แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ได้อะไรหรือไม่ได้อะไรก็กลับมาที่ตัวรู้สึก
เช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เป็นวันดี วันดีคืนดีก็อยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราดีถ้าใจเราไม่มีทุกข์ถ้าใจเราเป็นปกติก็เป็นวันดีทุกวัน วันไหนๆ ก็ดี เช้าสายบ่ายเย็นถ้าใจไม่มีทุกข์ก็ดีทุกๆ วัน ฤกษ์ดียามดีเคราะห์ดีวันดีคืนดี ก็อยู่ที่ใจ
ถ้าใจมีทุกข์ถ้าใจมีปัญหาถ้าใจไม่สงบก็เป็นการต้องแก้ไข ทีนี้การแก้ไขจิตใจมันเป็นด้านภายใน คือคำว่าใจมันอยู่ภายในกาย มันอยู่ภายในด้านในของชีวิต ถ้าเราแก้ไม่ถึงหรือเข้าไม่ถึงหรือการแก้ไม่ตรงจุด มันก็จะไม่หลุดไม่พ้น
คือไม่เบาไม่โล่งไม่ปลอดโปร่งไม่สบาย เพราะมีความขุ่นมัว มีความเศร้าหมอง มีความขัดแย้ง มีความลังเล ก็คือสับสนวกวน วิตกกังวลเศร้าหมอง มันจะเป็นลักษณะที่อยู่คู่ เป็นของคู่ ระหว่างใจ ระหว่างความคิด ระหว่างอารมณ์ ระหว่างสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น กับความเป็นพุทธะ หรือความผ่องใส หรือเบิกบาน
แต่การที่เรามาแสวงหาหรือการที่เรามาชำระ มาชำระจิตใจหรือมาภาวนา ก็เป็นวิธีการเพื่อเข้าถึงจุดที่อยู่ด้านใน หรือส่วนที่จะไปชำระ หรือไปแก้ไข หรือไปปลดเปลื้องสิ่งที่ติดขัด สิ่งที่ครอบงำจิตของเรา ก็คือการเจริญสติ
การเจริญสติ เป็นการไปแก้ไข หรือไปชำระจิต หรือไปเติมสิ่งที่ทำให้จิตใจผ่องใส หรือทำให้จิตใจรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ สิ่งที่มาข้องแวะสิ่งที่มาเปรอะเปื้อนสิ่งที่มาครอบงำจิต เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติของจิตเรา มันถูกครอบงำ
สิ่งที่เป็นอุปทาน สิ่งที่เข้าไปยึดเข้าไปปรุงแต่ง หรือเข้าไปสำคัญมั่นหมายครอบงำมานาน คือเป็นไปตามสัญชาตญาณ จะมีลักษณะของการขุ่นมัวเศร้าหมอง หรือขัดแย้ง พอใจไม่พอใจ หงุดหงิดรำคาญ มันจะเกิด เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็เกิดอีกอยู่ลักษณะนั้น
เพราะฉะนั้นในลักษณะที่มันเกิด เขาเรียกว่าเป็นสัญชาติญาณ หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่าควบคู่ไปกับจิตกับใจกับชีวิต แต่มีวิธีการแก้ วิธีการแก้คือการเติมสติ การเติมสติก็คือเติมความรู้สึกระลึกรู้ สติแปลว่าความระลึกรู้ สัมปชัญญะแปลว่าความรู้ตัว
ฉะนั้นการที่เราเติมสติสัมปชัญญะ คือเพื่อที่จะให้จิตใจของเราเป็นลักษณะไปไล่ เติมสิ่งที่เป็นปกติเข้าไปไล่สิ่งที่ไม่ปกติ เติมสิ่งที่ดีสิ่งที่สะอาดเข้าไปไล่สิ่งที่เปรอะเปื้อนสิ่งที่สกปรก ก็จะเติม เติมด้วยความรู้ตัว
คำว่ารู้ตัวจึงเกี่ยวข้องกับความระลึกรู้ ท่านจึงเรียกว่า สติสัมปชัญญะ คือเรียกควบคู่กัน มีความระลึกรู้อยู่เสมอ แล้วก็ความรู้ตัวคือการสัมผัสรู้ ทั้งจิตใจน้อมนำแล้วก็ตัวที่เราสัมผัสรู้
ก็เลยกลายเป็นว่า สติสัมปชัญญะคือการกลับมาเริ่มต้น หรือกลับมารู้ตัว มันจะชำระไปในตัวของมัน มันจะเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าไปทดแทน หรือเข้าไปขับไล่ หรือเข้าไปอยู่แทนสิ่งนั้นที่เคยอยู่
ความไม่ผ่องใสความขุ่นมัวความเศร้าหมองจะเกิดขึ้น เมื่อเรามีสติ สติมันก็จะเป็นเจ้าของ คือคอยชำระคอยป้องกันคอยแก้ คอยที่จะดึงจิตเดิมกลับ ให้จิตเรานี้เป็นปกติ เราก็เริ่มต้นใหม่ การเริ่มต้นใหม่ก็คือ การกลับมาที่ความรู้ตัว
ฉะนั้นความรู้ตัวจึงเป็นหลัก เหมือนกับว่าเป็นที่ตั้งเป็นหลักให้กับจิตอยู่เสมอ เพื่อเราจะได้ไปดูส่วนที่เป็นอารมณ์ เป็นความคิด เป็นสิ่งที่เป็นกิเลส เป็นตัณหา เป็นอุปทาน เป็นกรรม เป็นวิบาก มันก็จะเกี่ยวข้องกับจิต
ที่จริงมันเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่มีสติเรามองไม่เห็น เราไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไร มีเหตุปัจจัยมาอย่างไร มาจากอะไรบ้างเราไม่รู้ เพราะเรายังไม่มีปัญญาญาณ หรือไม่มีตาภายใน เขาเรียกตาปัญญา ตาสติ ที่มันเป็นปัญญาญาณเกิด หรือเป็นสติสัมปชัญญะเกิด เราก็จะมองไม่เห็น
ฉะนั้นการฝึกก็เพื่อให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิต ในเมื่อเราจำเป็นต้องอยู่กับชีวิตจิตใจ ต้องอยู่กับรูปกับนาม คืออยู่กับกายอยู่กับจิต แล้วก็อยู่กับความคิด อยู่กับอารมณ์ อยู่กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับสมมุติ อยู่กับปรมัตถ์ ทีนี้เราก็จะต้องมาสร้าง สร้างตัวที่จะรู้เท่ารู้ทันรู้กันรู้แก้ คือการรู้สึก
ความรู้สึกตัวนี้ จึงเป็นลักษณะ เป็นเครื่องหมาย หรือเป็นนิมิต หรือเป็นที่ตั้ง เป็นลักษณะของการที่เราจะเป็นที่พึ่ง เป็นลักษณะของการที่เราจะสร้างให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นที่ตั้ง เป็นประธาน เป็นการเชื่อมต่อระหว่างกาย ระหว่างจิต ระหว่างความคิด ระหว่างอารมณ์ ระหว่างเหตุปัจจัยต่างๆ อาศัยความรู้ตัว เป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ เป็นที่ตั้งอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นการที่เรากำหนดรู้ จึงเป็นคุณค่าที่จะปลูกฝัง หรือที่จะเป็นที่ตั้งของชีวิต เป็นหลัก เป็นแกนกลางหลักของชีวิต สิ่งไหนจะทำอะไรก็มาเกี่ยวข้องกับที่ตั้ง เกี่ยวข้องกับหลัก
จะใช้ความคิดใช้เหตุใช้ผล เป็นอดีตเป็นอนาคตก็แล้วแต่ ก็ต้องมาเกี่ยวข้องกับความเป็นปัจจุบัน คือขณะ ขณะกำลัง ในการปฏิบัติธรรมของเราก็เลยมีการทำเป็นการกลับมา กลับมารู้สึก กลับมาเริ่มต้น ได้อะไรหรือไม่ได้อะไรก็กลับมาที่ตัวรู้สึก
ตัวรู้สึกจะจัดสรร ให้เกิดเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา คล้ายๆ กับว่าเป็นสูตร ท่านเรียกว่าสูตรสำเร็จ หรือสูตรที่มันจะเป็นไปตามธรรมชาติ เพียงแต่ว่าเราเติมตัวรู้เข้าไป ตัวหลงมันก็จะค่อยๆ เหมือนกับว่าไปทดแทน ไปไล่ หรือไปเป็นหลัก ตัวหลงมันก็จะถอยออก
กลับมารู้ตัวทีไร ตัวหลงมันก็จะถอยออก การที่เรามาเริ่มต้นที่ความรู้ตัว ที่กายานุปัสสนา คือดูกายในกาย ก็ดูด้วยการรู้ ดูด้วยการเห็น ดูด้วยการสัมผัส จึงเป็นความรู้สึกระลึกรู้ด้วย รู้ด้วยสัมผัสด้วย เป็นของจริง
เป็นสัจธรรมที่เป็นการทำหน้าที่ เขาเรียกว่าเป็นการมาประกอบ “โยคา เว ชายเต ภูริ” ปัญญาจะเกิดก็เพราะการประกอบ คือการประกอบหรือการมาตั้งไว้ที่ฐาน จะเป็นไปเหมือนกับว่า ตัวสติ เป็นอุปกรณ์ที่จะไปทำงาน ที่จะไปชำระจิต ที่จะไปทำให้จิตใจของเรานี้ผ่องใส
มันจะไปปรับแก้ทั้งหมดเลย ปรับแก้ความคิด ปรับแก้อารมณ์ ปรับแก้ความที่เขาเรียกว่ายึดมั่นถือมั่น ความเป็นอุปทาน ความเป็นสัญชาตญาณ มันจะไปปรับ การที่มันปรับนี้มันก็จะปรับทีละนิด เพราะว่ามันเป็นสิ่งซึ่งไปทดแทน หรือไปแก้ไข หรือไปชำระ
นอกจากชำระแล้วมันก็จะยังเป็นตัวแทน ตั้งไว้เพื่อป้องกันจากการไล่ออกแล้วก็ยังตั้งไว้ป้องกัน แล้วก็ยังสร้างความเป็นอุปนิสัยความคุ้นเคย หรือความเป็นธรรมชาติที่มันจะมีความเข้มแข็ง หรือจะมีการเติบโตจากการที่มันเริ่มตั้งเป็นเมล็ด เป็นต้นเล็กๆ แล้วก็จะเป็นใบเป็นดอก เป็นกิ่งก้านสาขา เป็นหมากเป็นผล เป็นร่มเป็นเงา มันก็เริ่มจากจุดเล็กๆ
ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมของเราก็เลยเป็นสูตร สูตรเพื่อการภาวนา สูตรเพื่อการพัฒนาจิต พัฒนาก็คือวิปัสสนาไปสู่ความเปลี่ยนแปลง จากสิ่งที่มันติดขัดคาค้างทำให้จิตใจเราไม่สงบ ก็จะเป็นลักษณะเติม เติมตัวรู้เข้าไป เติมสติ เติมตัวรู้สึกเข้าไป
ตัวรู้สึกก็เป็นลักษณะอยู่กับตัวเรา คือทั้งหมดของการปฏิบัติมันจะอยู่กับตัวเรา แต่ลักษณะของการปฏิบัตินี้ มันจะผุดจากด้านในออกมาสู่ด้านนอก หรือเกิดขึ้นกับกายกับใจของเราโดยตรง แล้วมันก็จะมาเกี่ยวข้องกับสมมุติ เกี่ยวข้องกับปรมัตถ์ หรือเกี่ยวข้องกับภายนอก
จากภายในออกมาสู่การเกี่ยวข้องกับภายนอกคือการกระทำ การพูด การคิดพวกนี้ก็อยู่ด้านใน เพียงแต่ว่าเรากลับมาหาเหมือนกับเป็นที่ตั้ง หาตาหาเหตุหาหลักเข้ามาใส่ในชีวิตเรา เพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนเข้าไปตรวจสอบแก้ไข เข้าไปชำระ เข้าไปทำให้จิตของเรานี้มีความมั่นคงแข็งแรง มีความเป็นปกติ มีความเป็นสุข
สุขแปลว่าไม่มีทุกข์ คือมีความเป็นธรรมเกิดขึ้น เป็นความยุติธรรม เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของสูตร เป็นเรื่องของการทำหน้าที่ เป็นเรื่องของเส้นทางธรรม
แต่เส้นทางธรรมที่เราได้ปฏิบัติมันเป็นเส้นตรง หรือเป็นสายตรง หรือเป็นเส้นทางที่เป็นไปกับธรรมชาติ คือมันเข้ากันได้ หรือมันไปเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับกาย กับจิต กับชีวิต กับธรรมชาติ
มันจะเป็นลักษณะเป็นสูตร ที่มีความเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งมีการค้นพบมาแล้ว 2,000 กว่าปีมาแล้ว มาสู่พวกเราที่เป็นยุคปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เข้าไปเรียนรู้ เข้าไปศึกษา เข้าไปภาวนาตามหลักของธรรมชาติ
ฉะนั้นการเจริญสติ เราก็เติมตัวรู้เข้าไปเรื่อยๆ ความรู้สึกมันจะไปเติบโต การเติบโตของความรู้สึกก็คือมันจะไปหยั่งรู้ คือมันจะไปดูด้านใน เกิดเป็นญาณ เกิดเป็นปัญญา ไปหยั่ง ไปรู้ ไปเห็น สิ่งที่อยู่ด้านในว่ามีอะไรบ้าง มาจากไหนมีอะไรเป็นที่ตั้ง แล้วก็จะแก้ แก้ที่จุดไหนแก้ที่ตรงไหนอะไรพวกนี้ มันเป็นปัญญาที่เกิดขึ้น
ปัญญาที่ว่านี้เกิดจากภายใน แม้แต่คำว่าต้นทางหรือพื้นฐานหรือหลักของการปฏิบัติ เราเจริญสติคือเรากำหนดรู้เข้าไป แล้วมันจะเกิดการประจักษ์แจ้งขึ้นมาจากภายใน
แม้แต่คำว่ารูปนาม คำว่ารูปนามนี้มันเกิดขึ้นมาจากการสัมผัสรู้โดยตรง ระหว่างการเห็นประจักษ์ว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุ สิ่งนี้เป็นอาการ สิ่งนี้เป็นรูป สิ่งนี้เป็นนาม มันเป็นลักษณะที่มันประจักษ์ หรือมันไปผุดขึ้นมา มันก็จะเป็นลักษณะมาจากภายใน
แม้แต่คำว่ามีสมาธิ มีปัญญา แม้แต่คำว่าการเห็นความคิด หรือการเกิด สิ่งที่จะไปชำระจิตพวกนี้เกิดมาจากภายใน แต่เราก็ผสมผสานระหว่างรูปแบบที่เป็นการสัมผัสได้ ด้วยกายานุปัสสนา คือสัมผัสได้ด้วยกาย เข้าไปลึกไปดูที่จิต เข้าไปดูอาการ เข้าไปดูธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่นั่นแหละ
แม้แต่ความคิด ความคิดมันผุดขึ้นมาอย่างไร มันจะดำเนินการบนเส้นทางของการที่จะเป็นความต่อเนื่องไปอย่างไร เราก็จะไปเห็น ไปเห็นตัวที่มันผุดมา
ทีนี้เรามีหลักเรามีฐานเรามีที่ตั้ง อะไรเกิดขึ้นเราก็จะเหมือนกับว่าไม่เปรอะเปื้อน เรามีหลักเหมือนเรามีบ้านอยู่ ฝนจะตกแดดจะออกน้ำจะท่วมเราก็อยู่บ้านเรา หรือมีสัตว์ร้ายมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เราก็มีที่อยู่ที่ปลอดภัย มีหลักที่มั่นคง
เราก็ดูไปเรื่อยๆ ในที่สุดสิ่งที่มันแสดง สิ่งที่มันเกี่ยวข้อง สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ มันก็จะไปรู้เหตุ เรียกว่ารู้เหตุรู้ผล เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นลักษณะนั้น.