แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
การมีสัมมาทิฏฐิ
เช้าวันใหม่ วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 เป็นวันเสาร์ ฉะนั้นเราก็มีการปฏิบัติธรรมกัน คือการปฏิบัติธรรมนี้เป็นการชำระจิต หรือล้างหรือชำระสิ่งที่มันเปรอะเปื้อนสิ่งที่มันติดอยู่ที่จิต ออกไปจากจิตของเรา เรียกว่าเป็นการชำระให้จิตเราสะอาดผ่องใส
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม เราก็เลยมีการใช้สติ สติที่เราใช้ก็คือการรู้สึก รู้ตัว ตั้งแต่เราตื่น ตื่นขึ้นมาเราก็มีการเคลื่อนไหวขยับกาย หรือเราจะลุกจะนั่งก็ต้องมีความรู้สึกตัวติดอยู่ที่รูปติดอยู่ที่กายเรา เราก็กำหนดรู้ไปด้วย เหมือนกับว่า เป็นการชำระจิตใจ
มองในแง่ดี มองทุกอย่างมองในแง่ดี เรียกว่าหาสิ่งที่ดีมามอง หาสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ทำให้เราไม่มีอคติ มองชีวิต มองจิต มองใจ มองตัวเรา มองคุณค่าของชีวิต มองเห็นเพื่อน มองเห็นสิ่งแวดล้อม เราก็ต้องเอาสิ่งที่เป็นความดี หรือเป็นสิ่งที่เป็นฝ่ายกุศล เขาเรียกสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิในมรรคมีองค์แปด เป็นลักษณะเป็นต้นว่า ต้องมีสัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบ เห็นชอบคือเห็นสิ่งที่เป็นฝ่ายกุศล เห็นชอบคือเป็นฝ่ายความดี เห็นชอบคือเป็นฝ่ายของการกระทำ หรือการพูด หรือการวางใจ วางสติไว้ตรงไหน เรียกว่าเป็นการมองในสิ่งต่างๆ ด้วยเป็นสัมมาทิฏฐิ
คือความเห็นในฝ่ายที่เป็นผ่ายดีฝ่ายกุศล เพื่อให้จิตใจของเราคิดทำในสิ่งที่ดี ถ้าใจเราตั้งไว้ที่ตรงสัมมาทิฏฐิ ก็จะเป็นลักษณะการใช้อิริยาบถ หรือการใช้ความคิด การใช้เหตุใช้ผล มันก็จะเป็นผลดี แต่ถ้าเรามองสิ่งต่างๆ ไม่ดี ความคิดออกมาก็เป็นไปตามแนวโน้มที่มันมีอยู่ที่จิตของเรา
ถ้าเรามองว่าทุกอย่างมันก็มีคุณมีโทษ แต่เราจะเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้เพื่อต่อยอด โบราณท่านจึงว่า ดีต่อดี ควรเห็นเป็นตำรา ท่านว่า ไก่ต่อไก่ ช้างต่อช้าง ดีก็ต้องต่อดี ถ้าเราอยากได้ดีเราก็ต้องเอาดีไปตั้ง แล้วมันก็จะต่อเอาดีขึ้นมา เหมือนกับเราอยากได้ไก่เราก็ใช้ไก่บ้านไปต่อเอาไก่ป่า เราอยากได้ช้างเราก็มีวิธีการต่อช้าง
เพราะฉะนั้นเราก็อาศัยสิ่งที่ดี การดีมีดีมาก แล้วก็ดีที่สุด คำว่าดีที่สุดคือมันสุดของความดี สุดของสิ่งที่ดีที่สุดของที่สุด มันที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิน เพราะฉะนั้นการคำว่า ดีที่สุดก็คือการฝึกใจ การที่เราจะทำใจให้ผ่องใส ทำใจให้เป็นปกติ ทีนี้การที่มันจะดีอย่างนั้นได้ ก็ต้องมีการฝึก
ถ้าไม่ฝึกเลยจะให้ดีขึ้นมาโดยพื้นฐานมันก็ไม่มีเชื้อไม่มีเหตุ เขาเรียกว่าเหตุปัจจัย ฉะนั้นเราก็เลยฝึก ฝึกตั้งแต่การกระทำ การพูด การคิด การเกี่ยวข้องกับอิริยาบถ เกี่ยวข้องกับการเป็นอยู่ มันจะได้ไปรวบรวม เรียกว่ารวมศูนย์มาที่ศูนย์กลาง มาที่ใจของเรา
ใจเรานี้ ถ้าเราฝึกดีแล้วมันก็จะเป็นลักษณะแสดงออก หรือการกระทำ การพูด การคิด ก็จะดีตาม เรียกว่ามีอย่างไรสิ่งนั้นก็ออกมา สิ่งที่อยู่ในใจเรานี่สำคัญ ถ้าเรามีเหมือนกับน้ำในแก้ว ถ้าเราเอาน้ำอะไรเติมเข้าไป เวลาเราเทออกมามันก็จะเป็นน้ำชนิดนั้น มันก็จะเป็นลักษณะที่มีอยู่ข้างใน ถ้าเทออกมาก็เป็นชนิดที่มันมี
ฉะนั้นในใจเราก็เหมือนกัน ถ้ามันมีดี มันก็ออกมาในฝ่ายที่มันมีอยู่ข้างใน มีความยินดี มีความถูก มีสัมมาทิฐฐิ มันก็ออกมา แต่ถ้ามันมีความโกรธความหงุดหงิดอยู่แล้ว มันก็ออกมา เขาเรียกว่าหัดมองในสิ่งที่มันจะไปต่อกัน
การปฏิบัติธรรมนี้เป็นดีที่สุด คือความรู้สึก คำว่าที่สุดคือการทำแล้วมันเป็นการที่จะได้กลับมา กลับมาที่ความเป็นปกติ เพราะธรรมชาติของจิตเรา ความเป็นปกตินี่ดีที่สุด คือไม่ต้องไปซ้ายไปขวา ไม่ต้องไปกับสิ่งที่เป็นลักษณะลากจูง
เขาจึงเรียกว่า การชำระจิตให้ขาวรอบ “เอตัง พุทธานะสาสะนัง” เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมของเรา การเจริญสติคือมันปรับทุกอย่าง เราพูดถึงว่าปฏิบัติสติ ที่จริงในการปฏิบัติสติมันรวม เขาเรียกว่ามันรวมทุกอย่าง
รวมในสิ่งที่จะเป็นไปเพื่อการปฏิบัติ เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ เพียงแต่ว่าเวลาเราพูด เราพูดว่าเจริญสติ หรือกำหนดความรู้สึก แต่จริงๆ แล้ว ในสติมันมีครบ เรียกมีสมาธิ มีปัญญา มีจาคะ สัจจะ ธรรมะ อะไรพวกนี้มันมีอยู่ในนั้น
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเราเริ่มต้น เริ่มต้นที่การที่เรากำหนดสติอยู่ที่กาย ตั้งแต่ตื่นเลย ตื่นขึ้นเราเหมือนกับเอาสิ่งที่มันเป็นเหมือนการชำระมาตั้งแต่ต้น เพื่อมันจะไม่ไปเป็นลักษณะสะสม
แต่ก่อนอาตมาเองก็เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็ไปคิดแต่เรื่องที่เศร้าหมอง เรื่องขุ่นมัว เรื่องขัดแย้ง เรื่องที่เรากระทำตั้งแต่เมื่อวานวันก่อน มันก็จะนำมาคิดมาปรุงมาแต่งมาเศร้าหมองมาขุ่นมัว มาเหมือนกับมันเป็นหน่วยความจำที่มีอยู่แล้ว เวลาเราตื่นมันก็ไหลเข้ามา
เวลาเราหลับก็เหมือนปิดสวิตช์ เวลาเราตื่นมันก็เข้ามา ก็เรื่องเดิมๆ เรื่องสิ่งที่มันปรุงแต่ง ที่มันคาอยู่ที่จิตเรา เรื่องความขัดแย้ง เรื่องความขุ่นมัว เรื่องความยินดียินร้าย พวกนี้มันก็จะเข้ามา เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะเหมือนมีต้นทุน
ตัวที่เราสะสม มันจะไปเป็นต้นทุนที่อยู่ในเหมือนกับแก้วน้ำที่มีตะกอนอยู่ที่ก้น เวลานั้นตะกอนก็จะไปนอนอยู่ที่ก้นแก้ว เวลาเรากระเพื่อมเวลาเราอะไรเข้าไป มันก็จะฟุ้งขึ้นมา เหมือนมีน้ำใหม่เทเข้าไป สิ่งที่เป็นตะกอนอยู่แล้วมันก็ฟุ้งมารับกัน เขาเรียกว่านอนเนืองอยู่ในจิต นอนเนืองอยู่ในใจ มันเป็นอนุสัย หรือเป็นความคุ้นเคย หรือเป็นสิ่งที่เราคิดปรุงแต่งไม่จบ
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมนี้ เราก็เลยเติมตัวสติ เป็นตัวไปช่วยให้จิตเราทำการพัฒนา หรือทำการยกระดับให้มันเหมือนให้จิตเราทำได้ เหมือนกับมีอุปกรณ์นั่นแหละ ถ้าไม่มีอุปกรณ์มันทำไม่ได้ ยาก เช่นเราจะถอนตะปู ถ้าเราไม่มีที่ถอนไม่มีแม่แรงไม่มีอะไรงัด ตะปูเล็กๆ มันก็ไม่ถอน เพราะฉะนั้นต้องมีอุปกรณ์
ฉะนั้นสิ่งที่ติดอยู่ที่ใจเรา เล็กๆ มันก็ไม่ออก ความขุ่นมัว ความเศร้าหมอง ความขัดแย้ง จะไปมองสิ่งต่างๆ ในแง่ดีได้อย่างไร ถ้าใจเรายังไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรือยังไม่ชำระจิตให้ขาวรอบ หรือไม่มีลักษณะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ดี มันมองฝ่ายดีไม่ได้ จะต้องเหมือนกับว่า เอาดีมาต่อ
จะหาความดีในสิ่งอื่นๆ ยาก เราก็เลยต้องหาความดีให้กับใจของเรา การดีที่สุดก็คือ การชำระจิตที่เป็นต้นทุนของเรา เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเราก็เลยเหมือนกับฝึก ฝึกจนมันเป็น ไม่ใช่แค่มันรู้ ถ้ารู้มันก็ยังแยกแยะไม่ได้
หรือถ้าเป็นสติก็ต้องเป็นสติปัฏฐาน ถ้าเป็นสติธรรมดาคือเป็นลักษณะสติคือรอบคอบ แต่บางครั้งมันเอาไปทำดีทำไม่ดีได้ ทำไม่ดีบางทีก็เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการกระทำไม่ให้ผิดพลาด มันก็เป็นสติเหมือนกัน แต่มันเป็นสติธรรมดาที่เอาไปใช้ในสิ่งที่มันไม่ตรง
แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิ หรือถ้าเป็นสติปัฏฐาน มันจะละอายใจ เขาเรียกว่ามันจะมีตัวที่จะไม่ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี คือไม่ไปลักไปปล้นไปขโมยไปทำร้าย สติปัฏฐานจะเป็นสติที่ประกอบไปด้วยคุณงามความดีเป็นหลัก เมื่อสติธรรมดาบางทีเราไปทำดีทำไม่ดีก็ได้เพราะแค่ทำไม่ให้มันผิดพลาด
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติตธรรม เราก็เลยต้องอาศัยหลักของสติปัฏฐาน คือการชำระจิต แล้วก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ การกลับมาเริ่มต้นใหม่คือ การมาชำระจิตของเราตั้งแต่ตื่น
ตื่นขึ้นมา แต่ก่อนมันไหลมา เป็นฝ่ายของความเศร้าหมอง ความขุ่นมัว ความขัดแย้ง ความฟุ้งซ่าน ความยึดมั่นในวัตถุ ในสิ่งที่เรายินดีพอใจ เป็นลักษณะมันตื่นมันก็เข้ามาเลย ทีนี้เราปฏิบัติไป เราชำระจิตของเราไปเรื่อยๆ
สติก็จะไปเป็นตัวสร้างให้การต่อยอด หรือการยกระดับจิตขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ตื่นขึ้นมาก็จะเป็นความรู้สึกตัวที่ผ่องใส เป็นความรู้ตัวที่บริสุทธิ์ ความรู้ตัวที่เป็นปกติ ไม่มีสิ่งที่ขุ่นมัวเศร้าหมองขัดแย้งเข้ามาเลย จะเป็นลักษณะตื่นขึ้นก็พบแต่สิ่งที่ดีๆ ขึ้นมาเลย หรือว่าตื่นขึ้นก็พบแต่ความเป็นปกติ หรือความเป็นปัจจุบัน
ยิ่งเราปฏิบัติไป จิตรับข้อมูลตรงที่ว่า มันเป็น เขาเรียกว่าฝึกจนมันเป็น มันก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า เป็นสิ่งที่เป็นปกติ สิ่งที่เป็นสติ สิ่งที่เป็นธรรมเกิดขึ้น มันก็จะหาได้ไม่ยาก เหมือนกับว่าเราไปไหน มันก็จะติดกายติดใจเราไปด้วย
เราจะทำ จะพูด จะคิด มันกลับมาเริ่มต้นให้เราที่สัมมาทิฏฐิเลย กลับมาเริ่มต้นให้เราที่ความเป็นปกติ จะไม่มีคำว่าไปต่อยอดกับอคติ ไปต่อยอดกับความขัดแย้งวุ่นวายพวกนี้ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเป็นลักษณะครอบคลุม ครอบคลุมเหมือนกับฟ้ากรวมดิน
มีสติของเราเหมือนกับฟ้ากรวมดิน เป็นฝ่ายของกุศล เป็นฝ่ายของความเป็นปกติ เป็นฝ่ายของการสัมผัสกับสิ่งที่ดีๆ เรามองไปข้างซ้ายเราก็เห็น เรามองไปข้างขวาเราก็เห็น เรามองขึ้นบนฟ้าเราก็เห็นฟ้า เรามองไปด้านข้างเราก็เห็นฟ้า เรามองไปด้านซ้ายด้านขวาเราก็เห็นฟ้า
เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นรอบด้าน เขาเรียกว่า มีสติที่สมบูรณ์ จะมองแล้วมันเห็นเลย คือแต่ก่อนมันวิ่งหา เราไม่มีสติมาตั้ง ไม่มีสัมมาทิฏฐิมาตั้ง กว่าจะหาเจอหรือบางทีก็หาไม่เจอ มีสิ่งมาบดมาบัง มาทำให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง
แต่พอเราได้สติปัฏฐาน หรือเป็นสติที่เป็นมหาสติแล้ว จะมองไปด้านไหนก็เห็น คือเรามองแล้วมันเห็นเลย ไม่ใช่ว่าจะหายาก กลายเป็นว่ารอบด้าน ท่านจึงว่า มีสติเป็นหน้ารอบ ตั้งอยู่บนอุเบกขามีสติเป็นหน้ารอบ เรียกว่าเป็นธรรมะขั้นสูงของภาษาในการปฏิบัติ
คือตื่นขึ้นมามันก็ไหลเข้ามา เหมือนกับเวลาเราวิดน้ำเวลาเราลงอาบน้ำในหนอง แต่ก่อนเราอาบน้ำตามท้องทุ่งตามห้วยตามหนอง บางทีมีจอกมีสิ่งที่เป็นคราบอยู่บนผิวน้ำ เราเอามือกวักให้น้ำดันมันออก ไม่นานแล้วมันก็หุ้มเข้ามาหุ้มเข้ามา เราอาจยังไม่เสร็จเราต้องวิดน้ำออก ก็เป็นลักษณะที่มันจะไหลเข้ามา
เพราะฉะนั้นความคิดจิตใจของเรา มันเป็นสัญญาความจำทั้งนั้นไหลเข้ามา แต่เราก็ชำระล้าง ได้สิ่งที่มันดี เขาเรียกเริ่มต้นทำดี คิดดี หรือว่าดีที่สุดก็กำหนดสติรู้สึกตัว จะเป็นลักษณะเหมือนกับว่า เป็นตัวที่จะเหมือนเป็นตัวแทนของฝ่ายกุศล ของฝ่ายความเป็นปกติ ของจิตที่ประภัสสร
ถ้าเราสัมผัสกับความรู้สึกตัวได้ ก็เป็นเครื่องหมายว่าเรามาถูกทางแล้ว เราได้เริ่มต้น หรือเราได้ทำในสิ่งที่มันดีที่สุดแล้ว ก็เลยไม่ต้องไปลังเลไม่ต้องไปวิ่งหา ว่ามันตรงไม่ตรง มันใช่ไม่ใช่ มันกลางไม่กลาง มันเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม
ถ้าลงไปที่สติ หรือเกี่ยวข้องกับการสัมผัสรู้ รู้ประจักษ์ รู้แจ้งตามความเป็นจริง มันก็จะเป็นเครื่องหมายว่า ดีที่สุดเลย ถูกต้องแล้ว เป็นธรรมแล้ว เป็นทางสายกลางแล้ว เป็นลักษณะนั้น
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมของเรา ก็เลยมีการคล้ายๆ กับมีการปฏิบัติทุกเวลา ไม่ใช่ว่าจะมีเวลาเดินจงกรมจะเป็นเวลาสร้างจังหวะถึงเป็นการปฏิบัติ แม้แต่การอยู่รอบนอก แม้แต่การอยู่ในอิริยาบถที่ไม่อยู่ในรูปแบบ แม้แต่การเอาไปใช้กับการทำการทำงานพวกนี้ ก็จะเป็นลักษณะของการที่เรามีพื้นฐาน หรือมีสติที่เป็นที่ตั้ง
เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องปฏิบัติ ทั้งในรูปแบบ แล้วก็นอกรูปแบบ เพียงแต่ว่าเราจะเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตรงนี้เราก็ต้องทำความเห็นให้ตรง ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็จะเป็นสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมาวายามะ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะอะไร การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ
แต่ก็ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ คือการคิดชอบ การดำริชอบ เพราะฉะนั้นก็เป็นลักษณะที่เรา กลับมาเริ่มต้น ที่การมีสติ รู้ตัวอยู่เสมอ ถ้ามันไม่รู้ เราก็แค่กระดิกนิ้ว กำมือ พลิกมือ มันก็รู้สัมผัส ก็จะเป็นลักษณะของทางสายตรง.