PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • ฝึกจนพร้อมใช้งาน
ฝึกจนพร้อมใช้งาน รูปภาพ 1
  • Title
    ฝึกจนพร้อมใช้งาน
  • เสียง
  • 14052 ฝึกจนพร้อมใช้งาน /aj-kammai/2025-08-15-13-11-22.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพฤหัสบดี, 19 มิถุนายน 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ บ้านติ้ว ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ฝึกจนพร้อมใช้งาน

    เรื่องของการปฏิบัติ เรียกว่าเป็นการประกอบ เป็นการเสริม เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจในการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ทำความเห็นหรือว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ

    คำว่าเห็นชอบคือเห็นสิ่งที่ถูกต้อง คือเห็นสิ่งที่เป็นทางในความเป็นธรรม ในความยุติธรรมในความเป็นธรรม ก็มีได้ที่การปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติทำให้เกิดความยุติธรรมหรือความเป็นธรรม

    เพราะว่าเราปฏิบัติแล้ว มันจะให้ผลต่อชีวิตจิตใจของเรา ท่านเรียกว่า เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ เมื่อเราปฏิบัติแล้วก็ย่อมได้รับผล ทีนี้การปฏิบัติธรรมเราก็ต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง หรือที่อยู่ในเส้นทางของธรรม

    ถ้าเราทำในทางที่ถูกมันก็จะให้ผลที่ถูก เป็นผลต่อชีวิตจิตใจของเรา ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนอยู่ที่ไหน ก็จะมีธรรมะไปด้วย ติดตัวติดใจติดในชีวิตเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง จึงเรียกว่าธรรมะที่เราปฏิบัติ เข้าถึงจิตถึงใจ เข้าถึงชีวิตจิตใจของเรา คือเป็นธรรมะภาคปฏิบัติ

    ธรรมะที่เป็นธรรมะภาคปฏิบัติคือ การลงมือปฏิบัติ หรือการที่เรานำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราก็เลยทำได้ทุกเวลา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติหรือทำได้ เพราะมันเป็นวิธีการที่เข้าได้กับชีวิต หรือเป็นไปกับชีวิตเรา มันเป็นเรื่องของชีวิต เป็นเรื่องของสติ

    เพราะฉะนั้น สตินี้จึงไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ เราทำที่ไหนเราก็รู้ที่นั่น เราทำเมื่อไรเราก็รู้ได้ เรียกว่ามันมีผลในภาคปฏิบัติ คำว่าภาคปฏิบัติคือ เราเอากายเอาใจเราไปเกี่ยวข้องกับสติ

    คือถ้าเราไม่นำมาปฏิบัติ สติมันก็จะเป็นแค่ชื่อ หรือแค่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ท่านก็เรียกว่าแบบ รู้จำ รู้จัก มันเหมือนกับว่า รู้แล้วแต่มันไม่มาเกี่ยวข้องอะไรมากในชีวิต คือเหมือนกับว่าเรานำมาใช้ มันก็ยังไม่เพียงพอหรือยังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นเรา ต้องไปต่อ ไปจุ่ม หรือไปสัมผัสเอา จึงเรียกว่าภาคปฏิบัติ

    ภาคปฏิบัตินี้คือ เกี่ยวข้องกับการติดต่อกันแบบสัมผัส แบบสัมผัสรู้หรือแบบการลงสนาม ท่านเรียกว่าภาคปฏิบัติ เรียกว่าต้องมีครบในส่วนที่เราเรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    ปริยัติก็คือการที่เราได้ยินได้ฟังได้ข้อมูล ปฏิบัติก็คือเมื่อเราได้ฟังเข้าใจแล้ว หรือเราก็นำมาปฏิบัติ นำมาทดสอบ นำมาใช้ นำมาทำให้มี ทำให้เป็น เป็นลักษณะที่เรียกว่า นำสิ่งที่เรารู้จำ รู้จัก มาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง รู้จริง

    เพราะฉะนั้นปฏิวัติปฏิบัติปฏิรูป เป็นลักษณะของการปรับปรุงแก้ไข เป็นลักษณะของการที่เราไม่ทำตามอารมณ์ ไม่ทำตามกระแส ก็เลยเรียกว่าปฏิบัติ

    ปฏิ แปลว่าตอบโต้หรือแปลว่าโต้ตอบ แปลว่าไม่ไหลไปตามอารมณ์ ถ้าตามอารมณ์คือ อยากทำก็ทำ อยากพูดก็พูด อยากไปก็ไป อยากเหมือนกับว่ามันไปตามกระแส ถ้าความคิดหรืออารมณ์ลากจูงไป ก็ไป ความคิดอารมณ์นำพาไป ก็ไป

    แต่ในการปฏิบัตินี้ ต้องมามีตัวกลาง เป็นตัวปรับ เป็นตัวดูก่อน ว่าถูกต้องไหม เป็นธรรมไหม เป็นลักษณะต้องผ่านกลั่นกรอง ผ่านวิธีกรองให้ถูกต้อง หรือให้เป็นธรรม เราถึงไปกับสิ่งนั้นหรือเราถึงกระทำสิ่งนั้นเราถึงเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นการที่เราจะผ่านตัวกลางได้เขาเรียกว่า เป็นสติ

    สติ จะมาเป็นตัวกลาง เป็นตัวประสาน หรือเป็นตัวกั้น หรือเป็นตัวไม่ทำให้เราไปตามอารมณ์ เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติ ต้องมีสติมาเป็นตัวกลาง ถ้าไม่มีสติเป็นตัวกลาง มันก็ไหลไปกับสิ่งต่างๆ โดยไม่มีตัวกลั่นกรอง โดยไม่มีตัวกั้น ต่อไปแล้วบางทีคิดได้ทีหลังหรือค่อยมารู้ทีหลัง ว่าเราทำไปมันถูกหรือมันผิด

    แต่ถ้าไปเป็นลักษณะของสติ มันจะเป็นการกลั่นกรอง มีลักษณะของการที่เราปฏิบัติได้ข้อมูล พอเราได้ข้อมูลแล้ว เราก็จะเหมือนศึกษา จากสภาวะธรรมที่มันเป็นธรรม แล้วเราก็จะนำไปสู่การกระทำ ไปสู่ภาคปฏิบัติ

    เวลาเราจะไปจะมา จะลุก จะนั่ง จะเดิน หรือจะเกี่ยวข้องกับกิจการงานต่างๆ ก็จะเป็นลักษณะของความรอบคอบ หรือของความไม่พลั้งเผลอ หรือของการกระทำที่เรียกว่า เป็นธรรม

    เป็นธรรมคือ ทำแล้วก็เป็นผลในส่วนที่ดี คือความยุติธรรม หรือมีความเป็นธรรม เขาเรียกว่ามีกรรม กรรมแปลว่ากระทำ แล้วก็มีผล ผลเขาเรียกวิบากกรรม คือผลที่ตาม

    แต่ถ้าเป็นภาคการปฏิบัติธรรม เกี่ยวข้องกับสติ เราจะไม่ไปลังเลในวิบาก คือเราทำแล้วมันจบ มันสบายใจ มันไม่สะสม เป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจของเราหนัก จิตใจของเราติดขัด เขาเรียกทำแล้วก็สบาย ทำแล้วก็ไม่ติดขัดไม่คาค้าง คือไม่ไปก่อสร้างอุปนิสัยที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก็เลยกลายเป็นการชำระจิต

    เป็นการชำระจิตชำระใจให้ขาวรอบ ท่านเรียกว่า “เอตัง พุทธานะสาสะนัง” เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คำว่าไม่เบียดเบียนตนเองหมายถึง กายก็ไม่เบียดเบียนใจ ใจก็ไม่เบียดเบียนกาย

    คือมันเป็นไปเพื่อความถูกต้อง เป็นไปเพื่อความไม่มีปัญหา เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติตามทำนองคลองธรรม หรือตามเส้นทางของการที่เราจะนำไปปรับใช้กับชีวิตเรา การที่เราจะนำไปปรับใช้ได้ เราก็ต้องฝึก

    ท่านเรียกว่าฝึก จนเรียกว่าได้เข้าใจ ได้เข้าถึง แล้วเวลาเราไปใช้มันก็เหมือนกับ เราทำแล้วมันเข้าถึงใจเราแล้ว หรือมันเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดเรา แล้วเวลาเราจะใช้ก็ใช้ได้เลย เหมือนกับเราขับรถเป็น เหมือนกับเราขี่จักรยานเป็น เหมือนกับเราทำงานเป็น เวลาเราจะทำเราก็ทำได้เลย เพราะมันเป็นแล้ว

    เพราะฉะนั้นในการปฏิบัตินี้ ท่านเรียกว่าทำ ทำให้มันเป็น คือทำให้มันเป็นในสิ่งที่เราเรียกว่า สติ ให้เป็น ไม่ใช่ให้รู้ แค่รู้ก็คือ รู้จัก รู้จำ อันนี้ได้ฟังก็จำได้

    แต่ถ้าให้มันเป็นนี้คือ มันแนบแน่น ไปเกี่ยวข้องกับจิตกับใจ กับภายใน กับความรู้สึกนึกคิดของเรา ก็จะเรียกว่า เวลาเราจะใช้ บางทีเราไม่มีเวลาที่จะมาคิดแยกแยะ คือเห็นปุ๊บเราก็ทำ เราก็เกี่ยวข้อง เราก็ใช้ มันจะเป็น

    ถ้าฝึกให้มันเป็นแล้ว มันก็จะพร้อมใช้งาน เราไปที่ไหน เราจะพูดอย่างนี้ จะมีสติตัวนี้ไว สติตัวที่เราฝึก ไม่ใช่ไปนึกคิด หรือแค่ไปเรียกว่าไปทบทวนไปแยกแยะ เวลาเราจะทำจะพูดจะคิด ไม่มีเวลาจะไปแยกแยะ คือได้ยินก็ทำ ได้ยินก็ตอบ

    เหมือนกับเราจะทำเราก็ทำทันที เหมือนกับเราขับรถมีอะไรตัดหน้าเราก็เบรค เบรคโดยที่เรายังไม่ได้คิด แต่ว่ามันไว มันตัดหน้าเราไวแล้วเท้าเราก็ไว เพราะมันเป็นแล้ว เห็นปุ๊บก็เหยียบเบรคปั๊บเลย เขาเรียกว่าเป็นลักษณะที่มันเป็น ไม่ใช่ไปคิดก่อน มันไม่ทัน

    ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม เราก็เลยทำให้มันเป็น การที่มันจะเป็นได้ก็คือ ต้องมีการปฏิบัติ เวลาสงบเราก็ฝึก เวลาศึกเราก็รบ

    คำว่าเวลาสงบเราฝึกก็คือ เวลาที่เราดำเนินชีวิตแบบไม่มีอะไรกระทบกระเทือน ก็ดำเนินชีวิตลุกยืนเดินนั่งนอนในความเป็นอยู่ตามปกติ เราก็ฝึกไปด้วย แต่เวลาเราไปเผชิญกับสิ่งที่เฉพาะหน้า เราก็จะได้ใช้ หรือได้นำมาใช้ เขาเรียกว่าเวลาศึกเราก็รบ

    เวลาเราเผชิญกับอะไร เหมือนกับเป็นศึกเป็นสงครามด้านใน สงครามด้านจิตใจ เราจะตัดสินใจ เราจะใช้คำพูด หรือเราจะแสดงออกอะไรพวกนี้ มันเป็นลักษณะ เราต้องใช้สติที่เราฝึกมาแล้ว ไม่ใช่จะไปนึกคิดเอา ถ้าคนไม่เคยฝึก เวลาเจอแล้วก็จะเหมือนกับมันมาไม่ทัน

    มันมาไม่ทันมันก็เลย ทำไปแล้ว พูดไปแล้ว หรือคิดไปแล้ว มันก็จะตามรู้ทีหลัง หรือตามไปแก้ ตามไปเสียใจ ตามไปทำให้เกิดใจขุ่นมัวเศร้าหมองทีหลังอะไร เหมือนกับว่ามันยั้งใจไม่อยู่ มันไม่มีตัวเขาเรียกว่ามันมาไม่พร้อมกัน

    ฉะนั้นในการปฏิบัตินี้เราต้องการ ความเป็น หรือต้องการความรวดเร็ว หรือให้มันแนบแน่นอยู่กับชีวิตเรา พอไปไหนก็ให้มันไปด้วย

    ทีนี้ธรรมชาติของการฝึกสติ มันก็เข้ากันได้ เข้ากันได้เหมือนน้ำกับน้ำ เขาเรียกว่าเข้ากันได้ เหมือนน้ำกับนม เหมือนน้ำกับสิ่งที่มันเป็นเนื้อเดียวกันได้ ไม่เหมือนน้ำกับน้ำมัน ถ้าน้ำกับน้ำมันมันนี้มันไม่เข้ากัน ถึงจะอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เข้ากัน มันแยกกันอยู่

    ฉะนั้นสติกับชีวิตจิตใจของเรามันเข้ากันได้ มันจะเป็นเนื้อเดียวกันได้ เราจึงต้องมีการฝึก การฝึกของเราคือ ฝึกมาที่ความเป็นปัจจุบัน ขณะเราเคลื่อนไหว ขณะที่เรามีลมหายใจ ขณะที่เรากำลังลุกยืนเดิน ขณะที่เรากำลังหยิบจับ ขณะที่เรามีอิริยาบทต่างๆ นี้แหละ เพียงแต่ว่าเราฝึกจากรูปแบบจากวิธีการ

    พอเราฝึกจนพอเราสัมผัส หรือเราเข้าใจแล้ว เวลาเราเอาไปใช้กับงานกับการเป็นอยู่นอกรูปแบบ เช่นเราทำงาน เช่นเราหยิบจับสิ่งของ เช่นเราเขียนหนังสือ เช่นเราลุกยืนเดิน พวกนี้ก็จะเป็นไปพร้อมกับการเคลื่อนไหว หรือก็จะมาทันกับการเคลื่อนไหว กับอิริยาบถ กับการทำงาน

    ทีนี้การทำงาน เราก็จะได้ดูใจเราไปด้วย บางทีเรามีตัวสติเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจของเรา ว่าเราทำอะไรไป ก็จะมีตัวสติมาดูใจเรา ใจฟูใจแฟบ หรือใจยินดียินร้าย คือเราจะกลับแก้ได้ทัน เรียกว่าเป็นลักษณะที่มาทันกับการกระทำ การพูด การคิด

    สติจะเป็นลักษณะ แนบแน่นอยู่กับกายอยู่กับใจ คืออยู่ภายในแล้ว เขาเรียกว่ามีพร้อมจะใช้ พร้อมเหมือนกับเราไฟไหม้เราก็มีน้ำอยู่เราดับได้ เรามีเครื่องดับเพลิงแล้วก็ดับได้ ไม่ใช่ไฟไหม้แล้วเราค่อยวิ่งหาน้ำ มันก็ไม่ทัน กว่าจะไปตักน้ำมา ก็ไหม้ไปเยอะแล้วเสียหายแล้ว

    เขาจึงเรียกว่า ตัดไฟแต่ต้นลม หรือมีพร้อมที่จะนำมาใช้ทันที อันนี้คืออานิสงส์ของการฝึก อานิสงส์ของการปฏิบัติเจริญสติ จะเป็นลักษณะที่เรานำไปอยู่กับภายใน

    เหมือนกับว่าแต่ก่อนเราได้ยินแต่ว่า ชื่ออย่างนี้ลักษณะอย่างนี้เป็นหัวข้อธรรม หรือเป็นความรู้จำรู้จัก ใครพูดหรือส่วนมากเราก็ได้ยินอยู่แล้วอย่างนี้ เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ เรื่องสติ สมาธิ ปัญญา เรื่องความที่จะระงับยับยั้งพวกนี้ มันได้ยินอยู่แล้ว

    แต่เวลามันเกิด เราไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหน ไม่รู้จะไปแก้ไขตรงไหน มันถึงจะตรงประเด็น หรือถึงจะแก้ไขแบบฉับพลัน แบบที่มันจะเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าเราไม่ฝึกก่อน แล้วเวลาจะใช้มันก็จะมองหรือหายังไม่เจอ หรือไม่ทันเวลา

    แต่ถ้าเราได้ฝึกแล้ว ไปไหนมาไหนมันก็ไปกับเรา มันก็พร้อมที่จะให้เราได้ใช้ พร้อมที่จะให้เราได้รับอานิสงส์ ท่านจึงเรียกว่า อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม ท่านเรียกว่าบุญใหญ่เลย บุญวิปัสสนา

    ท่านเรียกว่า ยากอะไรไม่ยากเท่าปฏิสังขรณ์ ถอนอะไรไม่ยากเท่าถอนมานะ ละอะไรไม่ละยากเท่าละกามคุณ บุญอะไรก็ไม่ใหญ่เท่าบุญวิปัสสนา หาอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่าหาตัวเรา หรือหาสติ โบราณท่านพูดเอาไว้ ก็เป็นลักษณะนั้น

    ยาก ในการที่จะปฏิสังขรณ์ ก็คือสิ่งนั้นมันมีอยู่ในตัวเราแล้ว ตัวที่ใจเรามีอยู่แล้ว เราจะมาปฏิสังขรณ์คือมาซ่อมแซมแก้ไข บางทีมันยาก เพราะมันติด มันใช้มานาน ก็เลยกลายเป็นความคุ้นเคย เราจะไปปรับปรุงไปแก้ไข ก็ยาก

    แต่เราอาศัยสติ ที่มันเป็นทาง เขาเรียกมาถูกทาง สติจะเข้ากันได้ มันก็จะแนบแน่นไปกับการกระทำ การพูด การคิดทุกเวลา ถ้ามันเป็นอัตโนมัติมันจะเป็นอย่างนั้น

    เวลาเราจะทำ จะพูด จะคิด สติมันจ่อ อยู่กับการเคลื่อนไหว อยู่กับอิริยาบถ อยู่กับการทำ การพูด การคิดแล้ว มันมีพร้อม ท่านจึงเรียกว่า เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ เป็นทั้งอรรถะ เป็นทั้งพยัญชนะ เป็นทั้งวิชาการ เป็นทั้งภาคปฏิบัติอยู่ในตัวเอง.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service