PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • คิดอะไรไม่ออกก็กลับมาที่ความรู้ตัว
คิดอะไรไม่ออกก็กลับมาที่ความรู้ตัว รูปภาพ 1
  • Title
    คิดอะไรไม่ออกก็กลับมาที่ความรู้ตัว
  • เสียง
  • 14045 คิดอะไรไม่ออกก็กลับมาที่ความรู้ตัว /aj-kammai/2025-08-15-12-11-08.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพฤหัสบดี, 14 สิงหาคม 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ บ้านติ้ว ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • คิดอะไรไม่ออกก็กลับมาที่ความรู้ตัว

    เป็นเช้าวันใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568 เพราะฉะนั้นเราก็ได้ทำวัตรเช้า มีการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่สติ คือการปฏิบัตินี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสติ เพราะถ้าไม่มีสติแล้วก็เหมือนกับว่าการปฏิบัติธรรมเราไม่มีจุดหมาย เราไม่มีเครื่องหมาย เราไม่มีนิมิต

    เราใช้สติ เป็นนิมิตหรือเป็นเครื่องหมาย เพราะฉะนั้นคำว่าสติ เราจะหมายถึงความตัว ความรู้สึกตัวเป็นสติ ถ้าเราไม่ได้สัมผัสกับความรู้ตัวก็เรียกว่ายังไม่เป็นสายตรง ยังไม่ได้สัมผัสอยู่กับสติโดยตรง

    ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าสติคือความระลึก แต่ก็มีสัมปชัญญะแปลว่ารู้ตัว ทั้งระลึก ระลึกก็คือจิตใจฝักใฝ่ จิตใจจดจ่อ หรือจิตใจแสวงหา ก็เกี่ยวข้องกับความรู้ตัว คือระลึกรู้เพื่อที่จะรู้ตัว

    ทีนี้คำว่ารู้ตัวเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราไม่รู้ตัวแล้วมันก็จะเลื่อนลอย หรือมันจะวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่ง เรียกว่าวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งคือไม่ข้ามฝั่ง ไม่ข้ามไปสู่จุดหมาย ฉะนั้นเราจะทำมากทำน้อย ก็ต้องกลับมาที่ความรู้ตัว

    ความรู้ตัวนี้เป็นเครื่องหมาย หรือเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นนิมิต เป็นตัวที่จะให้เราได้สัมผัส สัมผัสด้วยใจ ถ้าเราสัมผัสด้วยใจหรือด้วยความรู้ตัวได้ คือประจักษ์แจ้ง คือรับรู้ด้วยใจเราเลย

    คำว่ารู้ตัว มันสำคัญตัวคำว่ารู้ตัว เพราะต่อไปเราจะได้ใช้ตัวรู้ตัวนี้ตลอด เหมือนกับว่าคิดอะไรไม่ออก ต้องกลับมาที่ความรู้ตัว หรือไม่ต้องคิดอะไร กลับมาที่ความรู้ตัวก็จะถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นตัวรู้ตัวนี้จะเป็นสิ่งที่เราได้สัมผัสอยู่เสมอ ยิ่งเราปฏิบัตินานไป ยิ่งเราปฏิบัติเพื่อการใช้งาน ยิ่งเราปฏิบัติที่จะให้เกิดผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราจึงจำเป็นต้องหาเครื่องทดแทน

    คือจิตใจเรากำลังโกรธกำลังหงุดหงิดอยู่ เราต้องหาเครื่องมาทดแทนตัวที่กำลังโกรธ ตัวที่จะทดแทนได้ไม่ใช่ความคิดคือเป็นเหตุเป็นผลพวกนั้นก็เป็นอีกด้านหนึ่งหรือเป็นอีกตัวหนึ่ง แต่ตัวที่จะเป็นแบบฉับพลันแบบเปลี่ยนแปลงได้โดยเด็ดขาดหรือโดยไม่เนิ่นช้า ต้องเป็นความรู้ตัว

    แค่เราสัมผัสความรู้ตัวได้เท่านั้น จิตใจเราก็จะเปลี่ยน เพราะธรรมชาติของจิตก็เป็นนามธรรม เมื่อเป็นนามธรรมมันก็สามารถที่จะเปลี่ยนได้อยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนจากความหงุดหงิดเป็นความไม่หงุดหงิด เป็นลักษณะที่เปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน

    อย่างเรียกว่าพอรู้ตัวเกิดขึ้นก็เปลี่ยน ไม่ต้องไปคิดว่าต้องเปลี่ยนต้องเปลี่ยน แค่เรากระดิกนิ้วหรือสัมผัสความรู้ตัวที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้ ก็จะทำให้จิตเราลัดตรงนั้นเข้าไปแทนที่ตรงที่มันกำลังโกรธ เหมือนกับมันเป็นตัวถ่ายเท เป็นตัวทดแทนกัน

    เราจึงไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปถามใคร หรือไม่ต้องไปหาที่ต่างๆ เรียกว่าอยู่กับตัวเรา อยู่กับปัจจุบัน อยู่ขณะกำลัง กำลังสัมผัสความรู้ตัวอยู่ ก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่ากลับมา กลับมาหาหลัก กลับมาหาฐาน หรือกลับมาเริ่มต้นใหม่

    ฉะนั้นความรู้ตัวนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคนใหม่หรือคนเก่า ถ้าเป็นคนใหม่ก็อาจจะยังไม่ชัดเจน หรืออาจจะหาว่าอะไรคือความรู้ตัว หรืออะไรคือสติ แม้แต่คนเก่าก็คือสิ่งนี้ที่หา หาตัวรู้ตัว

    ถ้าเราสัมผัสได้แบบไม่ลังเล ไม่สงสัย หรือแบบประจักษ์แจ้ง มันก็จะเรียกว่ามีความมั่นใจ หรือมอบความไว้วางใจให้กับการรู้ตัว เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลง หรือปรับแก้ หรือการที่จะกลับมาที่ฐาน จะปรับแก้ได้ทุกๆ ขณะ ทุกๆ เรื่อง จะเล็กจะน้อย จะเป็นลักษณะฝังมานานติดยึดมานานก็แล้วแต่

    ถ้าความรู้ตัวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นเหมือนสิ่งที่จะทำให้เกิดความสะอาด เกิดความเป็นปกติขึ้นมาทันที เหมือนกับสิ่งที่จะไปชำระ หรือไปขจัดสิ่งที่เปรอะเปื้อนสิ่งที่สกปรก เหมือนกับที่เราใช้เครื่องชำระล้าง ล้างถ้วยล้างจาน เหมือนกับไม้กวาดที่กวาดบ้าน ไม้กวาดไปที่ไหนฝุ่นหรือขยะก็จะออกจากที่ตรงนั้น

    เป็นลักษณะเป็นการไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดความสะอาด สะอาดหมายถึงความผ่องใส ความเป็นปกติของจิต เพราะฉะนั้นเรามีความสำคัญ มีความสำคัญอยู่ที่ความรู้ตัวนี้แหละ แม้เราจะใช้คำว่าสติ สติสัมปชัญญะ หรือฝึกสติ เจริญสติ แต่ตัวสติตัวสำคัญ

    ตัวสติคือตัวรู้ตัว ถ้าเราสัมผัสตรงจุดหมาย หรือได้สัมผัสโดยการประจักษ์ ประจักษ์คือสัมผัสมาที่ใจ ใจสัมผัสใจประจักษ์สิ่งนั้น ถ้าเราสัมผัสได้ ท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ หรือเป็นคุณธรรมที่จะไปชำระจิตใจของเราให้ผ่องใสกลับคืนมาทันที

    เพราะธรรมชาติของความรู้ตัวเป็นปกติ หรือมันเป็นกลางๆ มันเป็นอย่างที่มันมี ขณะที่เรากำลังสัมผัสความรู้ตัวมันเป็นสิ่งซึ่งไม่ฟูไม่แฟบ ไม่ไปซ้ายไปขวา แต่มันเป็นสายตรง คือตรงเข้าไปที่จิตก็กลายเป็นปกติของจิต

    ฉะนั้นเราจึงนำตัวรู้สึกตัวนี้เข้าไปสู่จิต หรือเข้าไปสัมผัสกับจิต ถ้าสัมผัสกับจิต สัมผัสกับความเป็นปัจจุบัน คือประจักษ์แจ้งด้วยใจของเรา ด้วยจิตของเราได้ มันก็จะเป็นถูกต้อง ถูกต้องอยู่เสมอ

    เราไปไหนมาไหน เราก็จะสัมผัสได้ จะไปบิณฑบาต จะไปทำงาน หรือจะอยู่ในสิ่งต่างๆ ซึ่งเราจะต้องกลับมาตรงนี้ ท่านเรียกว่ากลับบ้านเก่า หรือกลับที่อยู่ กลับสู่บ้านกลับสู่ที่ตั้ง จะต้องกลับ จะต้องรู้ จะต้องเห็น จะต้องสัมผัสตัวรู้สึกตัว

    ความหมายของการปฏิบัติทั้งหมดมันอยู่ที่ตรงนี้ มันอยู่ที่ตัวรู้สึก หรือตัวสัมผัสรู้ เราจะหาที่ไหนก็แล้วแต่ ข้ามน้ำข้ามทะเล เข้าป่าเข้าดงเข้าถ้ำ หรือไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนก็แล้วแต่ ต้องกลับมาที่ตัวรู้ตัว เพราะตัวรู้ตัวเป็นตัวไถ่ถอน หรือเป็นตัวชำระจิต หรือเป็นตัวที่ให้จิตเราตั้งมั่นเป็นปกติ

    ถ้าเรากลับมาตรงนี้ได้เมื่อไหร่มันจะไม่ลังเล หรือเป็นสิ่งซึ่งอยู่กับเราได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ปฏิบัติหรือไม่ใช่ที่ปฏิบัติ อยู่ในรูปแบบหรือนอกรูปแบบ อยู่ในการใช้อิริยาบถต่างๆ ยืนเดินนั่งนอน ถ้าเราสัมผัสความรู้สึกตัวได้มันจะเป็นอันเดียวกัน

    ทำที่ไหนก็อันเดียวกัน ทำที่วัด ทำที่บ้าน จะสัมผัสรู้เมื่อไหร่ก็เป็นอันเดียวกัน เพราะตัวรู้สึกมันเป็นการประจักษ์ขึ้นมาสู่จิตเรา เราจะรู้เมื่อไหร่ก็เป็นปัจจุบันเมื่อนั้น การที่เรารู้สึกสัมผัสรู้ เป็นสิ่งสำคัญของนักปฏิบัติธรรม จะเก็บอารมณ์หรือจะไม่เก็บอารมณ์

    หรือจะเป็นการทำแบบเคลื่อนไหว หรือกระดิกนิ้วมือ หรือกำมือพลิกมือก็แล้วแต่ กลับมาที่ความรู้ตัวได้ ถ้าเรากลับมาที่ความรู้ตัวได้ เราทำเล็กๆ น้อยๆ ก็สัมผัสได้ แค่เราเอามากระดิกนิ้ว หรือเอามือขยี้กัน นิ้วโป้งนิ้วชี้สัมผัสกันถูกัน แค่นี้ก็รู้ตั้วได้ เป็นลักษณะเท่ากับการเคลื่อนไหวแบบการทำของอิริยาบถที่มันเป็นอิริยาบถใหญ่ๆ

    ตัวเล็กๆ แต่ก็มีผลต่อการสัมผัสไปที่จิตได้เหมือนการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ใหญ่ๆ จะเป็นการลุก การเดิน การนั่งก็เป็นอิริยาบทที่เป็นหลักของธรรมชาติ อิริยาบถย่อยคู้ เหยียด เคลื่อนไหว กระพริบตา หายใจ ก็สัมผัสได้

    เมื่อเราสัมผัสได้เมื่อไหร่ เราจะกลับมาทันที แล้วเราจะได้อยู่กับธรรมะ อยู่กับสัจธรรม หรืออยู่กับอริยสัจ เป็นความจริงที่เรียกว่าเป็นความจริงที่ประเสริฐ เป็นเรียกว่าอาธิเลย อาธิศีลสิกขา อาธิจิตตสิกขา อาธิปัญญาสิกขา คือเป็นธรรมอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ประเสริฐ

    ฉะนั้นความรู้ตัวนี้ จากการสัมผัสรู้เล็กๆ น้อยๆ จากการสัมผัสรู้ทีละขณะๆ แต่มันก็สัมผัสได้ทุกๆ ขณะ ทุกเวลา เช่นเรากระดิกนิ้ว ในขณะกำลังสัมผัสอยู่นี้ เราก็รู้ ต่อไปเรากระดิกนิ้วที่ไหน เราก็รู้ เราสัมผัส

    เดินจงกรม เราจะเดินอยู่ที่ไหน เราก็รู้ จะเดินไปในรูปแบบโดยจงกรม หรือจะเดินไปข้างนอกจะเดินไปตลาด จะเดินไปสู่การเคลื่อนไหวในอิริยาบทไหน เราก็จะไม่ลังเล

    การที่เราไม่ลังเลไม่พะว้าพะวังไม่หันรีหันขวาง เขาเรียกว่ามั่นคง เป็นจิตใจที่ตั้งมั่น เป็นจิตใจที่เรียกว่ามีที่ตั้งหรือมีหลัก อยู่ที่ไหนเราก็จะใช้ตรงนี้ จะอยู่ในรูปแบบหรือนอกรูปแบบ จะอยู่ในวัดหรืออยู่ในบ้านก็ได้ เพราะตัวรู้ตัวเป็นการประจักษ์ด้วยใจ

    ทีนี้การรู้ตัวบางทีเราก็ต้องทำให้เกิดความชำนาญ เพราะถ้าไม่ชำนาญแล้ว เวลาไปกระทบกับสิ่งที่มันเป็นเหมือนว่ามันจะดึงใจเราได้แรงได้ไว ตัวรู้ตัวถ้ามันไม่ชัดเจนไม่ประจักษ์ชัด มันก็จะดึงใจไม่อยู่

    เพราะตัวที่ดึงใจตัวที่เกิดจากการกระทบ ตาเห็น หูได้ยิน หรือเกี่ยวข้องกับเหตุสมมติต่างๆ เช่นเราไปเข้าร่วมในพิธีในลักษณะของสิ่งที่เป็นหมู่เป็นคณะ บางทีอาจจะทำให้จิตใจเราไม่นิ่งไม่สงบ หรือไม่อยู่กับความเป็นปกติ เพราะฉะนั้นถ้าความรู้สึกตัวไม่ชัดเจน ไม่เเม่นไม่ตรงหรือไม่ประจักษ์ พวกนี้ก็จะดึงใจเราไม่อยู่ เพราะตัวรู้สึกตัวมันตัวเล็ก แต่ตัวคิด ตัวอารมณ์ ตัวกระทบมันใหญ่

    แต่ถ้าเราฝึกจนมันเกิดสัมผัสประจักษ์ขึ้นมาได้ จะใหญ่แค่ไหน ตัวรู้สึกตัวก็แก้ได้หมด เขาเรียกไถ่ถอนได้หมด เพราะความรู้สึกตัวมันเป็นสายตรง มันตรงเข้าไปที่ใจเราโดยตรง

    จะกำลังโกรธ กำลังหงุดหงิด กำลังกระทบ สับสนวุ่นวาย แต่ถ้าเรากลับมาที่การสัมผัสนิ้วมือ การกระดิก การเคลื่อนไหว รู้ตัว กระพริบตาหายใจได้แบบสายตรง หรือแบบประจักษ์แจ้งได้ มันก็จะชัดเจน ใจตัวที่กำลังหมกมุ่นคุกกรุ่นหรือกำลังถููกลากจูงอยู่นั้น ก็จะกลับมา

    กลับมา กลับมาเรื่อยๆ ในที่สุดความเข้มข้นของอารมณ์ ของสิ่งที่จะลากจูงจิตก็จะเบาบางลงไป เพราะเรามั่นใจว่าเป็นหลักเป็นฐาน เป็นที่ตั้ง เราไม่ลังเล ไม่ไปพะว้าพะวัง ไม่ไปหันรีหันขวาง

    ตรงมาที่ตัวรู้สึกตัว ก็จะได้คำตอบ ก็จะได้หลักการ ที่มีความเปลี่ยนแปลงของจิตได้ทันที จิตเราก็จะเป็นลักษณะเริ่มต้นใหม่ ด้วยความเป็นปกติ หรือด้วยความเป็นกลางๆ ไม่ต้องไปตามที่อื่น กลับมาทีหลักทันที นี้คือหลักของการปฏิบัติ.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service