แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ทางเดินไปสู่ญาณปัญญา
เป็นเช้าวันใหม่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เป็นวันจันทร์ วันไหนๆ เราก็ปฏิบัติ คือการปฏิบัติเป็นชีวิต การปฏิบัติเป็นการพัฒนาหรือเป็นการวิปัสสนา เพราะว่าปฏิบัติกรรมฐานจะเกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง คือการชำระจิตให้ขาวรอบ เป็นวิปัสสนา
จึงเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นวันไหน ตื่นจากการหลับ ตื่นจากการนอน ตื่นจากการพักผ่อน เราก็มีการปฏิบัติตั้งแต่ตื่น ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เช้าถึงเย็น เรียกว่าอยู่กับการปฏิบัติ ทำไฉนเราถึงจะได้สัมผัสกับสติ
สติคือความรู้สึก สติคือความระลึกรู้ สติคือการชำระจิตใจให้ผ่องใส ให้เป็นปกติ ให้เป็นกลางๆ เรียกว่าสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้นการที่เราปฏิบัติก็เพื่อที่จะให้เป็นจิตปกติ
การที่เรากำหนดสติรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน เพื่อจะให้มีการเกิดสติที่แนบแน่นอยู่กับชีวิต เหมือนกับว่าเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต เป็นเครื่องที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตเรา เรียกว่าสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นสิกขาและธรรมคือการที่เรามีสติ
การมีสติก็เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต อยู่กับชีวิต ถ้าชีวิตไม่มี ขาดแคลน เหมือนกับหิวก็เป็นความหลงความเหน็ดเหนื่อย เหมือนกับว่าไม่สมบูรณ์ เราจึงต้องมีการให้สติเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิต คืออยู่กับชีวิตเราตลอด
ตลอดเวลา คือเคลื่อนไหวอิริยาบถ เราจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอิริยาบถไหน ก็ให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพื่อให้มันต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่เช้าจดเย็น คือ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู เป็นผู้เห็น เป็นผู้ที่สัมผัสกับความรู้สึกระลึกรู้ เป็นผู้มีสติปัฏฐาน เพื่อจะได้จิตใจเป็นสมาธิ
สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว ท่านว่า “โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อโสกัง วิรชัง” เป็นจิตที่ตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว แม้กระทบกับโลกธรรม 8 ท่านเรียกว่าเป็นจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว “อโสกัง” เป็นจิตไม่เศร้าโศก “วิรชัง” เป็นจิตไร้ธุลีกิเลส “เขมัง” เป็นจิตเกษมศานต์ เป็นจิตที่เป็นมงคล
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมของเรา เราเรียกว่าทำด้วยตัวเรา “ทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามสติกำลัง” ทีนี้มันก็อยู่ที่สติกำลัง เหมือนกับว่าอยู่ที่แรง เหมือนกับเรามีแรงกายเท่าไหร่เรายกของได้เท่าไหร่ มันก็อยู่ที่แรงอยู่ที่การยกสิ่งนั้นๆ ได้ เรียกว่าตามสติกำลัง
การที่เราฝึกมันพัฒนา มันพัฒนาทำให้เกิดการเข้าถึง หรือเกิดมีแรงมีกำลังมีพละในการที่จะเข้าไปจัดสรร หรือเข้าไปชำระจิต หรือเข้าไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ มันพัฒนามากทางด้านจิตใจ ทางด้านร่างกายยังมีขอบเขตที่จำกัด เช่นเราเคยยกน้ำหนักได้เท่านี้เรามีแรงเท่านี้ส่วนมากก็อยู่ในระดับนั้น
แต่ทางด้านจิตใจนี้พัฒนาได้ เรียกว่าไม่จำกัดบุคคล ไม่จำกัดกาลเวลา ไม่จำกัดสถานที่ คนตัวผอมๆ แต่ก็อาจจะมีแรงทางด้านจิตใจมาก มีแรงทางด้านที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างฉับพลัน เพราะสติตัวนี้มันพัฒนาขึ้นสู่ระดับสูง ขึ้นสู่ระดับอริยะบุคคลได้
จากความเป็นปุถุชน ขึ้นสู่อริยะบุคคล แปลว่าผู้ที่พ้นไป หรือผู้ที่มีพละมีกำลังในการที่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้อย่างฉับพลัน ได้อย่างหมดจด ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะสิ่งต่างๆ มันก็เกิดต่อเนื่องโดยธรรมชาติ
เรามีกาย มีใจ มีอายตนะ มีสิ่งแวดล้อม มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกระทบ มีสิ่งที่รับรู้ต่างๆ ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางกายทางใจทางอายตนะทางผัสสะต่างๆ มันก็รับเข้ามาตามธรรมชาติ กายก็มีหน้าที่ ใจก็มีหน้าที่ ตาหูจมูกก็มีหน้าที่ ทีนี้ตัวชำระจิตคือตัวสติ ตัวสติที่เราเรียกว่าสติปัฏฐาน
คือสติปัฏฐานจะมีความชัดเจน หรือมีความแม่นยำ หรือมีความเป็นคุณธรรมที่มีประกอบกันขึ้นมา เป็นสติที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมหรือสัจธรรม มันก็เลยทำให้แยกแยะสิ่งที่ดีสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่เป็นธรรมสิ่งที่ไม่เป็นธรรมได้
ฉะนั้นการที่เราทำหรือเกี่ยวข้องกับสติปัฏฐาน จะเป็นไปในทางของความเป็นธรรม ความเป็นปกติ มันจะมีบรรทัดฐาน คือมีเครื่องวัด มีความที่เรียกว่าระดับของสติปัฏฐาน
ระดับไหนที่เราว่าจะอยู่ในขอบเขตที่เป็นกลาง ที่เป็นธรรม ที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือเป็นไปเพื่อชำระจิตให้ผ่องใสเบิกบาน มันจะมีระดับ เหมือนกับมีขีดมีเส้นแบ่ง หรือมีความเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนอยู่ สัดส่วนทางด้านนี้เป็นฝั่งนี้ สัดส่วนทางด้านนี้เป็นฝังนี้เป็นฝั่งกุศลเป็นฝั่งอกุศล มันก็จะมีระดับ
เพราะฉะนั้นการที่เรามีสติปัฏฐาน เป็นสติเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อชำระจิตให้เป็นการเรียกว่าหมดจด “เป็นธรรมแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ”
ฉะนั้นในการที่เราฝึก ฝึกจากการอยู่กับปัจจุบัน เหมือนกับว่ากำหนด หรือว่าสัมผัสกับความรู้ตัว สัมผัสกับสติ เราจึงถือว่าทุกอิริยาบถ ทุกขณะ คือการสัมผัสรู้ได้ ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่
ขณะกำลังนั่ง ขณะกำลังเดิน ขณะกำลังนอน ขณะกำลังคู้เหยียดเคลื่อนไหว การสัมผัสแม้เพียงราตรีเดียว แม้เพียงขณะเดียว ในขณะนั้นๆ ท่านเรียกว่าเป็นสัจธรรมที่น่าชม เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม
เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราเลยกลับมาเริ่มต้นใหม่ กลับมาเริ่มต้นที่กาย “กายานุปัสสนา” เห็นกายในกาย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรก็กลับมาตั้งอยู่ตรงนี้เลย ไปไหนมาไหนก็กลับมาตั้ง เริ่มต้นคือ “กายานุปัสสนา” คือการเริ่มต้นที่ความรู้ตัว ที่การสัมผัสรู้ ทีนี้การสัมผัสรู้ก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญ ขึ้นอยู่กับความเป็นสัจธรรม
คำว่าสัจธรรมคือ จะรู้ระดับไหนถึงจะเป็นความเหมาะสมในช่วงขณะนั้น ในเวลานั้น หรือในสิ่งที่มันเกี่ยวข้อง สิ่งที่กำลังเป็นอยู่มีอยู่ขณะนั้นๆ จะรู้สึกตัวแบบชัดไปที่กายา หรือจะรู้ไปที่จิตใจด้วย หรือจะรู้เห็นตัวที่กำลังคิดกำลังนึก มันจะเป็นอัตโนมัติ เขาเรียกว่าเป็นการทำหน้าที่ของปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ
ท่านจึงเรียกว่าเป็นปัญญาญาณ มันจะแยกว่าช่วงนี้ไม่มีอะไร ไม่มีสิ่งแวดล้อมกระทบกระเทือนอะไรมาก มันก็รู้ได้โดยตรงมาที่กาย ช่วงนี้มีสิ่งแวดล้อม หรือมีเหตุปัจจัยภายนอก ต้องพูดต้องคุยต้องมีการทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอก มันก็จะแบ่งไปดูกาย ดูจิต ดูคิด ดูธรรมชาติ มันจะเป็นไป ท่านถึงเรียกว่า “เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ”
ในการปฏิบัติธรรมเราก็เลยอาศัย การสัมผัสมาที่ความรู้สึกตัว มาที่กายานุปัสสนา “กายานุปัสสนา” คือเห็นกายในกาย “เวทนานุปัสสนา” เห็นเวทนาในเวทนา “จิตตานุปัสสนา” เห็นจิตในจิต “ธรรมมานุปัสสนา” เห็นธรรมในธรรม ท่านเรียกว่าเป็นธรรมที่เป็นทางอันเอก “เอกายโน ภิกขเว” หนทางนี้เป็นหนทางอันเอก
เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราก็สัมผัสตัวรู้สึกตัวสติได้ สติก็พัฒนาขึ้นไปชำระจิตชำระใจ เพราะว่าการที่ชำระได้เพราะมันมองเห็น ไม่ใช่หลับหูหลับตา มันเป็นลักษณะเห็น เห็นสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกาย เกี่ยวข้องกับจิต แม้แต่เห็นความคิด ความคิดก็ผุดขึ้นมา
หรือมันก็เกิดขึ้นแต่ละขณะ มันก็มาเกี่ยวข้องกับจิต เห็นความคิด เห็นอารมณ์ เห็นสภาวะ เห็นอาการ มันจะเป็นลักษณะมีตัวคัดกรอง หรือมีตัวแยกแยะ หรือมีตัวที่จะไปปลดเปลื้อง หรือไปชำระ หรือไปจัดสรร ให้เป็นความเป็นธรรมเกิดขึ้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นญาณของปัญญา คือเป็นปัญญาที่เกิดจากภายใน
คำว่าญาณปัญญา คือสิ่งที่เกิดจากการสะสมของสติปัฏฐาน ของสติหรือของการมีสัมปชัญญะ มีสติมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว ความระลึกรู้ แล้วมันก็จะรวบรวมไปเป็นญาณของปัญญา คือเป็นปัญญาที่เกิดขึ้น รู้ทันสิ่งที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ
มันจะไปจัดสรร หรือเห็นว่าส่วนนี้มาจากไหน มาจากกาย หรือมาจากใจ หรือมาจากวาจา หรือมาจากการเกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิด มันจะมีตัวเรียกว่าตัวทำหน้าที่ เรียกว่าเป็นการมองแบบปัญญาญาณ การมองแบบว่า รู้เท่ารู้ทันรู้กันรู้แก้ไปในตัว
ในการปฏิบัติธรรมจึงเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดเป็นสติปัฏฐาน เพื่อให้เกิดเป็นปัญญาญาณ เพื่อให้เกิดเป็นความเขาเรียกว่า รู้ประจักษ์ รู้แบบเข้าไป ไม่มีสิ่งที่จะบดบังหรือลังเลสงสัย
กระทำด้วยกาย ทำด้วยวาจา ทำด้วยใจ ระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นธรรม ระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นกลาง ระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นการพ้นไปจากสิ่งที่จะนำไปสู่ทาง หรือนำไปสู่การกระทำต่างๆ ก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า เห็นด้วยปัญญา
เรียกว่าเมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด” เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง”
คือต้องเห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งต่างๆ เป็นไปในทางไหน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นลักษณะนั้นได้ต้องเกิดมาจากการเรียกว่า มีสติ สติจะไปโน้มนำเอาการเห็นประจักษ์ต่างๆ เรียกว่า “เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ”
หรือสติก็จะทำหน้าที่ ไปให้เกิดคุณธรรมต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้อง ท่านจึงเรียกว่า สติเป็นเหมือนแม่ของธรรม สติเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่
เมื่อมีสติแล้วมันก็ดึงเอาคุณธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรม หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นปกติของจิต มันจะรู้ว่าธรรมเหล่าไหนเป็นไปในทางด้านไหน ทางด้านที่จะเกิดวิบาก คือเกิดกรรมเกิดการกระทำ หรือเกิดเป็นกุศลอกุศล มันจะมีญาณตัวที่จะคัดกรองอีกทีหนึ่ง
ตัวญาณปัญญานี้คือตัวที่จะคัดกรอง เหมือนกับตัวที่จะนำทาง หรือตัวที่จะเป็นโครงสร้าง เพื่อให้ตัวปัญญาหรือตัวที่เป็นการกระทำเดิน เหมือนกับว่าเป็นการมองล่วงหน้า หรือมองไปเห็นเส้นทางที่จะทำให้เป็นการถูกต้อง เป็นธรรม มันก็จะวางโครงสร้างเอาไว้แล้ว
ส่วนการกระทำ หรือการเกี่ยวข้องแต่ละขณะ ก็จะเป็นปัญญา เป็นสติ ที่เดินไปตามเส้นทางที่ญาณปัญญาไปกำหนดไปเห็นแล้ว เรียกว่าเกิดความเป็นความสำเร็จ หรือความเป็นธรรมเกิดขึ้น.