PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • รู้ไปรู้มาก็จบเป็น
รู้ไปรู้มาก็จบเป็น รูปภาพ 1
  • Title
    รู้ไปรู้มาก็จบเป็น
  • เสียง
  • 14050 รู้ไปรู้มาก็จบเป็น /aj-kammai/2025-08-15-12-56-23.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 12 กรกฎาคม 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ บ้านติ้ว ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • รู้ไปรู้มาก็จบเป็น

    เป็นเช้าวันใหม่ วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568 เป็นวันแรม 2 ค่ำเดือน 8 เรามีการปฏิบัติธรรมกัน คือการปฏิบัติธรรมก็คือการกลับมารู้สึกตัว หรือกลับมาที่ความรู้ตัว จะเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คือเป็นสิ่งซึ่งตรงจุดหมาย เป็นสิ่งที่ตรงเป้าหมาย เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา

    เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมเราก็มองหา แสวงหา เหมือนกับว่าหาทาง หาสิ่งที่จะเป็นเครื่องหมาย หาสิ่งที่จะเป็นหลักของการปฏิบัติ หรือเป็นสิ่งที่จะนำทางของการปฏิบัติ ก็มองหาแสวงหากัน ทีนี้ในหลักการของการปฏิบัติ คือการทำความรู้ตัว

    ฉะนั้นถ้าเรากลับมาที่ความรู้ตัวได้เมื่อไร ก็ถูกต้องเมื่อนั้น คือสัมผัส คำว่าต้องก็หมายถึงการสัมผัส เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ทำให้สับสน หรือไม่ทำให้ลังเล หรือไม่ทำให้เราเนิ่นช้า เราต้องกลับมาที่ความรู้ตัว

    แต่คำว่าความรู้ตัวนี้ เราต้องรู้สัมผัส รู้ประจักษ์ รู้แจ้งตามความเป็นจริง เป็นลักษณะรู้พื้นฐาน เป็นลักษณะรู้ง่ายๆ เป็นลักษณะรู้ที่อยู่ใกล้ๆ คือไม่ต้องไปหาไกล ไม่ต้องไปคิดหา ไม่ต้องไปวิ่งหาที่อื่น ไม่ต้องไปลังเล กลับมาที่ความรู้ตัวก็คือถูกต้องแล้ว ใช้ได้แล้ว

    แค่เรากระดิกนิ้วมือ แค่เราคลึงนิ้วมือ แค่เราพลิกมือ เรารู้ตัวแล้วคือจบ คือถูกต้อง คือเป็นธรรม เป็นสิ่งที่จะต่อยอด หรือเป็นสิ่งที่จะเจริญก้าวหน้าในด้านจิตใจ เพราะจิตใจของเรามันไม่อยู่กับความเป็นปัจจุบัน คือความรู้ตัว

    เครื่องหมายของความเป็นปัจจุบัน คือความรู้สึกตัว เป็นเครื่องหมาย ว่าจิตเราอยู่ตรงนี้ จิตเราอยู่กับเป็นกลาง จิตเราอยู่กับปัจจุบัน จิตเราอยู่กับหลักของกรรมฐานหรือของการปฏิบัติ แล้วก็จะเป็นลักษณะที่ทำให้เราไม่เนิ่นช้า เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเราก็ประสบการผ่านมาแล้วหลายปี

    บางคนก็อาจเพิ่งเข้ามา บางคนก็อาจจะปีสองปี บางคนก็อาจจะสิบปียี่สิบปีสามสิบปีก็แล้วแต่ แต่พบว่าใจเราก็ยังคลอนแคลน ยังหวั่นไหว ยังไม่นิ่ง หรือยังไม่สงบ หรือยังไม่เป็นลักษณะที่ปลอดภัย เป็นลักษณะที่ยังต้องมีสิ่งที่ยังขาดแคลนอยู่ ยังไม่สมบูรณ์ เราก็พบว่าเป็นอย่างนั้น

    ทีนี้การมาปฏิบัติธรรมเป็นการเริ่มต้น เริ่มต้นชีวิตใหม่ หลวงพ่อเทียนท่านว่า การมาปฏิบัติธรรมเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราก็ต้องเป็นคนจริง คนจริงคือ ทำจริง พูดจริง ก็ต้องรู้ของจริงจริงๆ เพราะว่าสิ่งที่เป็นจริงต้องเกิดขึ้นจากความเป็นคนจริง เมื่อเราเป็นคนจริงคือ การทำการพูดการเกี่ยวข้องกับของจริง

    เมื่อเราเกี่ยวข้องกับความจริงคือความถูกต้อง แล้วสิ่งที่เราจะได้ก็คือ ได้ของจริง ของจริงที่เป็นสัจธรรม ที่ทำให้จิตใจของเรามั่นคง ทำให้จิตใจของเราหนักแน่น หรือทำให้จิตใจของเราปลอดภัย เรียกว่าขึ้นจากฝั่ง ขึ้นจากการที่อยู่ในวัฏฏะ

    เพราะฉะนั้น ความรู้ตัว จึงเป็นเครื่องหมายของการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ที่ทำให้เราไม่เนิ่นช้า เพราะจากการที่เราได้ปฏิบัติดู อาตมาก็เป็นผู้ปฏิบัติในลักษณะนี้ก็เลยมีประสบการณ์ว่า จากการที่ได้ศึกษาดูแล้ว สิ่งต่างๆ มันไม่ตรงเหมือนความรู้ตัว

    ความรู้สึกตัวนี้ตรงที่สุด แล้วก็ดีที่สุด แล้วก็ทำให้จิตใจของเราได้รับคือได้เหมือนกับเป็นแนวร่วม หรือเป็นส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นการชำระจิตใจของเรา ให้เป็นปกติ

    เพราะฉะนั้นคำว่าปกติ คือจิตใจอยู่กับความเป็นปกติ คือไม่ฟูไม่แฟบ ไม่หลงใหลอะไรมากมาย ถึงจะมีลักษณะที่เป็นธรรมชาติ แต่มันก็ยังเป็นการที่ไม่ไกลจากศูนย์กลาง ไม่ไกลจากหลัก ถือว่าเป็นสัจธรรมในการปฏิบัติ

    คือความรู้ตัว ทำให้จิตใจของเราเปลี่ยนแปลง ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลง คือถ้าจิตใจเปลี่ยนแปลงแล้วชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่หนีไปที่ไหน แต่ก็อยู่กับชีวิตปัจจุบันนี่แหละ

    เพียงแต่ว่ามันเปลี่ยนจากความไปยึด ไปผูก ไปทุกข์ ไปหนัก ไปติดไปข้องอะไรพวกนี้ อะไรที่ทำให้จิตใจไม่ผ่องใส จิตใจขุ่นมัว จิตใจลังเล จิตใจฟุ้งซ่าน พวกนี้มันจะต้องหลุดออกไปจากจิต เพราะเรามีความมั่นใจในความรู้ตัว หรือความรู้สึกตัวปรากฎขึ้น

    ความรู้สึกตัวปรากฏมันแสดงตนขึ้นมา มันจะเป็นหลักให้ชีวิตเรา เหมือนว่าเป็นที่ตั้งเลย ไปไหนมาไหนก็กลับมาตรงนี้เลย เขาเรียกว่า มาเริ่มต้นให้เลย ความรู้ตัวจะเป็นลักษณะ กลับมาเริ่มต้นที่ศูนย์ นับหนึ่งที่ตัวเรา

    นับหนึ่งที่ความเป็นปัจจุบัน นับหนึ่งที่ความเป็นปกติ จะเป็นลักษณะที่เรียกว่าไม่ลังเล และสิ่งที่เคยลังเล หรือสิ่งที่เคยไปเป็นคล้ายๆ กับว่าเป็นภาระ ภาระคือสิ่งที่ติดขัด สิ่งที่ทำให้ใจของเราไม่มั่นคง มันก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนชีวิต หรือเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจเราได้

    เพราะฉะนั้นเราก็อยู่กับหน้าที่ เพียงแต่ว่าใจเราจะเปลี่ยน เพราะมีตัวรู้สึก ตัวสติ เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ที่จะเป็นหลักให้กับชีวิตเรา แล้วความรู้สึกตัวเมื่อเกิดการพัฒนาขึ้น จากที่เราเคลื่อนไหวแล้วเรารู้ตัวบ่อยๆ มันก็จะเข้าไปดูส่วนที่อยู่ด้านในของจิต ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด ส่วนที่เป็นนามธรรม

    รู้ไปรู้มา รู้ไปรู้มา ในที่สุดมันก็จบเป็นเหมือนกัน เหมือนกับว่าถึงที่สุด ถึงที่สุดของการจบ ของการไม่มีทุกข์ ของการไม่เป็นสิ่งที่เป็นภาระให้จิตใจเราต้องติดขัดหนักอกหนักใจ กลุ้มอกกลุ้มใจพวกนี้จะเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นว่า รู้ซื่อๆ อยู่กับการเป็นผู้ดู อยู่กับความเป็นปกติ แล้วก็จะเห็นอาการที่มันเกิดอยู่อย่างนั้น

    อาการที่มันเกิด อาการที่มันดับ อาการที่มันเกี่ยวข้องกับจิตกับใจ กับความเป็นธรรมชาติ จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า ไปไหนมาไหนมันก็จะติดไปด้วยกัน เขาเรียกว่า รู้สึกตัวแบบแน่น คือจะไม่หลงไม่ลืม จะอยู่กับความเป็นฐาน หรือกลับมาที่ตั้งให้เราอยู่เสมอ

    กลับมาเริ่มต้นที่ศูนย์ เราก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นฝ่ายไหน อันนี้เป็นลักษณะไหน อันนี้เป็นอุปทาน อันนี้เป็นกรรม อันนี้เป็นวิบาก อันนี้เป็นกิเลส อันนี้ตัณหา อันนี้อุปทาน อันนี้เกิดขึ้นจากความคิด อันนี้เกิดขึ้นจากการยึดมั่น หรือเกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ มันจะแยกของมัน มันจะมีตัวตัดสิน

    เรียกว่า เมื่อญาณปัญญาเกิดขึ้นจะมีตัวตัดสิน จะเลือกในสิ่งที่เป็นธรรมที่สุดให้กับเรา เราก็เลยอาศัยสิ่งที่เราได้ฝึกได้ปฏิบัติ ได้อยู่กับความรู้ตัวนี่แหละ แต่ความรู้สึกตัวเราไม่ทิ้ง ไปอยู่ไหนมันก็จะไป มันเป็นหลักอยู่เสมอ

    เหมือนกับว่าแม้เราจะขึ้นสู่ที่สูงจากการที่ปฏิบัติ มันก็จะยังรู้ตัว แต่ความรู้สึกตัวนั้นมันจะแนบแน่น อยู่กับกาย อยู่กับจิต อยู่กับชีวิตจิตใจของเรา คือมันจะกลับ กลับมาที่การเริ่มต้นใหม่ กลับมาที่ศูนย์ให้เรา เพื่อให้เราได้ทำหน้าที่อยู่กับความเป็นปกติ

    ถึงเวลานั้นเราก็ไม่ต้องลังเล มีความลังเล ความวิตก หรือความที่เราจะไปตั้งจิตตั้งใจอะไรพวกนี้ มันจะเหมือนกับว่า มันตื่นรู้แล้ว มันก็เลยเรียกว่าดูสดๆ หรือดูตรงๆ เลย ไม่ต้องไปอธิษฐาน หรือไม่ต้องไปตั้งจิตตั้งใจอะไร เพราะมันดูลงไป หยั่งลงไปที่จิด

    จึงถือว่าความรู้ตัว จะนำมาซึ่งความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม หรือความเป็นกลาง หรือเป็นปกติของจิต ซึ่งสิ่งนี้เหมือนเราได้รับความยุติธรรม ได้รับความเป็นธรรมจากการที่เราได้ปฏิบัติ ทำให้เราเหมือนทำเองด้วยตัวของเราเอง

    ถ้าเราไปกับสิ่งต่างๆ บางทีก็เกี่ยวข้องกับที่หนึ่งที่สองที่สาม วัตถุที่สามที่สี่ แต่ทีนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจเรา เหมือนกับเราเป็นผู้ลิขิตเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมา แต่การปฏิบัติแนวนี้มาจากฐาน จากความเป็นการที่เราสัมผัสตัวรู้ตัวได้

    เราสัมผัสความรู้ตัวได้แล้วก็จะเป็นเหมือนต่อยอด หรือเป็นเหมือนกลับมาที่หลัก หรือเป็นเหมือนที่ตั้งให้จิตเราเสมอ ไม่ว่าเราจะประสบอะไรต่างๆ จะเป็นการสูญเสียการพลัดพราก หรือการสมหวังหรือไม่สมหวังอะไรก็แล้วแต่ แต่ความรู้ตัวจะเป็นตัวไถ่ถอน จะเป็นตัวปรับให้จิตเรา

    เหมือนว่าถ้าระดับที่มันเข้าไปสู่จิตที่เป็นแบบอัตโนมัติ หรือเป็นแบบเข้าไปเป็นด้านในได้แล้ว มันก็จะเป็นเหมือนมันอยู่กับชีวิตจิตใจเราตลอด ไม่ใช่วิ่งหาข้างนอก ไม่ใช่ไปหาจากการที่เราจะไปหาจากภายนอกมาสวมใส่ หรือมาให้มันเป็นลักษณะเหมือนเสื้อผ้าก็คือหาจากข้างนอกมาสวมใส่

    แต่ลักษณะของความรู้ตัว หรือที่เราเรียกว่า ญาณปัญญา มันจะผุดขึ้นมาจากภายใน มันจะเป็นลักษณะของการมีอยู่ที่ภายในของจิตเราเลย เหมือนกับว่าเป็นปัญญาที่มาจากด้านใน ไม่ใช่เป็นปัญญาที่มาจากด้านนอก

    ทีนี้เมื่อความรู้ตัวกับตัวใจของเรา มันได้สัมผัส หรือมันได้เป็นสิ่งที่อยู่ด้วยกัน ก็จะทำให้เรารู้ของการกระเพื่อม รู้กับการเกิดดับของจิต จิตจะเกิดฟูแฟบอย่างไรก็เหมือนกับมีระดับที่เรียกว่า พอดี หรือ ศูนย์กลาง จะเป็นระดับที่ไม่เกินขีดอันตราย

    แม้แต่เราจะเกี่ยวข้องกับวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับโลกสมัยใหม่ เกี่ยวกับเทคโนโลยี เกี่ยวกับการทำการทำงาน หรือเกี่ยวข้องกับอะไรก็แล้วแต่ แต่มันจะมีขีดที่เป็นลักษณะเหมือนกับเซฟตี้คัท มันจะตัดให้เรา เกินมันตัด ขาดมันก็ทำหน้าที่ ทั้งเกินทั้งขาดทั้งมันช็อตหรือทั้งมันจะมีอันตราย พวกนี้เขาเรียกว่ามันเซฟมันตัดให้เราได้

    ฉะนั้นตัวปัญญาญาณ จึงเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นจากการที่เราเกี่ยวข้องกับความรู้ตัว เกี่ยวข้องบ่อยๆ เข้า บ่อยๆ เข้า ในที่สุดความรู้ตัวก็จะแปรสภาพ จากรู้ด้วยการกำหนดรู้ ต่อไปจะเป็นการรู้ด้วยการที่แม้แต่คำว่าปริญญา 3 ในพุทธศาสนา

    “ญาตปริญญา” รู้ด้วยการกำหนดรู้ “ตีรญปริญญา” ปริญญาว่าด้วยการพิจารณา และ “ปหานะปริญญา” ปริญญาว่าด้วยการประหารหรือการตัด ปริญญา 3 ในหลักธรรม

    อันดับแรกคือ “ญาตปริญญา” รู้ด้วยการกำหนดรู้ เหมือนกับเราทำอะไร เราก็ใส่ใจ แม้แต่เราเก็บอารมณ์ หรือมาปฏิบัติ หรือมาอยู่ในอิริยาบถรู้ตัว คือรู้ด้วยการกำหนดรู้ คือกำหนดขึ้นมา

    ต่อไปเราจะเริ่มไป “ตีรณปริญญา” ปริญญาที่สองคือ เริ่มดูใจเป็น รู้ด้วยการพิจารณา รู้ด้วยการเห็น การผุดขึ้น ของความคิด ของอารมณ์ ของเกี่ยวข้องกับกายอย่างไร เกี่ยวข้องกับจิตอย่างไร

    พอความคิดเกิดมันเกี่ยวข้องกับกายเลย อารมณ์เกิดก็เกี่ยวข้องกับจิตเกี่ยวข้องกับกาย กายหวั่นไหวกายถ้าเป็นอะไรมันจะเห็น อ๋อ..เพราะสิ่งนี้ ก็รู้ด้วยการเห็น รู้ด้วยการพิจารณา รู้ด้วยการเห็นด้านใน ก็จะเป็นลักษณะ เริ่มเข้าไปดูจิต คือเข้าสู่หลักของปรมัตถธรรม

    จากนั้นก็จะเป็นลักษณะ “ปหานะปริญญา” คือการตัด หรือการชำระจิต หรือการรู้แบบมีประสบการณ์ หรือมันเกิดของมันแล้ว อ๋อ..ตรงนี้กลางที่สุด เราจะไปดูใจปกติ เราจะไม่ได้ไปดูว่าต้องไปจำศีล ต้องไปขอ ต้องไปเกี่ยวข้องกับอะไรกับภายนอก

    มันจะเป็นลักษณะ รู้ประจักษ์ หรือรู้ขณะที่มันกำลังผุด ที่มันกำลังเกิด เห็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่งอนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้

    เพราะฉะนั้นในภาคของการปฏิบัติ ก็เป็นไปตามการเจริญเติบโตของสติปัฏฐาน จะทำให้จิตใจของเรานี้เปลี่ยนแปลง จากเราเป็นคนเคยหุนหันพลันแล่น เคยเป็นคนคิดมากวิตกกังวล เคยเป็นคนลังเล เคยเป็นคนไม่มั่นใจ เคยเป็นคนโกรธง่ายหงุดหงิดง่าย หรือเป็นคนเรียกว่าจิตใจไม่มั่นคง มันจะเปลี่ยน

    เปลี่ยนเป็น “เอกัคคตาจิต” คือจิตเป็นหนึ่งเดียวเลย เป็นลักษณะเชื่อมั่นในตัวรู้เลย เชื่อมั่นในตัวดูตัวเห็น เชื่อมั่นในความปกติ ถ้าความรู้ตัวเกิดขึ้นเมื่อไรมันจะเป็นปกติทันที เราก็เลยมีความเชื่อมั่นว่า อยู่กับตัวนี้ปลอดภัยที่สุด อยู่กับตัวนี้ดีที่สุด ก็เลยไม่ต้องไปลังเลไปเสียเวลาหาธรรมที่ไหน

    เขาเรียกว่าไม่ต้องไปหาที่อื่น ก็ดูลงไปที่จิต ดูลงไปที่ชีวิตเรา ท่านจึงเรียกว่า ปหานะปริญญา ปริญญาว่าด้วยการหลุดพ้น ว่าด้วยการประหาร คือตัดเลย จะเป็นโดยสติปัฏฐาน พัฒนาการไปเป็นญาณของปัญญา

    ฉะนั้นในการปฏิบัตินี้เราต้องกลับมา กลับมาที่ความเป็นปัจจุบัน ขณะที่เรากำลังคลึงนิ้วมือ ขณะที่เรากำลังสัมผัสที่มาถูกต้องกับกายเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการสภาวะ ก็กลับมาหารู้ รู้แล้วก็วาง แล้วก็เริ่มใหม่ คือรู้แบบสบายๆ อันดับแรกให้ใจสบายก่อน

    ในการปฏิบัติไม่ว่าเราจะไปที่ไหน กลับมาเริ่มต้นที่ความสบาย กลับมาเริ่มต้นที่ความกลางๆ คือสบายไว้ก่อน สบายคือสบายใจ สบายใจคือใจไม่ติดซ้ายไม่ติดขวา ไม่ไปอะไรกับอะไรพวกนี้ อะไรที่มันจะเป็นยางเหนียวก็แล้วแต่ แต่มันก็มี ตัวรู้ตัว เป็นตัวช่วย

    เพราะฉะนั้น ตัวรู้ตัวนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะนำเราไปสู่ปัญญาของการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจิตใจเรา.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service