขายผักบุ้งลอยฟ้า เคยได้ยินไหม โอ..ผักบุ้งลอยฟ้านี่พิษณุโลกนี่ รู้สึกว่าดังมาก แล้วคนที่ชอบไปกินคือฝรั่ง ชอบไปกินนะ ผักบุ้งลอยฟ้าผัดยังไง ผัดผักบุ้งไฟแดงนะ ผัดเสร็จก็โยนแล้วก็รับปั๊บ แน่..ใส่ชาม ฝรั่งปรบมือชอบใจ โอ..เก่งมากคนไทย ทุกครั้งที่ผัดๆ โยนไป เอากระทะรับปั๊บ ฝรั่งปรบมือ คนไทยนั่งเงียบ นั่งเงียบเลย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผัดแล้วก็โยนขึ้นไป..รับพลาดลงมา โอ..ฝรั่งเสียใจ คนไทยปรบมือ อา..คือผู้ชนะนะแต่แพ้กิเลสตัวเอง คนไทยปรบมือ
เพราะนั่นถือว่าควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ถ้าควบคุมใจตัวเองไม่ได้นี่มันจะมีผลนะ มีผลมากคือเราจะ..เรียกว่าอะไร..ไม่ฉลาด เรียก..แพ้อารมณ์ตัวเอง มันมีติดอารมณ์กับฉลาดในอารมณ์ ถ้าติดอารมณ์นี่เป็นทุกข์ ถ้าฉลาดในอารมณ์นี่จิตใจสดชื่น ฉลาดในอารมณ์นี่เท่ากับเอาชนะใจตัวเราเองได้ ถ้าชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ละก็เราจะเข้าใจคนอื่น เข้าใจตัวเอง เอาชนะใจคนอื่นได้ด้วย เพราะว่าใจเรากับใจคนอื่นนี่มันคล้ายๆ กัน เรารู้เท่าทันใจเรานี่เท่ากับรู้เท่าทันใจคนอื่นด้วย ทีนี้ก็จะเกิดความสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน เข้าใจตัวเราเข้าใจคนอื่น ไม่มีปัญหาอยู่ด้วยกันได้ ที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะเราไม่เข้าใจกัน ไม่เข้าใจเขาแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเราด้วย เกิดปัญหาขัดแย้งกัน ถ้าเข้าใจจิตใจเราได้หน่อยละก็ เข้าใจอารมณ์ตัวเราละก็เราจะเข้าใจคนอื่นพร้อมกันไปด้วย มันก็ไม่มีปัญหา เกิดสัมพันธไมตรีต่อกัน ไม่ใช่สัมพันธไม้ตีนะ..สัมพันธไมตรี พูดจาภาษาเดียวกันเพราะเราเข้าใจกัน แล้วการทำงานก็ไม่เครียด จิตใจก็สงบเยือกเย็น ปลอดโปร่ง มองโลกในแง่ดี ถ้ามีสติเข้าใจตัวเรา เอาชนะใจเราได้จะมองโลกในแง่ดี มีกำลังจิตมีกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค ไม่ท้อแท้ ในยามที่ผิดหวังเราก็ไม่เสียพลังใจ มีพลังใจที่จะยอมรับและเข้าใจ เอาชนะความผิดหวังได้ อันนี้เป็นเรื่องของการที่จะฝึกสติในชีวิตประจำวันให้รู้จักให้รู้เท่าทันใจเรา มีสติเพื่อให้รู้เท่าทันใจเราเท่านั้นเอง นี่สำคัญเลยนะ
ผมเองนี่ก่อนที่จะพิการนี่ ผมไม่เคยสนใจธรรมะเลย โอ..ธรรมะไม่จำเป็นหรอก เราไม่ต้องมีธรรมะก็ได้ เรามีงานทำ เรามีความรู้ ถ้าหากว่าผมไม่ดำเนินชีวิตมาทางเส้นทางธรรมแบบนี้ ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ใช้สภาพพิการมาตั้ง ๓๐ ปี ทั้งที่มีความหวังแค่ ๕ ปี ขอให้อยู่รอดเถอะ แต่อยู่มาตั้ง ๓๐ ปี แล้วอยู่อย่างดีเสียด้วยนะ อยู่แบบช่วยตัวเองและช่วยคนอื่นได้ด้วย ก็ได้อาศัยการปฏิบัติธรรมนี่แหละ ผมทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่อ่างทองนี่ สังคมการทำงานนี่ดีมาก แต่พอเลิกจากการทำงานแล้วนี่ มันเป็นชีวิตส่วนตัวของเรา นอกจากการเล่นกีฬาแล้วซ้อมกีฬาแล้ว ชีวิตส่วนตัวในสังคมที่ผมอยู่นี่เขามีการดื่มเหล้า เล่นการพนัน เที่ยวเตร่เฮฮา ในสังคมเขาอยู่กันแบบนั้น บางสิ่งบางอย่างเราต้องเข้าไปร่วมเข้าไปเสพกับเขา ซึ่งดูแล้วว่าถ้ายังอยู่ต่อไปอย่างนั้นนี่เราจะมีชีวิตที่แย่มาก เราต้องมีหนี้สิน มีปัญหาชีวิตมากมายเลย โชคดีที่มันพิการเสียก่อน คือหันเหชีวิตมาทางการปฏิบัติธรรม ชีวิตเลยดีมาได้ ถ้าผมไม่พิการนี่ผมนึกทีไรมันขนหัวลุก เราต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยที่อาจจะลำบากกว่านี้มากก็ได้นะ ก็เลยเดินบนเส้นทางธรรมนี่ดีมากเลย ด้วยการเจริญสตินี่ สติสัมปชัญญะนี่เป็นทางที่มีอุปการะมาก ใช้ได้ทุกเมื่อ ถ้าเราเจริญขึ้นมานี่สร้างได้ทุกเมื่อเลย เพราะฉะนั้นญาติธรรมคำถามที่มีอยู่ว่า ชีวิตเรามีความสุขอยู่แล้ว ไม่มีความทุกข์เลย เราจะมาสนใจกับธรรมะทำไม สนใจเรื่องธรรมะทำไม ก็อยากถามต่อว่า เราไม่มีความทุกข์หรือเราไม่รู้จักทุกข์กันแน่ .. เราไม่มีความทุกข์หรือเราไม่รู้จักทุกข์กันแน่ เพราะฉะนั้นสนใจไว้เถอะ ฟังก็ดี คิดก็ดี ปฏิบัติก็ดี ช่วยให้เราคลายทุกข์คลายเครียดในชีวิตเราได้ ธรรมะนี่ช่วยป้องกันจิตป้องกันใจไม่ให้เป็นทุกข์ ธรรมะนี่ช่วยรักษาใจให้เป็นปกติ ในยามความทุกข์มาเยือน สติมาทันเมื่อทุกข์มาเยือน เกิดปัญญาปล่อยวางความทุกข์นั้นได้
อาศัยการฝึกสติเจริญสติในชีวิตประจำวันนี่แหละ เขาเรียกว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมเลย อย่ารอให้พิการอย่างผม อย่ารอให้เดินไปไหนไม่ได้ หรือทำอะไรไม่ได้แล้ว หรือมีความทุกข์มากแล้ว ค่อยหันเหชีวิตมาปฏิบัติธรรม [22:00] อย่าไปรอ ทุกอย่างมันไม่แน่นอนหรอก มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีพบก็ต้องมีจาก สิ่งเหล่านี้แหละมีขึ้นได้แก่คนทุกคน เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน อย่าไปรอ เตรียม..เตรียมฝึกจิตฝึกใจไว้ก่อน เอาไว้เผชิญหน้ากับความทุกข์ที่จะมีขึ้นข้างหน้าเรา บอกว่าให้เตรียมสติปัญญา เตรียมธรรมะ เหมือนน้ำที่เอาไว้ดับไฟ คือความทุกข์ที่จะมาสู่ชีวิตเรา อย่าประมาทนะ..อย่าประมาท อย่าคิดว่าเราคงจะไม่ใช่..อย่าคิดอย่างนั้น ผมเองนี่แต่ก่อนคิดว่าคงจะไม่เป็นอย่างนี้หรอก ชีวิตเราดีมาแล้ว มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย แต่มันพลาดกลายมาเป็นคนพิการได้ โดยที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ชีวิตนี้ไม่เคยเลือก..แต่ความไม่แน่นอนนี่แหละนะ ฉะนั้นต้องระวังไว้นะ เตรียมจิตเตรียมใจ สนใจธรรมะเอาไว้.