PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • อุบายการเก็บอารมณ์ให้ได้ผล
อุบายการเก็บอารมณ์ให้ได้ผล รูปภาพ 1
  • Title
    อุบายการเก็บอารมณ์ให้ได้ผล
  • เสียง
  • 14048 อุบายการเก็บอารมณ์ให้ได้ผล /aj-kammai/2025-08-15-12-36-38.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 19 กรกฎาคม 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ บ้านติ้ว ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • อุบายการเก็บอารมณ์ให้ได้ผล

    เป็นการทำวัตรเย็น ก็เป็นปกติตามหน้าที่ หน้าที่ของเราคือหน้าที่การปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เป็นหน้าที่ที่จะทำความมี สติคือเข้าถึงธรรม เพราะฉะนั้นเราก็เลยมีหลักการเพื่อการปฏิบัติ ทำอะไรก็เพื่อการปฏิบัติ การเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญ แล้วเราก็ให้ความสำคัญ

    คือการปฏิบัติก็ทำได้ในรูปแบบ ในชีวิตประจำวัน ในกิจกรรมกิจวัตร ซึ่งเราประยุกต์ตามความเหมาะสม ตามสมควรกับเรา เราทำได้ก็เป็นบุญของเรา เรามีโอกาสที่จะทำเราก็ทำ ก็อยู่ที่เรา ในการปฏิบัติถ้าเราพร้อมเราก็ทำ

    เป็นช่วงฤดูฝน ฤดูฝนคือฝนก็จะมาตามฤดูกาล ข่าวเขาว่าพายุจะเข้าวันที่ 22 ถึงวันที่ 24 ประมาณนั้น ก็จะดูความรุนแรงของพายุ ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ที่จีน มาเวียดนามแล้วจะมาไทย ก็ดู แต่ว่าเราก็จะมีการเก็บอารมณ์วันที่ 20 คือวันพรุ่งนี้ แต่ก็อยู่ที่บุคคล ถ้าเรายังไม่พร้อมจะเก็บ เราก็มาทำวัตรมาสวดมนต์ มาทำที่ศาลา

    แต่ถ้าเราพร้อมที่จะเก็บ เราก็เก็บด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความมีเหมือนกับว่าทำให้เป็นความกระตือรือร้น ต่อเนื่อง ก็จะเป็นอย่างนั้น การเก็บอารมณ์เป็นสิ่งที่เราทำได้ถ้าเราพร้อม แต่ถ้าเราไม่พร้อมเราก็ทำกิจวัตรตามปกติ  โชคดีที่วัดเรามีกิจกรรมทั้งสองภาคส่วน

    คือภาคส่วนที่ผู้ที่ต้องการเก็บการปฏิบัติในการเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง คือได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆ ก็เลยมีการเก็บอารมณ์ตามระยะเวลาที่เรากำหนด วันที่ 20-27 เป็นช่วงของการที่เราจะทำให้เป็นทางด่วน ทางด่วนคือการที่เราจะคล้ายๆ กับว่ามีความพร้อมในการที่จะทำให้ต่อเนื่อง ก็เข้าปฏิบัติแบบเก็บอารมณ์

    ถ้าเรายังไม่พร้อม อาจจะมีภาระมีหน้าที่ต้องเข้าต้องออกต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรียกว่าปฏิบัติตามกิจวัตร ตามความเป็นปกติอย่างที่เราทำทุกวันนี้ก็เป็นปกติ คือการทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น แล้วก็มีการปฏิบัติตามเวลา ถือว่าเป็นกิจวัตรตามปกติ ก็ดีเหมือนกันได้รับทั้งสองแบบ

    แบบที่มีความต่อเนื่อง ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ แต่เราก็ต้องอยู่เฉพาะเรียกว่าควบคุมพื้นที่ ถ้าอยู่กุฏิก็อยู่กุฏิ เหมือนกับว่าทำให้อยู่กับการเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ แม้แต่เวลาตักอาหารเราก็ไม่ต้องมานั่งให้พร เพียงแต่ว่าถึงเวลาตีระฆังเราก็ออกมารับ แล้วก็กลับไป

    กลับไปก็ทำให้ต่อเนื่อง อาศัยความเพียร อาศัยความเป็นผู้มีเรียกว่ามีความพร้อม มีใจที่จะฝักใฝ่ในการที่จะปฏิบัติ ในการที่จะเจริญสติ ก็ทำ ทำอย่างมากในการปฏิบัติ ถ้าเราทำน้อยมันสู้กับความหลงไม่ไหว มันก็เลยต้องทำมาก

    ทำมากชนิดที่เรียกว่า ตั้งจิตอธิษฐาน ตัั้งจิตอธิษฐานจะทำให้มีความต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่ ก็ทำ ทำมากๆ ก็จะได้ผลดี ถ้าทำไม่มาก ผลก็ได้ตามสติตามกำลัง มันต้องสู้

    สมัยที่อาตมาปฏิบัติ แต่ก่อนก็ทำอย่างนี้แหละ ทำมาก เก็บอารมณ์นี้ลงไปนอนที่ตรงศาลาเขียวๆ ตรงหน้าที่เผาหลวงปู่เทียน แต่ก่อนเก็บอารมณ์เข้มข้นกว่านี้ คือปิดไฟเลย ปิดไฟใช้แสงเทียน พอถึงวันเก็บอารมณ์ก็ยกคัทเอ้าท์ลง

    แม้แต่ศาลาเรายังไม่มีไฟ เวลาจะตักข้าวบางทีหาเทียนมาจุด ถ้าเกิดวันไหนครึ้มฝนจะตกก็ไม่ยอมเปิดให้ เวลานั้นก็จุดไฟใช้แสงเทียน ใครจะกินน้ำร้อนก็ต้มเอา แต่ก่อนใช้เทียนต้มใส่แก้ว แก้วสแตนเลส บางทีก็ก่อไฟต้ม

    แต่เดี๋ยวนี้ก็เห็นว่า เราปฏิบัติเอาความรู้สึก เราจะใช้ความมีแสงสว่างมีอะไรอำนวยความสะดวกก็ไม่ติดขัด ก็เลยยืดหยุ่นมาเป็นปฏิบัติตามปกติ เดี๋ยวนี้เพียงแต่ว่าเป็นการเก็บอารมณ์ แต่ไม่ถึงกับต้องใช้ปิดไฟเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนนี้ปิดไฟ หลังจากนั้นก็ปฏิบัติเป็นปกติ

    ต่อมา อาตมาปฏิบัติก็อธิษฐานจิต อาตมานั่งอยู่ตรงนี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งทำวัตรนี้ อาตมาจะไม่ยอมลุก ตั้งแต่เช้า สามโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง ไม่ลุกเลย แล้วก็บ่ายโมงถึงบ่ายสี่โมงก็จะไม่ลุกเลย แล้วก็จากทำวัตรเย็นไปถึงสองทุ่ม ก็จะไม่ลุกเลย ตอนเช้าก็เหมือนกัน ตีสี่ถึงตีห้าจะนั่งตลอด อธิษฐานจิตนั่งอาสนะเดียวเป็นวัตร นั่งอยู่เป็นปีเลยไม่ใช่ธรรมดา ออกพรรษาแล้วก็นั่ง

    ถ้าใครเคยอยู่กับอาตมาช่วงก่อนนี้จะเห็น อาตมาก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ มีโยมมาก็รับแขก โยมไปแล้วก็นั่งต่อ เข้าห้องน้ำไม่เกิน 5 นาที ก็ออกมานั่ง ก็ออกมาปฏิบัติอย่างนั้น อธิษฐานจิตใช้อาสนะเดียวเป็นวัตร คือนั่งอยู่ใช้อาสนะเดียว อยู่อย่างนั้นตลอด ตลอดไปจนกว่าจะรู้ ก็คิดอย่างนั้น

    คิดว่า ถ้าเราไม่ทำอยู่กับความรู้สึกมันก็ไม่มีทางอื่น เพราะว่าเราอยู่ในโลกสมัยใหม่ก็เลยอธิษฐาน อธิษฐานก็ได้ผล เพราะเราก็ไม่ได้เสียหน้าที่การงาน เพราะบางทีโยมมาเขาก็ต้องการคุย คุยกับเจ้าอาวาส มีธุระทำสังฆทานอะไรพวกนี้ เราก็เลยนั่ง โยมไปแล้วก็อยู่ตรงนั้นต่อ

    คือไม่ให้เสียภารกิจอยู่ในสังคม ก็เลยทำ ทำแบบใช้เวลาที่ ทำหน้าที่ภายนอกภายในไปด้วย ก็ได้อานิสงส์จากการทำอย่างนั้น ทำแบบนั้น แล้วก็ได้อานิสงส์จากการเก็บอารมณ์ การเก็บอารมณ์นี้มีอานิสงส์

    แต่ก่อนอาตมาเก็บอารมณ์ แต่ไม่อ่านหนังสือ ไม่ฟังเทป ไม่ใช้โทรศัพท์ โทรศัพท์แต่ก่อนก็มี แต่นานๆ ทีจะเปิดดูว่ามีสายเข้าหรือเปล่า พอรู้ว่ามีก็โทรกลับ ไม่มีก็ปิดไว้ เพราะว่าแต่ก่อนปิดไฟมันไม่มีแบตชาร์จ ไม่ทันสมัยเหมือนยุคนี้ ยุคนี้ถึงปิดไฟก็มีแบตสำรอง แบตสำรองสองก้อนสามก้อนก็คุ้มเป็นสัปดาห์

    แต่ก่อนไม่รู้จักทันสมัยเราไม่มีใช้ก็ไม่มีชาร์จแบต ที่จริงถึงไม่ชาร์จเราก็ไม่ใช้อยู่แล้ว เพราะเราอธิษฐานจิตจะเข้าเก็บอารมณ์ โทรศัพท์ก็วางอยู่อย่างนั้น เราก็จะไม่หยิบขึ้นมาเปิดมาดูมาอ่านมาใช้ อาจจะตอนเย็นเช็คดูมีสายมาหรือเปล่า พอรู้ว่าไม่มีก็ปิดเลย จะเป็นลักษณะนั้นก็ดีเหมือนกัน

    เราหาอุบายต่างๆ แม้แต่การปิดไฟใช้แสงเทียนก็เป็นอุบาย ให้เราได้อยู่กับธรรมชาติ บางทีเราอยู่กับท้องฟ้า อยู่กับลม อยู่กับแดด อยู่กับธรรมชาติที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง มันก็เลยกลายเป็นว่า ได้ใช้ชีวิตตามแบบของธรรมชาติ เป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นอุบาย

    อุบายให้เราได้ศึกษา หาการที่จะได้อยู่กับตัวเอง การที่เราจะได้อยู่กับตัวเอง บางทีเราไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก มันก็เลยมีแค่ กายกับใจ กับตัวเรา กับความรู้สึก มันไม่มีอะไรมาแบ่งมาแยก เป็นบรรยากาศของการแสวงหา ก็เป็นลักษณะนั้น

    แต่ต่อมา อาตมาก็พอได้เพิ่มสติ สติมันจะแนบแน่นเลย ต่อมาไปบิณฑบาตหรือไปไหนก็จะไม่หาย คืออุบายช่วงหาก็หาหลายอย่าง บางทีอาตมานับก้าวบิณฑบาตรได้วันละห้าพันก้าวเลย แต่ไม่นับเต็มหมดถ้านับเต็มหมดจะได้หลายพันกว่านั้น แต่เอาแค่วันละห้าพันก้าว

    นับก้าว นับในใจแต่ก็มียางเอาไว้ สมมุติได้ร้อยหนึ่งก็เอายางมารัดนิ้วก้อย เอายางเส้นเล็กๆ เอาพกใส่กระเป๋าไปด้วย พอได้ร้อยที่สองก็เคลื่อนเอามารัดที่นิ้วนางนิ้วกลางนิ้วชี้นิ้วโป้ง พอได้พันก้าวก็จะเป็นเครื่องหมายอีกอันหนึ่ง แต่ก็นับหนึ่ง สอง สามไปเรื่อย คือไม่ได้นับต่อร้อยหนึ่งร้อยสอง ไม่เป็นอย่างนั้น

    เพียงแต่เรามียางเส้นเล็กๆ รัดให้เป็นเครื่องหมาย ว่าได้กี่ร้อยแล้ว ร้อยที่หนึ่งร้อยที่สองร้อยที่สาม พอไปถึงโรงแรมไทยอุดมก็ได้แล้วสองพันสามพันก้าวแล้ว พอขากลับมาก็ไม่ได้เอาเต็ม อีกสักสองสามพันก้าว เอาวันละห้าพันก้าว ก็ใช้อยู่อย่างนั้นนาน หาอุบายในความรู้ตัว อุบายต่างๆ ก็ใช้ได้หมด

    แต่เวลาเราได้สติแล้ว เราทำอะไรมันก็ได้ เราอยู่เฉยๆ เราก็ดูได้ เราแค่ดูใจ ดูความเป็นปกติของใจ อาตมาก็เลยเห็นอานิสงส์ของการตั้งใจปฏิบัติ ที่อยู่กับตัวรู้โดยตรง มันจึงจะเป็นทางสายตรง

    ก็เลยเห็นว่า วิธีการที่จะทำให้จิตเรานี้เข้าสู่กระแสได้ มันก็คือเป็นอุบายต่างๆ มาช่วย โดยเราไม่ต้องระดมพลระดมคน ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร แค่เราทำด้วยตัวเรา เราประกาศ ประกาศจะเอาตัวรอด

    อาตมาเคยประกาศในที่ประชุมสงฆ์ แต่ก่อนไปประชุมสงฆ์ ว่าต่อไปจะเอาตัวรอด คือตั้งใจจะให้ใจมันรอด จะประกาศเอาไว้ ก็จริง เวลาไปงานก็เหมือนกัน อาตมาจะไม่ค่อยคลุกคลี ไม่ค่อยสรวลเสเฮฮากับเพื่อน เพื่อนคุยกัน อาตมาก็จะหลบจะหลีกไป แม้แต่เวลาฉันข้าว ถ้าหันหน้าไปหากันก็เป็นคนสนิทกัน เวลาเป็นงานอบรมงานระดมธรรมก็เจอหมู่คณะ

    อาตมามักจะหาโอกาสในการที่จะ ทำให้สติมันต่อ ถึงแม้ไม่อยู่ในรูปแบบการยกมือ เราแค่กระดิกนิ้วก็ได้ ถ้าในเหตุการณ์ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะ เราก็แค่กระดิกนิ้ว แค่กำมือ พลิกมือ อุบายต่างๆ ก็ใช้ได้หมด

    เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม บางทีเราไม่ได้ยกมือ เราก็ดูใจ ดูใจเรา คือ กำมือ พลิกมือ เหยียดมือ หรือไม่ก็ใช้ขันติความอดทน จะไม่หลับตา จะไม่อะไรพวกนี้ แม้แต่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จะไม่หลับตา เพื่อเราแก้ความสงบ แต่ก่อนเราหลับตามันก็หลับ ต่อไปมันจะพยายามไม่หลับ ก็นั่งทำ

    บางทีก็นั่งเล่นๆ นั่งดูความรู้สึก พลิกมือเล่นๆ ไม่ถึงกับพลิกมือทั้งวัน ส่วนมากก็นั่ง ถ้ามันง่วงถ้าอะไรเราก็มีของเล่นรอบกายเราเยอะแยะไปหมด มีปากกามีสมุดมีอะไรก็เอาเป็นอุบายได้หมด อาศัยการปฏิบัติอาศัยการอยากรู้อยากเข้าใจนั่นแหละ

    ปัญหาคนเรามันทุกข์มาก เรามีอะไรที่มันคาติดอยู่ที่จิตมาก เวลากระทบมันมักจะยั้งใจไม่อยู่ เราก็ต้องหาทางออก ถ้าเราไม่ทำเราไม่มีทางอื่น ก็เลยมีความมุ่งมั่นว่าอยากจะเข้าใจ อยากจะหลุดออก จากสิ่งที่มันติดขัดนั่นแหละ

    คำว่าเอาใจรอด คือเราอยากไม่ให้มันทุกข์ ไม่ให้มันมีปัญหาทางด้านจิต ถึงไม่มีใครบอก เราต้องขวนขวายด้วยตัวเราเอง คือมันเป็นความเกิดขึ้นจากความที่เราได้อยู่ใกล้กับหลวงปู่เทียน

    ที่ทับมิ่งขวัญนี้ ถือว่าอยู่ใกล้กับหลวงพ่อเทียน เพราะว่าเป็นวัดที่หลวงพ่อเทียนมามรณะ เป็นวัดที่หลวงพ่อเทียนมาสร้าง เป็นวัดสุดท้ายของท่าน ใครก็เลยตั้งหวังไว้ว่า ถ้ามาตรงนี้แล้ว จะเป็นเหมือนกับเป็นการเข้าใกล้กับหลวงปู่เทียน

    ฉะนั้นเราเป็นผู้อยู่ ถ้าเราไม่รู้จริง ถ้าเราไม่เข้าถึงแก่นธรรม เวลาคนถามเราจะเก้อเขิน แม้แต่เวลาเราจะต้องไปพูดไปแสดงออก บางทีเรามาดูตัวเราว่าเราแสดงธรรม เราแสดงด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นมีที่ตัวเราหรือเปล่า หรือเราจดจำเอามาพูด มันก็รู้จักอยู่ว่าเรามีไม่มี

    ถ้าเราเป็นไม่เป็นนี่ ทุกคนก็ต้องรู้ว่า กิเลสตัณหาอุปทาน มันยังเหลือมันยังค้างอยู่ไหม จิตใจเรายังโกรธหงุดหงิดง่ายอยู่ไหม พวกนี้มันรู้หมด ถ้าเรายังคลอนแคลน เรายังไม่ผ่านพ้น แสดงว่ามันยังไม่หมด เราจะต้องทำ มีวิธีเดียวนี้แหละ คือความรู้สึกตัว เพราะว่าเรื่องอ่านเรื่องรู้เรื่องฟัง เราก็ฟังมามากรู้มามาก ก็เหลือแต่เรื่องว่า

    ต้องมีสติให้มากกว่าตัวหลง เป็นเหตุให้ปฏิบัติ คือปฏิบัติด้วยความตั้งใจของเราเอง คือไม่ต้องให้ใครไปคอยควบคุม ไปคอยที่จะให้อะไรมาก เหมือนกับว่า เราเกิดศรัทธาแล้ว เราก็อยากจะเอาตัวเรารอดด้วยตัวเราเอง ฉะนั้นก็เป็นวิธีการที่ดี เป็นวิธีการที่เป็นไปได้

    คำว่าเป็นไปได้นี้ เพราะอาตมาเองมีประสบการณ์ แต่ก่อนเรามีอะไรก็ติดมีอะไรก็ข้อง แต่เดี๋ยวนี้มันผ่านเลย อะไรเกิดขึ้นอะไรเกี่ยวข้อง มันเป็นลักษณะแยกกัน กาย ใจ สิ่งที่เป็นภายนอก สิ่งที่เป็นมันเป็นลักษณะ จิตไม่ไปจมไปแช่ ไม่ไปกับสิ่งที่จะทำให้จิตเราสับสนวุ่นวาย

    เป็นลักษณะคือ มันจะรู้ว่า มันจะทำให้จิตเราไม่เป็นกลาง มันก็รู้ รู้ตั้งแต่มันเข้าไปเกี่ยวข้องกัน ที่เราเรียกว่าเข้าไปเสพ เข้าไปดู เข้าไปฟัง เข้าไปเกี่ยวข้อง

    แม้แต่การเราใช้โทรศัพท์ ใช้ดูอะไรพวกนี้ เราจะเลือก เราจะรู้จักว่า อันไหนที่จะทำให้จิตเราไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม หรืออะไรพวกนี้ คือทุกอย่างเราเป็นคนเลือกได้หมด เราก็เลยเลือกว่า อันไหนที่ทำมีผลต่อจิตเราน้อย อันไหนที่ทำให้จิตเราไม่ติดซ้ายติดขวา พวกนี้ก็เกิดมาจากปัญญาญาณทั้งหมด

    ถ้าเราไม่มีปัญญาก็จะไม่รู้จักวิธีตั้งแต่ต้น คือตั้งแต่มันยังเหมือนกับเราเป็นผู้เกี่ยวข้อง เราจะเกี่ยวข้องด้วยความเป็นกลาง ด้วยความเป็นปกติของจิตได้อย่างไร มันจะต้องรู้จัก เราอ่านออกแล้ว เราจะนั่งอยู่เฉยๆ หรือเราจะทำอะไร มันก็จะเป็นลักษณะดูจิต จิตก็จะปกติอยู่อย่างนั้น

    อันนี้เกิดจากอานิสงส์ของการปฏิบัติเลย อาตมาก็เลย โอ้..เราโชคดี ถ้าเราไม่ตั้งใจ ถ้าเราไม่พบตัวนี้ เราก็จะทุกข์ไปตลอดชีวิต เดี๋ยวนี้เราได้พบสิ่งนี้แล้ว ก็เลยเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติ มันมีจริงๆ

    ที่หลวงพ่อเทียนพูด มันเป็นเส้นทางธรรมเลย แล้วก็ไม่ต้องเอามาก ไม่ต้องเอาเกิน เอาแค่ที่หลวงพ่อเทียนวางไว้ ถือว่าเพียงพอ สำหรับเส้นทางการบำเพ็ญเพียรทางจิต สำหรับการที่เราจะนำมาเพื่อความเข้าถึงแก่น คำว่าจิตหลุดพ้นนี่แหละ

    จิตหลุดจากสิ่งที่มันเคยติดยึด จิตที่มันเคยยึดอะไรมันจะหลุดไปเลย แต่ก่อนมันเคยยึดรูปเสียงกลิ่นรสพวกนี้ เดี๋ยวนี้ก็ถือว่ามันเป็นมาจากตัวไหน เป็นอุปทาน หรือว่าเป็นอาสวะ หรือว่าเป็นเรื่องของกาย หรือเป็นเรื่องของจิต หรือเป็นเรื่องของอารมณ์

    พวกนี้มันจะแยกกันออก เขาเรียกว่าจิตสิกขา อาธิจิตสิกขา อาธิปัญญาสิกขา อาธิศีลสิกขา เขาเรียกว่าจิตที่เป็นการถลุง หรือการย่อย หรือการเปลี่ยน ก็เลยได้อานิสงส์จากการปฏิบัติในวิธีการแบบเจริญสติ ฉะนั้นสิ่งนี้เราก็เลยถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งอันประเสริฐ

    ทีนี้เราจะเข้าถึงอย่างไร ตัวเข้าถึงอย่างไรนี้อาตมาเห็นว่า ผู้ที่จะมีความพร้อมในการที่จะเดินทางทางจิตได้ ต้องเป็นคนจริง เป็นคนจริงนะ หลวงพ่อเทียนท่านก็พูดไว้ “คนจริง รู้ของจริง” ก็จริง คนจริงคือ คนมีความมุ่งมั่นต่อความซื่อตรงในการปฏิบัติ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง

    คือเอาใจมาฝักใฝ่เรื่องการปฏิบัติอยู่เสมอ ใครจะชวนไปไหน ใครจะชวนไปอะไร อาตมาไม่ค่อยไป ไปไหนก็ไม่ค่อยไป ส่วนมากก็อยู่กับตัวรู้นี่แหละ ถือคติที่ว่าเที่ยวเมืองกายะนคร ดีกว่าสัญจรรอบจักรวาล ก็จริง

    อยู่กายะนครคือ รู้เรื่องของกาย ก็เกิดปัญญา คือเป็นศีล เป็นสมาธิ ปัญญา ใครจะชวนไปเมืองนั้นเมืองนี้ เที่ยวตรงนั้นตรงนี้ หรือไปศึกษาไปอบรมอย่างนั้นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ไม่กระตือรือร้น เพราะเรามีเป้าหมาย คือจะทำสติให้เต็ม ให้เหมือนกับทำพระนิพพานให้แจ้ง คือเป้าหมาย

    จึงขวนขวายอยู่กับการปฏิบัติ เพราะว่าเราได้สมรภูมิที่ดี เราได้ภูมิประเทศที่ดี เราได้สัปปายะที่ดี ถือว่าดีนะทับมิ่งขวัญ เพราะว่ามันเป็นสิทธิของเราที่จะทำได้ตลอด คือไม่มีอำนาจจากข้างนอกมาบงการ แม้แต่พิธีรีตรอง แม้แต่องค์การปกครอง แม้แต่สมมติอะไรก็แล้วแต่

    เราสามารถที่จะหลีกเล้นมา เพื่อการทำความเพียรนี้ได้ แบบไม่ต้องไปพะว้าพะวังกับกิจกรรมอื่นๆ อะไร ถือว่าเป็นสัปปายะ เป็นมรดก เราก็รักษาไว้เพื่อให้สิ่งนี้มันสืบทอด เราไม่ให้มีพิธีรีตอง ไม่ให้มีอะไรมายุ่งวุ่นวายมาก เพื่อให้คนรุ่นหลังจะได้เหมือนกับปูทางเอาไว้

    ถ้าเราไปเอาสิ่งนั้นเข้ามาสิ่งนี้เข้ามา มันเคยทำแล้วมันก็จะเป็นลักษณะ อ้าว..แต่ยังทำ หรือแต่ก่อนทำแล้วก็ต้องทำต่อ เพราะฉะนั้นอันไหนที่ไม่จำเป็นเราตัดออกไปตั้งแต่ต้นแล้ว ใครมาเสนอให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่สร้างเสนาสนะให้หรูหราให้งดงาม เราก็ไม่เอา ที่มีช่อฟ้าใบฎีกามีอะไรหรูหราอย่างนี้

    เราต้องการแบบธรรมชาติ แบบอยู่กับดิน อยู่กับป่า เราจึงทำแบบให้เป็นการสอดคล้อง เพื่อให้เหมือนกับว่าปูทางเป็นระบบเอาไว้ เพื่อต่อไปคนรุ่นหลังมาอยู่เขาจะได้สานต่อ เรื่องของสติเป็นหลักเป็นอันดับหนึ่ง

    เรื่องอื่นๆ ถือว่า ถ้าเราไม่นำเข้ามามันก็จะไม่เป็นประเพณี ถ้านำเข้ามานี้เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม เป็นลักษณะเคยทำก็ต้องทำต่อ ฉะนั้นอันไหนที่ไม่ใช่หรือเป็นส่วนเกิน เราก็ตัดออกไป จึงไม่มีพิธีกรรมอะไรยุ่งเหยิง

    แม้แต่จะอะไรมากๆ มากเรื่องก็ไม่เอา แม้แต่สงกรานต์ คนจะมาสรงน้ำอาตมา อาตมาก็ไม่เอา แม้แต่จะมาวันเกิดวันอะไรจะมาอวยพรอะไรก็ไม่เอา เอาธรรมดาๆ ถือว่าเอาสติเป็นหลัก อันไหนที่ไม่ใช่สติก็เป็นส่วนที่เราไม่จำเป็น เป็นลักษณะนั้น

    หลวงปู่เทียนท่านวางแนวทางวางโครงสร้างไว้ดี หน้าที่เราคือ มีการปฏิบัติให้เราหลุดพ้น คือให้เอาตัวเอาใจเรารอด ท่านปูทางปูเส้นทางหรือรูปแบบของการปฏิบัติไว้ชัดเจนไว้ดีที่สุดแล้ว

    เพียงแต่เรามาสานต่อเจตนานั้น เพื่อให้เป็นลักษณะสายตรง เป็นลักษณะที่ไม่เนิ่นช้า เป็นการที่จะไปในเส้นทางที่ให้ทันกับชีวิตในชีวิตนี้ คือไม่ต้องรอเอาชาติหน้า เอาในชีวิตนี้ ในเวลาอันใกล้นี้

    ในช่วงนี้ เราจะต้องกลับมาที่ตัวรู้สึก การกลับมาที่ตัวรู้สึกได้เป็นคุณสมบัติพิเศษ จะมีอะไรเกิดเราก็พึ่งตนเองได้ เรียกว่าเป็นธรรม

    ฉะนั้นวันพรุ่งนี้ใครจะเก็บก็เก็บ ใครไม่เก็บก็มาทำวัตร ส่วนหลวงพ่อเองก็ผสมผสาน เพราะว่าเราก็ปฏิบัติพอใช้ได้แล้ว ก็เลยสามารถที่จะช่วยหมู่คณะช่วยเพื่อนได้ ก็เลยผสมผสานให้กับพวกเรา ใครพร้อมก็เก็บ ใครไม่พร้อมก็ทำกิจวัตรธรรมดา ต้องมีการผสมผสานกันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน

    ใครมีอะไรสงสัยหรืออยากจะสอบถามอะไรก็ถามได้ทุกเวลา เหมือนกับว่างานหลักของเรา คืองานกรรมฐาน งานหลักของเราถือว่าเป็นงานอันดับหนึ่ง คือกรรมฐาน ส่วนงานอื่นๆ ก็เป็นเรื่องรอง เรื่องเหตุปัจจัยมากับธรรมชาติ มากับสิ่งอะไรเราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สองที่สามไปลักษณะนั้น.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service