แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
วันที่หลวงพ่อเทียนรู้แจ้งสัจธรรม
เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2568 เป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 เป็นวันเมื่ออดีตที่หลวงปู่เพียรท่านไปปฏิบัติ ปี 2500 ก็เป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ท่านได้ประจักษ์แจ้งสัจธรรม ตั้งแต่เช้าที่ท่านมาทำความเพียรเดินจงกรม
สร้างจังหวะเดินจงกรม ที่ว่าเห็นตะขาบวิ่งผ่านทาง ท่านก็เอาเทียนไขที่จุดอยู่ตามดูว่ามันไปตรงไหน มันก็วิ่งๆ วิ่งเฉียงๆ ทาง มันก็วิ่งพ้นจากทางไป ท่านก็เอาเทียนมาปลักไว้ที่เดิม แล้วก็ทำการปฏิบัติเจริญสติ ก็เลยทำให้ได้ประจักษ์แจ้ง
ที่ปฏิบัติมาแล้ว 2-3 วันนั่นแหละ ตั้งแต่ 8 ค่ำ 9 ค่ำ 10 ค่ำ มาเพิ่มเติม เป็นเกิดญาณปัญญา เกิดเป็นการประจักษ์แจ้ง เห็นอาการเกิดดับ เป็นการที่เรียกว่า ออกจากทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง คือทำให้จิตใจเป็นการประจักษ์อยู่ในสัจธรรม
ซึ่งท่านพูดถึงหลักของการปฏิบัติเอาไว้โดยละเอียด ว่าตั้งแต่วัน 8 ค่ำ 9 ค่ำ 10 ค่ำ 11 ค่ำ แล้วท่านก็ว่า มันเกิดแล้วมันก็ไม่หลงไม่ลืม มันก็อยู่กับชีวิต แต่ท่านก็อยู่จำพรรษา คือวันที่ 11 ค่ำ ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว
อย่างปีนี้ก็เหมือนกัน วันที่ 11 ค่ำ แล้ววันเข้าพรรษาหรือวัน 15 ค่ำหรือวันที่ 10 ที่จะถึงนี้ อีก 3 วันก็จะเป็นวันที่ 10 วันที่ 11 ก็จะเป็นวันเข้าพรรษา เพราะฉะนั้นท่านก็อยู่จำพรรษาจนตลอดพรรษาเมื่อปี 2500 อยู่เป็นฆราวาส อยู่เพื่อเป็นหมู่เป็นคณะพากันปฏิบัติ ซึ่งการที่ท่านได้เข้าใจ ได้รู้แจ้งในตรงนี้
หลังจากออกพรรษาแล้วท่านก็นำมาเผยแผ่ นำมาบอกกล่าวกับญาติพี่น้อง บอกกล่าวกับบุคคลทั่วไป จนแผ่ขยายจากเมืองเลยจากอำเภอเชียงคาน จากบ้านบุฮมมาสู่อำเภอเชียงคาน สู่อำเภอก็สู่จังหวัดเลย จากจังหวัดเลยก็ไปต่างจังหวัด ไปที่ชัยภูมิ ขอนแก่น
ขยายไปเข้ากรุงเทพฯ ปี 2518 ท่านได้ไปอยู่วัดชลประทาน ได้เผยแผ่ที่กรุงเทพฯ แล้วก็เลยได้มีสำนักปฏิบัติอยู่ที่กรุงเทพฯ คือวัดสนามใน ปี 2520, 2521 ท่านอยู่วัดสนามใน จนวาระสุดท้ายก็เลยมามรณภาพที่วัดทับขวัญ ปี 2531
เพราะฉะนั้นเราก็เลยได้มาปฏิบัติ เพื่อเดินตามรอย เพื่อบูชาคุณธรรมะอันประเสริฐ หรือธรรมะที่เป็นการประจักษ์ในสัจธรรมนี้ ให้เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งการปฏิบัติก็คือการที่เจริญสติ
หลวงปู่เทียนท่านแนะนำ เรื่องการเจริญสติ หรือความรู้สึกตัวนี้มีความสำคัญ ที่จะนำทาง ที่จะนำไปสู่การเกิดปัญญาญาณ เหมือนเป็นยานขนส่ง
จนตั้งชื่อวัด วัดที่ท่านมาตั้งสำนักปฏิบัติอยู่เมืองเลย วัดแรกชื่อวัดป่าพุทธยาน วัดป่าพุทธยานก็อยู่ตรงราชภัฏเลยตอนนี้ แต่ก่อนยังไม่มีราชภัฏ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ก็ไปตั้งสำนักเป็นที่ปฏิบัติธรรม ท่านอยู่วัดป่าพุทธยานปี 2509, 2510, 2511, 2512, 2513 ก็ 5 ปี อยู่ตรงนี้
แล้วค่อยไปอยู่วัดโมกข์ ขอนแก่น 2514, 2515, 2516 ขยายไปอยู่ที่วัดโมกขวนาราม อำเภอเมือง ขอนแก่น จนถึง 2518, 2519 ขยายไปสู่ที่กรุงเทพฯ วัดชลประทาน ขยายไปสู่วัดสนามใน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
เพราะฉะนั้นวัดแรก คือวัดป่าพุทธยาน
ญาณ ณ เป็นยานขนส่ง ถ้าปัญญาญาณในตัวธรรม ก็จะเป็นยาน น เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นยานขนส่ง เหมือนกับพุทธยาน ขนส่งพุทธะด้วยยานขนส่ง ก็คือสติ
เพราะฉะนั้นก็ได้เป็นคณะลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ที่นำไปเผยแผ่ให้ธรรมะขยาย ก็คือหลวงพ่อบุญธรรม หลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อทอง หลวงพ่อมหาบัวทอง หลวงพ่อสมหมาย ที่ท่านได้ขยายไปเป็นสถานที่ปฏิบัติ
ที่สุคะโตก็หลวงพ่อคำเขียน ที่วัดสนามในก็หลวงพ่อทอง ที่อำเภอแก้งคร้อบ้านหนองแกก็หลวงพ่อบุญธรรม ที่บ้านโคกสูงอำเภอแก้งคร้อก็หลวงพ่อสมหมาย เดี๋ยวนี้ก็เหลือแต่หลวงพ่อสมหมายที่ท่านยังอยู่ นอกนั้นก็มรณะ
ซึ่งก็เป็นการขยายไปสู่ต่างประเทศ ก็มีท่านอาจารย์ดา อยู่ที่อเมกา แล้วก็ท่านมหาอภัย อยู่ที่อเมริกา เพราะฉะนั้นเป็นการขยายไปต่างประเทศอีกหลายประเทศ
เราก็เลยมาเดินตามรอย มาปฏิบัติกัน เป็นการรำลึก เป็นการบูชา เป็นการนำธรรมะภาคปฏิบัติมาสู่ใจเรา เพราะว่าการที่เรามาปฏิบัติเจริญสติ การเจริญสติแปลว่าทำให้มีสติ สติก็คือความรู้สึกตัว
หลวงปู่เทียนท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า การเจริญสติเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นคนจริงก็ต้องรู้ของจริง ก็เลยเป็นการได้นำมาให้พวกเราได้ปฏิบัติ พวกเราปฏิบัติกันทุกวัน เพราะว่าวิธีการแบบการเจริญสติเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก
เป็นวิธีของการเคลื่อนไหว แล้วรู้สึกตัว เป็นลักษณะ กายเคลื่อนไหว แล้วก็ให้ใจรู้สึกอยู่ที่กาย เหมือนกับว่าเติมความรู้สึกเข้าไปสู่ใจของเรา เติมเข้าไป เติมเข้าไป เหมือนกับว่ารู้บ่อยๆ ภาวนาแปลว่าการขยันรู้
ฉะนั้นถ้าเรารู้บ่อยๆ สติก็จะเพิ่มมากขึ้น เหมือนบวกกับลบ หลวงพ่อเทียนว่า อันนี้เพิ่ม อันนั้นก็ต้องลด อันนี้เพิ่มขึ้น ตัวที่เป็นทิฐฐิมานะ ตัวที่เป็นความคิดอุปทานพวกนี้ มันก็จะลดไปๆ ตัวรู้สึกหรือตัวพุทธะ พุทธะแปลว่ารู้ตื่น รู้ตื่นเบิกบานในธรรม ก็จะเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้นๆ จากปริมาณที่เรากำหนดรู้เข้าไป บ่อยๆ เข้า จากรู้แบบ รู้จำ รู้จัก ก็จะไปสู่การ รู้แจ้ง รู้จริง แล้วก็ไปสู่การเกิดปัญญาญาณ คือญาณของปัญญาเกิดขึ้น
จะเป็นลักษณะที่ทำให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่เข้ามาสู่จิตเรา มาทางอายตนะก็ดี หรือมาทางผัสสะ หรือมาทางความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็ดี ก็จะเป็นลักษณะ เข้ามาแล้วก็มาเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจ ถ้าตัวปัญญาญาณเกิด ก็จะเห็นตัวที่เข้ามา แต่ละขณะแต่ละชนิด ซึ่งเราก็แยกแยะโดยอัตโนมัติ
เหมือนกับว่าปัญญาญาณแยกแยะให้ มันสามารถที่จะรู้ว่า อันไหนเป็นทางไปสู่ความสว่าง สะอาด สงบ อันไหนที่จะไปสู่ทางของความเศร้าหมอง ความขุ่นมัว ความขัดสน ความไม่สงบ พวกนี้มันก็จะแยกโดยอัตโนมัติ เพราะปัญญาญาณมันเป็นตัวแยก มันเป็นตัวที่จะไปตัด ตัวที่จะไปเสริม หรือไปตั้งอยู่บนฐานที่เป็นกายเป็นจิต
เราก็จะอยู่กับการมีปัญญา เห็นประจักษ์ สิ่งที่เป็นการเกิดการดับ ของจิต ของอารมณ์ ของความคิด ของสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับกายกับจิตของเรา ซึ่งถือว่าไปสู่ขั้นสูงสุดของการที่เรามีชีวิต ของการที่เราเข้าสู่กระแส เขาเรียกว่า เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน
พระนิพพานแปลว่า ไร้สิ่งเสียดแทง ในตำราเขาบอกว่า แปลว่าสงบเย็น แปลว่าไร้สิ่งเสียดแทง ฉะนั้นสิ่งที่จะเข้ามาเสียดแทงหรือทิ่มแทงจิต เรารู้แจ้งประจักษ์ เราเห็น เราก็เป็นลักษณะไม่ให้มีสิ่งที่มาทิ่มแทงจิตได้ ก็เป็นนิพพาน
ฉะนั้นคำว่าพระนิพพานแปลว่า ความไม่มีทุกข์ คนที่มีทุกข์ ยังมีความโกรธหงุดหงิด เขาเรียกว่าจิตใจก็ยังขุ่นมัว ยังเศร้าหมอง ยังอยู่ในวัฏฏะ วัฏฏะวนคือวนเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเป็นกับอารมณ์ เป็นกับความคิดไป
แต่ว่าตัวสติจะเป็นตัวไถ่ถอน ตัวสติจะเป็นยานขนส่ง ไปสู่ตัวปัญญาญาณ จิตที่จะทำให้หลุดออกไปจากสิ่งที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ต้องมีปัญญาญาณเกิด
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมของเรา ก็มีหน้าที่ในการเติม เติมสติ เติมความรู้สึก ในช่วงที่เราเติมสติ เติมความรู้สึก มันก็จะจัดสรรสิ่งที่เป็นส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนที่เป็นภายนอก ส่วนที่เป็นสมมุติ ส่วนที่เป็นด้านภายในความรู้สึกนึกคิด มันจะจัดสรร ท่านเลยเรียกว่า ธรรมะจัดสรร
เป็นไปเพื่อความรู้ ความเป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ ซึ่งเป็นการขนส่งไปสู่การเกิดปัญญา ที่จะมองเห็นจิตใจความคิดได้โดยละเอียด จนสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ไม่ไปติดไปข้อง ไปทำให้เป็นการครอบงำจิตเราได้ ก็คือไม่มีสิ่งมาทิ่มแทงจิต
ฉะนั้นตัวปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติ จะไปสู่ปัญญาขั้นละเอียด คือขั้นที่เรียกว่า เป็นญาณของปัญญา ที่เกิดขึ้นแล้วเราก็เห็นประจักษ์แจ้งในสิ่งนั้น ก็เอาออกหรือหลุดออกไปหรือกระเด็นออกไปโดยความเป็นสัจธรรม เพราะธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งที่เรียกว่าประภัสสร
แม้แต่ในอาคันตุกะหลักภาษาท่านก็ว่า จิตเดิมแท้ประภัสสร แต่เศร้าหมองแล้ว เพราะมีอุปกิเลส มีอาคันตุกะเป็นผู้จรเข้ามา ทำให้จิตเราขุ่นมัวเศร้าหมอง แต่จิตเดิมผ่องใส ยังไม่มีอะไรมาบดมาบัง ก็จะมีความสะอาด สว่าง สงบ ผ่องใส อยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการที่เรามาปฏิบัติ ก็จะเกิดตัวสตินี่แหละ ไปหยั่งรู้ หยั่งรู้ในการที่จะมองเห็นด้านใน ตั้งแต่เห็นความคิด เห็นปรมัตถ์ เห็นวัตถุ เห็นอาการ จะเริ่มมองด้านในออกเลย มองใจของเราออกว่า อารมณ์ขุ่นมัวเศร้าหมองเข้ามา เราก็จะเริ่มเห็น ตัวที่มันเป็นโลภะโทสะโมหะเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็จะเริ่มเห็น
แล้วการที่เราเห็นด้านใน จะเป็นเหมือนการทำงานด้านจิต การทำงานด้านใน หรือการบำเพ็ญเพียรทางจิต ไปไหนมาไหนมันก็จะเป็นเหมือนว่า มีการเฝ้าดู สังเกตสภาวะอาการนั้นได้ตลอด ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้หรือไปที่ไหนก็แล้วแต่ ทำการทำงาน พอมันชำนาญเข้ามันก็จะเป็นอัตโนมัติ คือมันอยู่อย่างนั้นตลอด
เหมือนกับทำงานก็ไม่เสียความเป็นปกติ ถูกกระทบหรือไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสถานการณ์เหตุการณ์ต่างๆ มันก็จะทรงความเป็นปกติเอาไว้ เหมือนกับจิตเดิมยังอยู่ ยังไม่มีอะไรมาครอบ ยังไม่มีอะไรมาลากจูง ถึงแม้ว่าเรายังไม่ชำนาญมันก็ค่อยๆ ปรับแก้ ปรับไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เราเห็นความคิด เห็นปรมัตถ์ ตือเข้าสู่ด้านในเลย
หลวงปู่เทียนท่านว่า เหมือนกับเราไปรำวง รำวงที่เขาจัดตามงานแถวชนบทจะมีรำวง รอบแรกเป็นรอบปฐมฤกษ์ เป็นรอบเหมือนเปิดฟอร์มรำวง เขาจะให้รำฟรี คือยังเป็นรอบรูปนาม เป็นรอบพื้นฐาน พอไปสู่รอบต้องซื้อบัตร ก็ต้องเป็นลักษณะเข้าไปสู่ การเข้าสู่ปรมัตถ์ เหมือนกับถ้าไม่ซื้อบัตรถ้าไม่มีบัตรก็เข้าไปรำวงไม่ได้
เพราะฉะนั้นตรงที่เราเข้าไปเห็นความคิด เห็นปรมัตถ์ เริ่มเข้าสู่วงใน คือไปเกี่ยวข้องในวงในแล้ว อะไรเกิดอะไรคิดนึกปรุงแต่ง พวกนี้จะเป็นลักษณะไปผสม กับใจ กับความคิด กับอารมณ์พวกนี้
ตั้งแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านเรียกว่า เป็นวงในแล้ว เป็นลักษณะที่มัน จะเห็น หลวงปู่เทียนว่า เป็นเหมือนขันธ์ ขันแปลว่าถี่ ขันแปลว่ารองรับ คือ เห็นบ่อยๆ เห็นมันถี่ เห็นบ่อยๆ เข้า
ท่านเคยได้รับข้อมูลจากชาวบ้านสมัยท่านเป็นฆราวาส ท่านว่าฟืม ฟืมที่ไปทอผ้าเขาก็เรียกว่าขัน คนอีสานแต่ก่อนยังไม่มีผ้าทอมาจากโรงงาน เขาใช้มือทำ เขาเรียกฟืม จะเป็นลักษณะเอาด้ายสอดเข้าไปแล้วก็มีฟืนดึง ฟืม 40 ฟีม 20 ฟีม 30 มันจะถี่ ถ้าฟีม 40 นี้เขาเรียกขันมันถี่ มันจะเรียกว่าเป็นผ้าที่ถี่ที่หนา ถ้าผ้าโสร่งผ้าทำด้วยฟืม 40 ห่อน้ำแทบจะไม่หยด
ฉะนั้นท่านมาปฏิบัติ ท่านมาเข้าใจเรื่อง ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ ท่านเลยว่า โอ้..แปลว่าถี่ แปลว่ารองรับ ถ้าขันดีเอาไปตักน้ำเอาไปตักใส่ข้าวทานอาหารใส่อาหารทานก็ได้ แต่ถ้าขันมันแตกมันรั่วก็ใช้ไม่ได้
ฉะนั้นการที่เรียกว่า เป็นศีลขันธ์ เป็นสมาธิขัน มันจะเห็นจิตใจเรา ถี่ขึ้นๆ เห็นความรู้สึกตัว เห็นสติ มันถี่ ถี่จนเรียกว่ามันรั่วออกน้อย หรือจะเป็นลักษณะที่เรียกว่า มันจะเพิ่มเติมให้เราอยู่เสมอ เหมือนกับเนื้อมันในมัน เราทำไปตามหน้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน แต่ตัวรู้สึก หรือตัวสติ มันก็จะเพิ่มขึ้นให้เรา
ซึ่งต่อไป จิตใจเราจะไม่ทุกข์ใจ จะไม่ลังเล จะไม่เป็นขัดแย้ง จะไม่วุ่นวาย จะรู้จักว่าอันไหนเป็นฝ่ายลบฝ่ายบวก อันไหนที่มาทางฝ่ายที่จะเป็นอกุศล เป็นฝ่ายที่จะทำให้เกิดเขาเรียกว่าอุปทาน การที่เข้าไปยึดติดในจิต มันจะรู้จักสลัดออก หรือรู้จักตัวปลดเปลื้อง รู้จักตัวชำระ มีสติปัญญาญาณเกิด แล้วก็จะลึกเข้า ลึกเข้าไป.