PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
  • อุปสรรค
อุปสรรค รูปภาพ 1
  • Title
    อุปสรรค
  • เสียง
  • 9029 อุปสรรค /aj-kampol/2021-03-04-07-48-15.html
    Click to subscribe
  • {ampz:shareampz}

ผู้ให้ธรรม
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
ชุด
นักทำใจ
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • อุปสรรค (ความยาว 11.58 นาที)

    (11.34) การลงทุนให้ชีวิตได้กำไร คือ หัดทำความพอใจในสิ่งที่เรามี ความโชคร้ายของมนุษย์ คือ ไม่รู้ว่าตนเองโชคดี - ปิยโสภณ

     

    (11.04) จะพูดเรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวัน แต่ว่าพูดในแง่ของอุปสรรค อุปสรรคนี่ก็หมายถึง สิ่งที่กีดขวางหรือขวางกั้นไม่ให้เราบรรลุผลสำเร็จ เรียกว่า “อุปสรรค” เราจะทำอะไรก็ตาม ก็ย่อมที่จะมีอุปสรรคเสมอ การใช้ชีวิตก็มีอุปสรรค การทำงานแต่ละอย่างเนี่ย ถ้าเริ่มมีการกระทำหล่ะก็ ต้องมีอุปสรรค ต้องมีสิ่งขวางกั้น ไม่ให้เราบรรลุผลถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครชอบอุปสรรค อยากจะให้มันราบรื่น เรียบร้อย “อุปสรรค”นี้เป็นเรื่องธรรมดา อย่าว่าเป็นสิ่งที่แปลก การทำงานเนี่ย หลายคนพอเจออุปสรรคแล้วก็อยากจะล้มเลิก อยากจะเลิกทำไปเลย ถ้าพบอุปสรรคแล้วไม่ทำต่อไปเนี่ยก็จบอยู่แค่นั้นอ่ะ งานก็ไม่สำเร็จ แต่มีบางท่านนี่ไม่ท้อถอย ไม่ว่างานอาจจะล้มเหลว แต่ก็ไม่ยอมล้มเลิกที่จะต่อสู้อุปสรรคต่อไป พอได้ผ่านอุปสรรคไปแล้วนี่ มันมีประโยชน์นะ มีผลออกมาเป็นรางวัลเม็ดงามทีเดียว หมายถึง เกิดความภูมิอกภูมิใจ สบายใจ แล้วก็ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ แล้วเรื่องการทำงาน 

    การปฏิบัติธรรมเองก็มีอุปสรรคเหมือนกัน อุปสรรคของการปฏิบัติธรรมเนี่ยก็มีเยอะ คือ คนเราเนี่ยถ้ามีศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ต้องเจออุปสรรคเป็นระยะๆไป อันนี้พูดถึงคนมีศรัทธาที่จะปฏิบัตินะ บางท่านพูดถึงปฏิบัติธรรมปั๊บ เริ่มตั้งอุปสรรคไปเลย คือ ขี้เกียจ ก็มีนะ โอ้ บางคนถามว่า เอ๊ะ อุปสรรคของการปฏิบัติธรรมคืออะไร บางท่านตอบว่า “ขี้เกียจ” ก็จบกัน แต่ว่าไอ้ความขี้เกียจเนี่ยถือว่าเป็นอุปสรรคก็ใช่อยู่ แต่วิธีการแก้ไขความขี้เกียจเนี่ยง่ายนิดเดียวนะ จะเป็นการทำงานก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี ถ้าเราเกิดความขี้เกียจหล่ะก็ ลองเปลี่ยนใหม่ ลองเปลี่ยนเป็นขยันนะ ถ้าเปลี่ยนเป็นขยันนี่ ไอ้ความขี้เกียจเนี่ยเกิดขึ้นไม่ได้หรอก ขยันซะอย่างเดียว มันก็เอาชนะความขี้เกียจได้ ไม่เชื่อลองขยันดูสิ รับรองว่าความขี้เกียจไม่เกิดขึ้นแน่ 

    การทำสมาธิ ทำสมาธิก็หมายถึงว่าทำจิตให้เป็นหนึ่ง ผลคือได้ความสงบ ได้ความสุข แล้วก็ได้ฌาน ถ้าตายไป ก็ไปเกิดในพรหมโลก เสร็จแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารเหมือนเดิมนะ อันนี้คือการทำสมาธิ

    อุปสรรคของสมาธิก็มีอยู่ คนทำสมาธิจะเริ่มรู้ดี อุปสรรคของการทำสมาธิก็คือความคิดเนี่ย ความคิดเกี่ยวกับเรื่องกาม ความอยากได้ในรูป เสียง กลิ่น รส หรือมีความโกรธ พยาบาท เกิดขึ้นในจิตใจเรา หรือบางทีเกิดความฟุ้งซ่าน ความง่วงเหงาหาวนอน ความสลดหดหู่ หรือความลังเลสงสัย อาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นในจิต เนื่องจากว่าเป็นอุปสรรค ทำให้จิตไม่สงบ ทำให้จิตเราไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เพราะว่าถูกความคิด ความรัก ความเกลียด ความเหงา ความฟุ้ง ความสงสัยเนี่ย ครอบงำจิตใจเนี่ย อันนี้มันเป็นอุปสรรคเหมือนกัน จิตไม่เป็นหนึ่ง จิตไม่สงบ อันนี้คือการทำสมาธิ

    ส่วนการเจริญสติ การเจริญสตินี่ก็มีอุปสรรคเหมือนกัน สติกับสมาธิต่างกันนะ ต้องแยกๆกัน สติ คือความระลึกได้ ระลึกรู้ มีผลทำให้เกิดปัญญา มีสติแล้วก็จะเกิดปัญญา รู้ตามความเป็นจริงของชีวิต แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ได้นิพพาน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ หรือในวัฏฏสงสาร มีผลที่ไม่กลับมาเกิดอีก อุปสรรคของการเจริญสติก็คือความคิดเหมือนกัน ความคิดที่มันปรุงแต่งอยู่ในจิตใจ เป็นความลังเลสงสัย เป็นการเปรียบเทียบ อาจารย์คนนู้นว่าอย่างโน้น อาจารย์คนนี้ว่าอย่างนี้ ตำราก็ว่าอย่างโน้น ตำราก็ว่าอย่างนี้ ไม่มั่นใจ เปรียบเทียบบ้าง ลังเลสงสัยบ้าง ทำให้จิตฟุ้งซ่าน จิตไม่ปรกติ เพราะว่ามัวแต่คิดปรุงแต่ง เผลอเพลินไป ไอ้เนี่ยเป็นอุปสรรคใหญ่ทีเดียว ถ้ามีความคิดปรุงแต่งหล่ะก็สติไม่เกิด แต่ถ้าสติเกิดเมื่อไหร่หล่ะก็ความคิดก็ดับไป เหมือนความขี้เกียจกับความขยันอ่ะ ถ้าเกิดความขี้เกียจ รับรองไม่ขยัน ถ้าเกิดความขยันก็ไม่ขี้เกียจ สองอย่างจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ เพราะนั้นความคิดเนี่ยถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการเจริญสตินี่ หรือบางท่านก็อาจจะเจออุปสรรคอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความอยาก อยากที่เป็นตัณหา ต้องการผลการปฏิบัติ อยากให้จิตมันสงบ อยากให้พ้นทุกข์ไวๆ พอเกิดความอยากในการปฏิบัตินี่ มันมีผลเสียกับด้านจิตใจ ทำให้เราต้องตั้งใจมากเกินไป เพ่ง จะเอาให้ได้ จะรู้ให้ได้เนี่ย จิตก็จะเครียด ไม่ปรกติ ครั้งแรกที่เป็นอุปสรรคใหม่ๆก็เป็นความหลงไปกับความคิด อันนั้นก็เป็นด้านนึง อันต่อมาก็ตั้งใจมากเกินไป หวังเป็นตัณหา จะเอาผลในการปฏิบัติ เพ่ง บังคับ กดข่ม อันนี้ก็อีกด้านนึง มันไม่ลงสายกลางได้ แล้วถ้าเรายิ่งเพ่งมากๆ ยิ่งบังคับมากๆนี่ ทำให้จิตเรานี่ไม่ปรกติ ร่างกายก็ไม่ปรกติ คนที่ตั้งใจมากเกินไป สังเกตดูเถอะ ตั้งใจดูทีวีมากเกินไป เพ่ง หรือตั้งใจเจริญสติมากเกินไป พอสภาวะธรรมอะไรเกิดขึ้นมา ตั้งใจกำหนด กดข่มบังคับเนี่ย มันจะเกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและก็จิตใจเลย ร่างกายบางทีเกิดอาการมึนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามต้นคอ ตามหัวไหล่ บางทีคลื่นไส้อาเจียนด้วย เป็นทุกข์แล้วทางด้านร่างกาย จิตใจก็เช่นเดียวกัน จิตไม่ปรกติ ถ้าเราไปบังคับมากเกินไป ฟุ้งซ่าน มีแต่ความลังเลสงสัย เนี่ยเป็นทุกข์แล้ว เนี่ยเรียกว่า ธรรมชาติลงโทษก็ได้ เพราะว่าเราไปบังคับสภาวะธรรมต่างๆ เนี่ยเลยเป็นทุกข์ เนี่ยเป็นอุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติ อุปสรรคที่จริงแล้วเนี่ยมันเกิดจากการเห็นผิดของเรา เห็นผิดจากกฎของธรรมชาติ เช่น สิ่งที่มันไม่เที่ยง ก็ให้มันเที่ยง สิ่งที่มันเป็นทุกข์ ก็ให้เป็นสุข สิ่งที่มันบังคับบัญชาไม่ได้  ควบคุมไม่ได้ เราก็จะพยายามควบคุม มันก็เลยเกิดความเครียด 

    การเจริญสติเนี่ย ไม่ต้องบังคับอะไร ไม่ต้องไปอยากได้อะไร เพียงแต่เรามีสติ ตามรู้ลงไปที่กาย ที่จิต ที่เค้าแสดงอาการออกมา ตามรู้ไปเฉยๆ ไม่ต้องไปบังคับอะไร ไม่ต้องไปกดข่มอะไร รู้ตามที่เค้าแสดงออกมา เนี่ยมันง่ายการปฏิบัติเนี่ย ถ้าวางจิตวางใจไว้ถูกต้องแล้วก็ง่าย รู้กาย รู้จิต รู้ความคิด ใจเราก็จะไม่เครียด อย่างเช่นว่า เวลาเราเจริญสติไปเนี่ย ถ้าจิตมันฟุ้ง เรารู้ว่า อ๋อ นี่จิตมันฟุ้งนะ รู้แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปบังคับให้มันหาย ถ้าบังคับให้มันหาย แสดงว่าเราไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็จิตมันฟุ้งอยู่ เรารู้ อ๋อ มันฟุ้ง แค่นี้ก็ได้ปฏิบัติแล้ว จิตเป็นปกติแล้ว เป็นปัจจุบันแล้ว ถ้าจิตฟุ้งแล้วเราไม่รู้สึกตัวเนี่ย เข้าไปอยู่ในความฟุ้ง พยายามบังคับ กดข่มให้มันหายฟุ้ง อันนี้ผิดแล้ว จะเกิดความเครียด หรือบางทีจิตมันสงบ อ๋อ เรารู้ว่ามันสงบ อ๋อ จิตสงบนะ แค่นี้ก็ได้แล้ว ได้ปฏิบัติ ได้เจริญสติแล้ว เป็นปรกติแล้ว ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าจิตสงบ แล้วเราไม่รู้เท่าทันในความสงบ หลงแต่อยู่ในความสงบ อันนี้ยังใช้ไม่ได้ คือ ไม่รู้ตามความเป็นจริง เข้าไปติดในความสงบ แค่ตามรู้สิ่งที่เค้าเกิดขึ้น รู้เฉยๆ สบายๆ อันนี้ก็ได้ปฏิบัติแล้ว รู้ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น นั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ยเหมือนการใช้ชีวิตของเรา ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเนี่ยมันจะไม่ทุกข์นะ การใช้ชีวิตก็เช่นเดียวกัน คนเรามักจะพูดว่า อะไรอ่ะ เป็นทุกข์เพราะยากจน อันนี้ไม่ใช่นะ คนจนเนี่ยไม่ทุกข์ก็มีนะ คนรวยทุกข์มากกว่าคนจนก็มี เพราะนั้นความจนไม่ใช่ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะเราเข้าใจผิด หรืออีกอันนึงก็คือ เราไม่รู้หนังสือ เราเป็นคนโง่ เราปฏิบัติธรรมไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ใช่ หลวงพ่อเทียนนี่ไม่รู้หนังสือนะ เขียนหนังสือก็ไม่ได้ พูดภาษาไทยก็ไม่ชัด แต่สามารถปฏิบัติธรรมนี่ เห็นธรรมะได้ รู้ธรรมะได้ งั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ไม่รู้ เพราะนั้นการที่เราเห็นว่าเป็นอุปสรรคนั้น อันนั้นคือความเห็นผิด หลวงพ่อคำเขียนท่านได้วางวิธีการที่เอื้อมหมัดเด็ดไว้ว่า เวลาเราปฏิบัติธรรม เราเจริญสติ ถ้าเจออุปสรรคอะไรก็ตามเนี่ย มีวิธีเดียวคือ อย่าเข้าไปเป็นมัน เป็นแค่ผู้ดูเท่านั้นอ่ะ จบเลย พับใส่กระเป๋าได้เลย แค่ผู้ดูในอุปสรรคต่างๆ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่มีสองอย่าง คือ มีผู้ดู กับสิ่งที่ถูกดู สองอย่างเท่านั้นอ่ะ เพราะนั้นอุปสรรคที่แท้จริงนั้นก็คือ ความเห็นผิด ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เราจะสามารถเปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติธรรมไปเลยนะ คืออะไร คือเห็นอุปสรรคนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เกิดปัญญา เห็นอริยสัจ 4 เลย ในอุปสรรคนั้น อันเนี้ยคือเห็นถูกต้อง ในภาษาธรรมเรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ”.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service