แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
เครื่องวัดผล
เป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเริ่มตั้งแต่การตื่นนอน การตื่นนอนหรือการตื่นตัว ตื่นกายตื่นใจ เราก็มีการเริ่มปฏิบัติตั้งแต่เราขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว คือตั้งแต่เราตื่น ตื่นจากการหลับ เราหลับก็เป็นเหมือนกับพักผ่อนปิดสวิตช์ พอเราตื่นเราก็เป็นเหมือนเปิดสวิตซ์หรือเปิดก๊อกน้ำที่เราจะใช้ ก็เป็นธรรมชาติ การนอนการพักผ่อนแล้วก็การตื่น
แต่ตื่นขึ้นมา ตื่นด้วยสติ ตื่นด้วยสติ คือความรู้สึก หรือตื่นด้วยการที่เรากำหนด ที่เรารู้สึกตัว การที่เรารู้สึกตัวเป็นกุศโลบาย หรือเป็นวิธีการ หรือเป็นอุปกรณ์ เป็นเครื่องมือ ในการที่จะทำสิ่งที่เรากระทำนั้นให้สำเร็จ หรือให้ผ่านพ้นไปด้วยดี หรือมีความถูกต้องเรียบร้อย
เรียกว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน ในการทำหน้าที่ ในการที่จะเสริมประสิทธิภาพของชีวิตจิตใจให้มีคุณภาพ ให้มีความสำเร็จลุล่วง หรือให้เข้าถึงเข้าถึงแก่น เข้าถึงธรรม เข้าถึงใจ เข้าถึงหลักของการที่จะเป็นการตื่นรู้ หรือเป็นการที่จะให้เกิดความไม่มีทุกข์
การปฏิบัติธรรมนี้จะหมายถึง ความไม่มีทุกข์เป็นผลเลย ใครจะปฏิบัติน้อย ปฏิบัติมาก ปฏิบัตินาน ปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ แต่มันจะมีผลที่จะเป็นเครื่องทดสอบ หรือเครื่องตรวจสอบ หรือเป็นเครื่องวัด เป็นเครื่องวัดว่าประสบผล หรือมีการได้รับอานิสงส์มากน้อย มีเครื่องวัด คือความไม่มีทุกข์
ความไม่มีทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีที่จะทิ่มแทงจิต เขาเรียกว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีสิ่งที่จะมาครอบงำมาทิ่มแทง หรือมาทำให้จิตเราเสียความเป็นปกติ เขาเรียกเป็นเครื่องวัด เราจึงต้องเป็นการปฏิบัติ แล้วก็ทดสอบไปในตัว เหมือนกับมีเครื่องหมายบอกว่า ได้ธรรมหรือไม่ได้ธรรม
ได้ถึงธรรมหรือยังไม่ถึงธรรม ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ก็มีเครื่องวัดอยู่ในตัวของมัน ถ้ายังคลอนแคลน ถ้ายังวุ่นวาย ถ้ายังไม่สงบ ถ้ายังขัดแย้ง ถ้ายังเป็นทุกข์ ถ้ายังวิตกกังวลเศร้าหมอง ถึงจะบอกว่ารู้ธรรม บรรลุธรรม แต่เครื่องวัดมันไม่ผ่าน คือเป็นวาทกรรม หรือเป็นเพียงคำพูดว่าบรรลุธรรมถึงธรรม
แต่เครื่องวัดที่ว่า มีความเป็นปกติ หรือมีความเป็นธรรมชาติ หรือมีการตื่นรู้ จะมีลักษณะของการที่มีเครื่องหมาย เครื่องหมายบอกว่า มีการเกิดดับ หรือมีการเกิดขึ้น ที่เราเรียกว่า “จิตหลุดแล้ว ญาณย่อมมี” ต้องมีญาณเป็นเครื่องหมายที่จะรองรับสิ่งนั้นๆ อีก
เหมือนกับว่า สิ่งที่เรากำลังประสบ หรือกำลังได้รับ หรือกำลังเกี่ยวข้องอยู่ ณ ขณะนี้ จะเป็นลักษณะมีของความเป็นที่รองรับ หรือบ่งบอกหรือรองรับตัวเราได้เลย เรียกว่าได้รับโดยตัวเรา จะรับรู้ได้ด้วยตัวเราเอง เป็นลักษณะที่เรียกว่าสิ่งนั้น เกิดสภาวะอาการ
แต่การปฏิบัติธรรมนี้จะมีขั้นมีตอนเหมือนกัน เขาเรียกว่าเหมือนกับเราสอบได้ชั้นได้ขั้นได้ลำดับ เลื่อนชั้น เลื่อนภูมิ เลื่อนการรับข้อมูลต่างๆ พวกนี้ มันจะเป็นลักษณะมีขั้นตอน ขั้นตอนของการที่จะอยู่ในขั้นตอนไหน ขั้นตอนไหนของหลักปฏิบัติ ก็ตรงตามหลักของหลักสูตรที่เราเคยได้ยินคำว่า ปริญญา 3
ในทางพุทธศาสนาก็มีปริญญาเหมือนกัน แต่ปริญญา 3 อย่างในหลักธรรม หมวดที่ 3 เขาเรียกว่า ญาตปริญญา ปริญญาว่าด้วยการกำหนดรู้เลย ปริญญาที่ 1 ถ้าเราได้เข้าสู่ญาตปฏิญญา คือการกำหนดรู้สัมผัสกับอาการ หรือสัมผัสความรู้ตัวได้ เป็นญาตปริญญา
ปริญญาที่ 2 เขาเรียก ตีรณปริญญา ปริญญาว่าด้วยการพิจารณา คือเข้าไปสู่การดูจิตแล้ว จากการที่เราใช้ญาตะเหมือนเป็นปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอก ถ้าเป็นการดูความรู้สึกจากการเคลื่อนไหว จากการกำหนดรู้ที่กาย ตรงกับคำว่า กายานุปัสสนา คือดูกายในกาย
พอไปถึง ตีรณปริญญา คือการรู้เข้าถึงดูจิต เห็นความคิด เห็นอารมณ์ เห็นวัตถุ เห็นปรมัตถ์ เห็นอาการแล้ว พอปริญญาที่ 2 นั่นเข้าไปสู่การเห็นความคิด แล้วก็เห็นปรมัตถ์ สิ่งที่กำลังเกิด ขณะกำลังเกิดกับใจของเรา กับภายใน หรือสัมผัสรู้ได้ เห็นได้
ปรมัตถ์ คือการกำลังเห็น เกิดของใจ เกิดของอารมณ์ เกิดของการเป็นนามธรรม มีอาการด้วย คือเกิดจากวัตถุที่เราเรียกว่ากาย วัตถุที่เป็นความรู้สึกนึกคิดได้ จะเข้าสู่ปรมัตถ์ ตีรณปริญญา
พอไปถึงปริญญาที่ 3 ปหานปริญญา ปริญญาว่าด้วยการประหารเลย คือว่าด้วยการหลุดพ้น ว่าด้วยการคัดแยกออก ว่าด้วยการสกัด ไม่ให้เข้าถึงจิตเลย ปหานปริญญาคือการประหาร หรือการแยกออกจากจิต
คือสิ่งนั้นจะเข้ามาทิ่มแทงจิต หรือทำให้จิตเราโอนเอน ทำให้จิตเราติดหล่ม ทำให้จิตเราไปจมไปแช่ไปกับสิ่งนั้นๆ ไม่ได้ มันจะต้องมีตัวแยก ตัวแยกคือปหานปริญญา คือมันแยกออกจากจิตเรา ตัวที่มันจะมาเข้าครอบงำจิต ตัวที่มันจะลากจูงจิต ตัวที่มันจะทำให้จิตเราไปสู่กรรม คือการกระทำ
ไปสู่กรรม คือการเอามาคิดมาหมกมุ่นมาครอบงำจิต มันจะไม่เอามาให้จิตเราเปรอะเปื้อน หรือทิ่มแทงจิตให้เจ็บปวด หรือให้เป็นสิ่งที่หนักจิตหนักใจ จะต้องไปถึงปหานปริญญา ปริญญาด้วยการประหาร หรือแยกแยะ หรือสกัดกั้น ด้วยปัญญาญาณเลย
จะไปสู่ปัญญาญาณ คือเป็นสู่เขาเรียกว่า อธิจิตสิกขาเลย อธิปัญญาสิกขา อธิศีลสิกขา สิกขาแปลว่าถลุง แปลว่าย่อย หรือแปลว่าการที่มันจะต้องเปลี่ยนแปลง เขาเรียกว่าอธิ อธิแปลว่ายิ่ง สิกขาแปลว่าถลุง แปลว่าการย่อย การเปลี่ยนแปลง หรือการไม่ให้จิตเราเจ็บปวด ไม่เจ็บปวดไม่ทิ่มแทงนั่นแหละ
เขาเรียกว่าแปลว่า เปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะมาเป็น เขาเรียกว่า จากลูกศรก็กลายเป็นดอกไม้ ต้องเปลี่ยนลักษณะที่เรียกว่า ไม่มาทิ่มแทงจิตเราได้ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ เพราะมันมีตัววงจรที่มันคอยสกัดกั้น หรือคอยที่จะแยกแยะให้เรา
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมจึงเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ หรือกับสิ่งที่มาประกอบ เหมือนกับเป็นเครื่องมือ ถ้าเรามีเครื่องมือแล้วเราทำงานทำการหรือเราทำอะไรก็สำเร็จได้ ถ้าเราไม่มีเครื่องมือมันก็จะเนิ่นช้าหรือทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นในการที่เราต้องมีอุปกรณ์ช่วยเป็นสิ่งสำคัญ
การปฏิบัติธรรมนี้จึงหมายถึง สิ่งที่จะมาช่วยให้เกิดปัญญาญาณ หรือให้สติของเรา จากสติธรรมดากลายเป็นสติปัฏฐาน จากสติปัฏฐานก็จะกลายเป็นปัญญาญาณ จากปัญญาญาณก็จะไปสู่การที่จะคัดแยกโดยอัตโนมัติ
เขาเรียกว่าโดยความเป็นหลัก ที่เป็นเครื่องมือ ที่เป็นญาณของปัญญา หรือที่เกิดปหานปริญญา คือเกี่ยวข้องกับการที่จะเข้ามาทำร้ายจิตหรือเข้ามาถึงจิตเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม เราก็เลยเป็นลักษณะของการเข้าสู่โหมดหรือเข้าสู่โปรแกรมเลย เข้าสู่เส้นทาง
เส้นทางของการปฏิบัติ ก็เริ่มต้นของการกำหนดรู้นี่แหละ ญาตปริญญา กำหนดรู้คือ รู้สึกตัว รู้สึกกาย รู้สึกอาการ ที่กำลังเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของกาย การลุกยืนเดินนั่งนอน คู้เหยียดเคลื่อนไหว กระพริบตา หายใจ ก้มเงย พวกนี้กำหนด
ทีนี้การกำหนดรู้ จะให้รวดเร็วหรือว่องไวขึ้น หรือเป็นทางลัดทางด่วน หรือเป็นลักษณะเข้าสู่โหมดเหมือนกับเข้าสู่ มีผู้รู้ มีกัลยาณมิตร มีหลักการ มีครูมีอาจารย์พวกนี้ คือเข้าสู่โหมดของการที่จะศึกษาของทั้งทฤษฎีแล้วก็สู่ภาคปฏิบัติ เพื่อจะให้เป็น ปริยัติ ปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ คือผลของการปฏิบัติที่เป็นปฏิเวธจากการที่เราศึกษาข้อมูล
แต่ข้อมูลที่เราศึกษาในสายงานของหลวงปู่เทียน หรือในวิธีการของการปฏิบัติการเจริญสตินี้ ก็ไม่ได้ไปศึกษามากมาย เราก็เอาตรงสำคัญเลย เอาตรงตัวที่มันจะเป็นส่วนที่สำคัญ จำเป็น แล้วก็เร่งด่วน แล้วก็ถูกต้อง นำมาใช้เพื่อให้มันกระทัดรัด เพื่อให้เป็นทางลัดทางตรง เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติ ในการที่จะเข้าถึง
ท่านจึงเรียกว่าไม่ได้ไปศึกษาอะไรมากมายถึงปฏิบัติ คือรู้ว่าตัวไหนตัวสำคัญ เราก็อยู่กับตัวนั้น ก็ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติ คือไม่จำเป็นต้องไปท่องไปจำอะไรมาก แต่ให้เราเอาหลักของสติปัฏฐานเลยแหละ
แม้แต่เราได้ยินว่า ใบไม้กำมือเดียว ที่พระพุทธองค์หรือพระพุทธเจ้าเสด็จไปกับภิกษุหมู่ใหญ่ ไปนั่งอยู่ในป่าท่ามกลางภิกษุแวดล้อม แล้วพระองค์ก็กำใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่ง
แล้วก็ถามภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือเรา อันไหนมากกว่ากัน” ภิกษุก็บอกว่า “ใบไม้ในป่าเหลือคณานับ คือมากมาย แต่ใบไม้ในกำมือของพระองค์มีนิดเดียว มีแค่ 3 4 ใบ”
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ธรรมเราก็กล่าวเช่นนั้น” เหมือนกับว่า ที่เราจะเอาใบไม้เอาต้นไม้มาทำยา ไม่ได้เอามาเยอะ จะเป็นยาโบราณเขาก็ใช้ยาสมุนไพร จะเอามาฝนมาทามาต้มมาดื่มมากินอะไร ก็เอาแค่ 2-3 อย่าง เพื่อรักษาโรค เพราะฉะนั้นธรรมก็กล่าวเช่นนั้น
ว่าที่เรามาปฏิบัติ ก็เอาแค่ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นลักษณะให้ไปรักษาใจได้ เพื่อเราจับยาที่ถูกต้องมันก็รักษาโรคเราได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะมากมายก่ายกอง 84,000 พระธรรมขันธ์ แล้วพระองค์ก็บอกว่า “เวลาจะนำมาดับทุกข์ ก็เอาแค่ สติ สมาธิ ปัญญา” เราจะใช้คำว่า”ศีล สมาธิ ปัญญา” นี่แหละ เรียกว่า “ไตรสิกขา”
เพราะฉะนั้นในการที่เราปฏิบัติ เราจึงต้องเอา ความรู้สึกเป็นตัวหลัก ความรู้สึกก็คือสตินั่นแหละ สติจะนำไปเกิดสมาธิ สมาธิก็จะนำไปเกิดปัญญา เรียกว่าเป็นไปตามลำดับ เป็นไปตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอน หรือเป็นไปตามเส้นทางของธรรมะ
ท่านจึงเรียกว่าธรรมะเป็นกรรมฐาน ที่มีการเขาเรียกว่าฐานแปลว่ารองรับ ฐานแปลว่าที่ตั้งที่อยู่เลยฐาน กรรมแปลว่าการกระทำ ถ้ากรรมฐานคือเรากระทำอะไรก็ต้องมีฐาน ต้องมีที่รองรับ ที่รองรับของการกระทำเราก็เรียกว่า ใช้สติ
สติเราหมายถึงความรู้ตัว เพราะถ้าเราไม่มีเครื่องหมายไม่มีนิมิต เราจะพูดว่า ให้มีสติ ให้มีสติ แต่เวลามันไปแล้วมันไม่มีตัวดึง ไม่มีตัวที่จะไปสร้างสติที่เป็นสติธรรมดา ให้เป็นสติปัฏฐาน
คือเป็นสติธรรมดานี้ มันทำผิดทำถูกก็ได้ แม้แต่ไปลักไปปล้นไปจี้เขาก็มีสติ แต่เป็นสติตามสัญชาตญาณ หรือสติธรรมดา แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐานนี้ จะไปทำผิดทำชั่วทำในสิ่งไม่ดี ไม่ได้ เพราะมันเป็นหลัก เป็นหลักสูตรหรือเป็นกลไกสำหรับการที่นำไปสู่ตัวปัญญา
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน คือการรู้ตัว จะทำให้เราอยู่กับการที่เรียกว่าญาตปริญญา จนไปถึงการเข้าถึงการดูใจการดูความคิดเป็น ก็จะเข้าสู่ตีรณปริญญา พอไปถึงปหานปริญญา จิตใจเราจะถือว่า หลุดออก จากสิ่งที่เคยครอบงำเคยทิ่มแทงเคยมาทำให้จิตเราไม่สงบเลย เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม เราก็มีหลัก เส้นทาง ในการที่จะเดินทางกัน.