แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
เกิดปรมัตถธรรมขึ้นมาสู่ภายนอก
เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2568 ซึ่งเราก็มีการทำวัตรมีการปฏิบัติกันทุกวัน เป็นการทำตามสมมุติ สมมุติก็มี ปรมัตถ์ก็มี แต่เราก็มีการเกี่ยวข้องทั้งสมมติทั้งปรมัตถ์
แต่เราเน้นหลักของการปรมัตถ์ เพราะเรื่องสมมุติขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม หรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ขึ้นอยู่กับกาลเวลาสถานที่จะเกี่ยวข้องอะไรบ้าง ส่วนด้านปรมัตถ์ คือด้านภายใน ด้านชีวิตจิตใจ อันนี้เราเกี่ยวข้องทุกวัน เราก็เลยมีการเน้นมาที่การปฏิบัติ
การปฏิบัติหรือการเจริญสติ คือทำความรู้สึก ทำความรู้สึกตัวเพื่อให้มีเครื่องหมาย มีนิมิตมีเครื่องหมาย หรือมีเครื่องมือในการปฏิบัติ ในการที่จะเข้าไปดูด้านใน คือเครื่องมือนี้สำคัญ ถ้าเราไม่มีเครื่องมือเราทำอะไร ก็ยาก แต่พอมีเครื่องมือแล้ว มันช่วย
ช่วยให้เราทำ ไม่ว่าจะเป็นด้านการงานภายนอก หรือการงานภายใน การงานภายนอกก็ต้องมีเครื่องมือมีอุปกรณ์ เช่นสร้างบ้าน หรือซ่อมแซมรถ ซ่อมแซมวัตถุหรืองานต่างๆ หัตถกรรม หรืองานเกี่ยวกับโยธา หรืองานเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องมีเครื่องมือทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้มนุษย์เรา ประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ได้อย่างเกินที่กำลังมนุษย์จะทำได้ มีเครื่องมืออันเดียวนี้ สามารถทำงานได้เท่ากับคนเราเป็นร้อยคนเลย อย่างเช่นมีรถแม็คโครคันหนึ่ง ทำงานได้เท่ากับคนเกินคนเป็นร้อยเท่าเลย
เพราะฉะนั้นการที่เราทำอะไรก็ต้องมี การปฏิบัติก็เหมือนกัน เราก็ต้องมีอุปกรณ์มีเครื่องมือ เครื่องมือที่เราใช้ก็คือ การเคลื่อนไหว ให้มีความรู้สึก การเคลื่อนไหวให้มีความรู้สึก ความรู้สึกตัวมันจะไปเกี่ยวข้องกับด้านใน คือเกี่ยวข้องกับใจ
ความเคลื่อนไหวที่กาย แต่ก็ไปเกี่ยวข้องกับใจ จากการที่เรากำหนดรู้ กำหนดรู้ให้รู้สึกในการเคลื่อนไหว จะในรูปแบบ หรือจะนอกรูปแบบ หรือจะในอิริยาบถใดๆ ก็ให้กลับมา ที่รู้สึก รู้ตัว เพื่อจะได้ให้ความรู้ตัวนี้แหละ เป็นอุปกรณ์ในการที่จะไปเชื่อมโยงกับจิตใจ
ค่อยๆ เรียนรู้ไป จากภายนอก เข้าสู่ภายใน คือจากการกำหนดรู้ ก็จะเข้าไปสู่การปฏิบัติ ที่เข้าไปถึงด้านใน เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวก็เพื่อให้เรารู้สึก ความรู้สึกที่เรารู้สึก ต้องรู้ขณะกำลังเคลื่อน กำลังไหวเลย
ขณะกำลังไหว ขณะกำลังกระทบ ขณะกำลัง เป็น มี ขณะกำลังเป็นปัจจุบัน ขณะกำลังสัมผัสกับอายตนะ ไม่ว่าจะเป็นกาย หรือเป็นใจ หรือเป็นตาหูจมูกอะไร คือไปสัมผัสกับสิ่งที่เป็นอายตนะต่างๆ
เพราะฉะนั้นเราก็เลย กลับมารู้สึก แต่ที่มันชัดเจนหรือที่มันเรียบง่าย คือรู้สึกที่กาย เราพลิกมือ ยกมือ กำมือ เหยียดมือ ให้กลับมาที่ความรู้สึก ความรู้สึกตัวนี้จะรวบรวม รวบรวมไปสู่การรู้เข้าใจโครงสร้าง
โครงสร้างของการปฏิบัติ คือ รู้รูป รู้นาม เราก็ต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้สึก รู้บ่อยเข้า รู้ต่อเนื่อง รู้ติดต่อกันเป็นเหมือนลูกโซ่ มันก็เข้าไปเห็นว่า การเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับกาย เกี่ยวข้องกับใจ หรือภาษาเราเรียกว่ารูปนามอย่างไร
อะไรที่เราเรียกว่าเป็นรูป อะไรที่เราเรียกว่าเป็นนาม เหมือนกับว่ามันจะบอก มันจะบอกออกมาเอง เขาเรียกว่าสิ่งต่างๆ ส่วนมากมันจะบอกออกมาเอง เหมือนกับว่า มันถึงเวลามันจะออก มันจะบอก
เหมือนกับไข่กับไก่ ลูกไก่ที่มันอยู่ในไข่ ถึงเวลาลูกไก่มันจะเอาจงอยปากของมันดันเปลือกไข่ หรือเปลือกไข่มันจะแตก ทำให้มันออกมาดูโลกออกมาเห็นแสงสว่าง คือตัวลูกไก่มันทำของมันเอง ถึงเวลามันเป็น
ตัวแม่ไก่ก็มีหน้าที่กกไข่ กกให้มันอบอุ่น ให้มันมีอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วก็ต่อเนื่อง ตัวไข่ก็จะพัฒนาเป็นตัวไก่ขึ้นมา แล้วถึงเวลา มันก็จะแตกออกมาจากเปลือกไข่ของมันเอง ตัวรูปตัวนาม ก็เหมือนกัน
ตัวเข้าใจธรรมะแทบจะทุกตัว ก็มาจากภายใน คือมันมาจากสิ่งที่เกิดการผสม หรือเกิดการมีการเชื่อมโยงหรือปฏิกิริยากัน ระหว่างความรู้สึกตัว ไปเกี่ยวข้องกับกาย ไปเกี่ยวข้องกับใจ แล้วมันก็จะผุดขึ้นมา คือเราไม่ใช่ไปคิดเอา ไปคาดคะเน ไปนึกเดาเอา
แต่โดยธรรมชาติของคนเราก็คิดนึกได้ แต่ว่าเวลามันเป็นมันต้องเกี่ยวข้อง ถึงเวลามันเป็นของมันเอง ถึงเวลามันจะก่อตัวของมันขึ้นมาจากการเกี่ยวข้องกันนั่นแหละ หลายอย่างที่อุปมา ที่มันเป็นเอง แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับการกระทำ
เราสีไฟก็เหมือนกัน เขาสีไฟ เอาไม้ไผ่สองอันมาสีกัน ถึงเวลามันลุกเป็นไฟเป็นควันขึ้นมา เพราะมันต่อเนื่อง เกิดความร้อน แล้วก็เกิดเป็นการเผาไหม้เป็นควันเป็นไฟ แต่การกระทำนี้เราไปหยุดไม่ได้ ถ้าเราหยุดนี้มันจะเย็น ก็เริ่มต้นใหม่
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ทำไป ถึงเวลามันจะผุดขึ้นมา รูปนามนี่ จากรูปนามมันก็จะไปต่อ ไปต่อคือ การไปเห็นความคิด เห็นความคิดเห็นอารมณ์ เริ่มเข้าสู่ภายใน
เริ่มเข้าสู่โหมดเขาเรียกว่า เข้าสู่ประตูใจเลย เข้าสู่ไปสู่การเห็นวัตถุ เห็นปรมัตถ์ เห็นอาการ คือเห็นขึ้นมาในขณะที่เราปฏิบัติ อาจจะเป็นช่วงเดิน อาจจะเป็นช่วงนั่ง อาจจะเป็นช่วงคู้ เหยียด เคลื่อนไหว
บางทีเราเกิดขึ้นขณะเราทำงาน ขณะเราเดิน ขณะเรานั่ง ขณะเรากำลังหยิบจับสิ่งของ หรือกำลังจับสิ่งวัตถุต่างๆ พวกนี้มันเกิดได้หมด เพราะฉะนั้นเราจะเกิดอะไรเราก็ไม่รู้ แต่ถึงเวลามันก็เกิด เมื่อมันมีความสมควร มันก็เกิด การเห็นวัตถุ เห็นปรมัตถ์ เห็นอาการ หรือเห็นความคิด
ความคิดนี้ถ้าเราเห็นมันแล้ว มันจะหยุด แต่ก่อนอาตมาเองก็ไม่เคยหยุดความคิดได้ มีแต่ไหล มีแต่ปรุง มีแต่เอาตัวอย่าง เอาเหตุเอาผล เอาสิ่งที่จำได้ สิ่งที่มากระทบมาเกี่ยวข้อง กลายเป็นคิด เขาเรียกว่าคิดทั้งวัน กลางคืนก็เรียกว่าฝัน กลางวันก็เรียกว่าคิด ก็อยู่อย่างนั้น
พอมาปฏิบัติธรรม ไปเห็นความคิด ขณะมันกำลังผุดขึ้นมา เราเห็นกำลังที่จะโผล่ขึ้นมานี้ เราเห็น พอเห็นเรามองไปเห็นปั๊บ มันจะหยุด เหมือนกับว่ามันสลาย มันสลายมันจะไปแบบยาวๆ ลากยาวไม่ได้ เหมือนกับว่ามันก็ไม่มีตัวตนอะไรที่มันจะเป็นเส้นยาว
แต่ว่ามันผุด เพราะมันเป็นสังขาร แต่ถ้าเรามองเห็นมันปุ๊บ มันก็ไปต่อไม่ได้ มันจะหยุด คือมันสลาย ฉะนั้นตัวสติ จะเข้าไปเห็นความคิด การเห็นความคิดได้คือ ตัดเรื่องที่มันมารบกวนจิตไปมากมายก่ายกองเลย
ที่มันมารบกวนจิต หรือมาเกี่ยวข้องกับจิตเรา ส่วนมากก็มาทางความคิด มาทั้งทางอุปทาน มาทั้งทางเขาเรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สามารถก่อตัวขึ้นมาเกี่ยวข้องกับจิตทุกๆ เรื่อง มันอยู่ที่ว่า เราจะรู้ต้นเหตุ รู้เหตุปัจจัย โดยการเกี่ยวข้องของสิ่งต่างๆ ที่มันผุดขึ้นมา หรือที่มันแสดงขึ้นมา หรือที่มันเป็นธรรมชาติ
ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ มันจะเป็นสิ่งซึ่งเราก็มีการได้หยุด ได้เหมือนกับมีเบรด เบรคไว้ไม่ให้มันมารบกวนจิต ไม่ให้มันมาลากจูงจิต ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็ถือว่าไปสู่การเบาบาง
สู่การเบาบางคือเห็นเส้นทาง เห็นการไปการมา เห็นการเริ่มต้น แล้วก็เห็นการดับไปของแต่ละอย่าง มันมีเกิดขึ้น ก็มีดับไปนั่นแหละ อันนั้นเราเข้าสู่ด้านใน คือเข้าไปดูจิต เข้าไปดูใจเราเป็น แล้วก็จะไปเกี่ยวข้องกับการเห็นความคิด พวกนี้มันเห็นขึ้นมาจากเกิดของสติ
สติมันรวบรวม ก็จะวนเวียนอยู่ในการดูพวกนี้ มันแสดงอะไรเราก็เห็นหมด วันๆ หนึ่งมันแสดงเป็นหลายๆ ร้อยเรื่อง เราก็เห็น การที่เราเห็นนี้เราก็ต้องมีหลัก มีหลักมีฐานมีที่ตั้ง คือมีความรู้สึกตัวที่ชัดเจน ที่แม่นยำ
หรือที่เป็นความถูกต้อง เป็นความรู้สึกตัวจริงๆ ขณะเรากำลังไหว มันอาจจะเกิดขึ้นได้ ขณะเราทำงาน นั่งเล่นๆ หรือแม้แต่การทำอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่การอาบน้ำ เข้าห้องน้ำอะไรมันเกิดได้ ถอดรองเท้า บิดประตูอะไรพวกนี้ มันเกิดขึ้นมา มันผุดขึ้นมาได้
เขาเรียก มันพร้อมจะเกิด มันเกิดมาเองทั้งหมดโดยธรรมชาติ เหมือนกับพืชต่างๆ เหมือนกับเห็ด เห็ดที่สามารถดันดินขึ้นมาได้เลย ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้แหลมไม่ได้แข็งอะไร แต่มันดันดินให้ดินแตก จนมันโผล่ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นพวกนี้มันเป็นธรรมชาติ
ตัวปรมัตถธรรมก็เหมือนกัน มันก็โผล่ขึ้นมา ผุดขึ้นมา สู่ภายนอกให้เรานำไปใช้ พอมันเกิดขึ้นก็นำไปใช้ต่อยอด ต่อยอดเข้าไปเห็น ศีลขันธ์ สมาธิขัน ปัญญาขัน ขันธ์แปลว่าถี่ ขันธ์แปลว่าหมวดหมู่ ขันธ์แปลว่ากลุ่มก้อน ขันธ์แปลว่ารองรับ
มันจะเห็นว่าหมวดหมู่ของความคิด หมวดหมู่ของอารมณ์ หมวดหมู่ของเหตุปัจจัย ที่มันถึงกัน ขันธ์อายตนะต่างๆ มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ไปถึงกันอย่างไร มันจะเข้าไปเห็นโครงสร้างที่มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็ปฏิบัติ
ทีนี้การปฏิบัติ มันก็จะลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ไปสู่การเห็นปัญญาเลย เห็นญาณของปัญญา ไปสู่อาการเกิดดับ ไปสู่อาการที่มันเข้ามากระทบกระเทือน หรือแทรกแซง หรือมาทำให้เกิดกรรมเกิดวิบากพวกนี้ มันจะตัด เขาเรียกตัดกรรม ตัดวิบาก ตัดวงจร ไม่ให้มันครบวงจร
แต่ก่อนมันครบวงจร มันเข้ามาก็ถึงใจเราเลย เช่น กิเลส ตัณหา อุปทานพวกนี้ มันเกิดขึ้นมันเกิดชนใจเราถึงใจ หรือบางทีมันก็เกิดอยู่ในใจเลย ผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ไหลไปสู่กรรมคือการกระทำ แต่พอเรามาสู่การเป็นปัญญาญาณ ญาณของปัญญาเกิด มันจะตัด
ตัดขาใดขาหนึ่งมันก็ยั้งไม่ถึง มันก็ไม่อยู่ เหมือนกับหลวงพ่อเทียนว่า เราย่างปลามีหิ้งสามขา ที่พวกเราเคยเห็นย่างปลาทำไม้ไผ่สามขาแล้วก็ทำเป็นตะแกรง เอาไม้ไผ่ไปสานเป็นตาแล้วก็เอาปลาไปวาง ถ้าเราตัดขาหนึ่งออก สองขามันยั้งไม่อยู่ มันก็จะล้ม
ฉะนั้นตัวที่มันเข้าไปถึงใจเรา ไปปรุงแต่งเป็นกิเลส เป็นตัณหา เป็นอุปทาน มันต้องถึงกัน อายตนะมันถึงกัน มันเข้าไปสู่ความคิด ปรุงแต่งไปด้วยกัน เขาเรียกว่าพัวพัน หรือว่าลากจูงจิตเราทั้งวันเลย เพราะมันถึงจิตเราเสมอ
นอกจากว่า เราจะเกิดตัวปัญญา ปัญญาญาณไม่ใช่ปัญญาธรรมดา คือมันจะทำให้เกิดขาใดขาหนึ่งไม่ต่อกัน มันหลุดออกจากกัน มันก็จะยั้งไม่อยู่ มันก็จะไม่ไปชนที่จิตเรา ไม่ไปสู่การกระทำ หรือการสลายไปตามเหตุ
เพราะฉะนั้นเราก็จะได้ปฏิบัติกัน ตามเส้นทางธรรม เส้นทางธรรมที่หลวงปู่เทียนท่านวางเอาไว้ เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ปัญญาญาณได้.