PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • ลักษณะรู้แบบลูกโซ่
ลักษณะรู้แบบลูกโซ่ รูปภาพ 1
  • Title
    ลักษณะรู้แบบลูกโซ่
  • เสียง
  • 13972 ลักษณะรู้แบบลูกโซ่ /aj-kammai/2025-06-17-11-25-47.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 17 มิถุนายน 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ จ.เลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ลักษณะรู้แบบลูกโซ่

    พูดถึงการปฏิบัติธรรมกัน การปฏิบัติธรรมก็คือการทำ ทำคือทำด้วยความตั้งใจ คำว่าตั้งใจคือทำด้วยเจตนา หรือทำด้วยความสัมผัสที่ความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเกี่ยวข้องกับมีความจริงใจ คือตั้งใจในการปฏิบัติ เอาใจใส่แบบการเข้าไปเกี่ยวข้อง แบบสัมผัสรู้ก็คือปฏิบัติ

    คือการปฏิบัติธรรมถ้าเราไม่ตั้งใจ หรือไม่เอาใจใส่ ก็จะเป็นลักษณะที่มันยังไม่เข้าลึกไปถึงใจ คือเป็นลักษณะที่ไม่ได้สัมผัสรู้ มันก็จะไม่ได้ไปสู่จุดสำคัญ คือจุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทางก็คือใจ

    เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติคือ การสัมผัสรู้จากกายเข้าไปสู่ใจ จึงมีความตั้งใจในการที่จะให้รู้สึก หรือให้สัมผัสรู้ การสัมผัสรู้คืออาศัยการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวกายเราจึงมีรูปแบบของการเคลื่อนไหว การใช้มือ ใช้เดิน ใช้นั่ง ใช้อิริยาบถต่างๆ ก็เป็นการเคลื่อนไหว

    แต่การเคลื่อนไหวก็เป็นการเคลื่อนไหวโดยเจตนา หรือมีการหยั่งไปถึงความรู้ขณะเคลื่อนไหว คือเราเคลื่อนไหวแต่เรามีเจตนาที่จะให้เกิดความรู้สึกตัว คือเคลื่อนไหวแบบเป็นหลักของการปฏิบัติ คือเคลื่อนไหวแล้วให้รู้สึก

    ฉะนั้นจุดสำคัญของการปฏิบัติคือ ความรู้สึกตัว เพราะถ้าเราเคลื่อนไหวไม่รู้สึกตัว คือไม่เน้นไปที่ความรู้สึกตัว มันก็จะเป็นการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ คือสิ่งมีชีวิตเราก็เคลื่อนไหวอยู่แล้ว การยืนเดินนั่งนอนคู้เหยียดเคลื่อนไหว เราก็มีมาตั้งแต่เกิด

    แต่ว่าการปฏิบัติธรรมมันเป็นเจตนาในการเคลื่อนไหว เพื่อที่จะให้สัมผัสความรู้สึกตัว เป็นจุดสำคัญของการเคลื่อนไหว คือให้รู้สึกตัว จะเป็นลักษณะเคลื่อนไหวแล้วได้รวบรวมเป็นสติปัฏฐาน หรือได้รวบรวมเป็นสติภาวนา

    การที่เรารู้สึกอยู่กับปัจจุบันก็อาศัยเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวคือเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเราก็รู้สึกอยู่กับการเคลื่อนไหวไปในอิริยาบถต่างๆ จากการเคลื่อนไหวในรูปแบบ จนการเคลื่อนไหวนอกรูปแบบ

    คำว่าเคลื่อนไหวในรูปแบบ คือ เคลื่อนไหวด้วยการกำหนดการสร้างจังหวะ หรือการเดินจงกรม เป็นรูปแบบของการปฏิบัติ

    ส่วนการเคลื่อนไหวนอกรูปแบบ เช่น เราเดินไปที่ต่างๆ หรือเราหยิบจับอะไรต่างๆ ที่เราต้องทำงานทำหน้าที่เกี่ยวข้อง จะหยิบน้ำหยิบขวดหยิบแก้วหรือจะหยิบอาหาร หรือจะอะไรพวกนี้ ก็เกี่ยวข้องกับความรู้สึกตัวได้ เพราะเป็นการเคลื่อนไหวแล้ว เรารู้อาการคือสัมผัสรู้ แล้วก็รู้ที่ใจ

    การเคลื่อนไหวแล้วเรารู้สึก คำว่ารู้สึกจะเข้าไปถึงใจ ถ้ารู้สึกตัวก็คือใจ ใจเป็นตัวที่จะรับรู้ถึงความรู้สึก ถึงอาการที่มันรู้สึก เพราะฉะนั้นเราเคลื่อนไหว เรารู้สึกตัวเราถึงจะเข้าถึงใจ

    ถ้าเคลื่อนไหวไม่รู้สึกตัวแล้ว มันก็คือเคลื่อนไหวแบบไม่ได้ลึกเข้าไปสู่จุดหมาย อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความคุ้นเคยความคุ้นชินต่อการเคลื่อนไหว หรือโดยธรรมชาติก็เคลื่อนไหวอยู่แล้ว แต่ทีนี้เราก็เลยทำเพื่อให้ รู้ตัวขณะกำลังเคลื่อน ขณะกำลังไหว ขณะกำลังหยิบกำลังจับ

    ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมส่วนมาก จะลักษณะที่เราจะต้องทำให้ช้าลง แม้แต่การเดิน การนั่ง การกราบ การทานอาหาร หรือการหยิบจับ พวกนี้ก็ต้องให้รู้สึกตัว ถ้าเรารู้สึกตัวถ้าเราสัมผัสความรู้สึกตัวได้ ถึงแม้จะช้าแต่ว่าเราตรงเป้าหมาย

    คือได้จุดที่มันตรงจุดหมาย มันก็จะเป็นลักษณะไม่ได้เคลื่อนไหวฟรีๆ คือเป็นลักษณะเติม เติมตัวรู้สึกตัวไปด้วย รู้จักรู้สัมผัสไปด้วย จะเป็นลักษณะเป็นทางตรง แบบว่าเป็นทางตรง ทางที่จะไปสู่จุดหมายของการรู้แจ้ง หรือของการแจ้งประจักษ์

    เพราะว่าการรู้แจ้งประจักษ์นี้คือ รู้ในสิ่งที่ใจเราเกี่ยวข้อง ทีนี้ใจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นสภาวะอาการ สิ่งที่เป็นความคิดอารมณ์ สิ่งที่เป็นความนึกคิดต่างๆ จะเป็นลักษณะที่เราเคลื่อนไหวอยู่ภายใน

    ซึ่งโดยธรรมชาติ การเคลื่อนไหวภายในก็มีอยู่เป็นประจำ หรือเป็นธรรมชาติที่มีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เหมือนกับการเคลื่อนไหวทางกายโดยธรรมชาติเราก็เคลื่อนไหวอยู่แล้วตั้งแต่เกิด ทีนี้โดยธรรมชาติการเคลื่อนไหวภายในก็มีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด

    เพราะฉะนั้นการที่เราเคลื่อนไหว แล้วเรารู้สึกตัว จะเป็นการเข้าสู่หมวดหมู่ของการปฏิบัติ เข้าสู่หลักของการปฏิบัติ ฉะนั้นเมื่อเราอยู่กับปัจจุบันได้ เราก็ต้องรู้สึกตัวได้ ความรู้สึกตัวได้เรียกว่าเป็นการสัมผัสรู้

    ฉะนั้นถ้าเรารู้จักกับคำว่ารู้สึกตัว จะเป็นลักษณะมีญาณขนส่ง หรือมีญาณที่จะนำไปสู่ปัญญา เหมือนกับว่ามีตัวยานพาหนะที่เราเรียกว่ายานนอหนู แต่ว่าญาณเป็นพาหนะนำความรู้จากการรู้สึกไปรู้สู่ใจ

    พอรู้สึกตัวสึกใจบ่อยๆ เข้า ก็จะเป็นการรู้ในสภาวะต่างๆ เขาเรียกว่ารู้รอบด้าน คือรู้ถึงการที่จะเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่เป็นเรื่องของใจ เรื่องของธรรมะ

    เพราะฉะนั้นเรามารู้สึก แล้วก็จะเห็นการนึกการคิด หรือการที่เราจะเห็นอาการต่างๆ เช่น เห็นความโกรธ เห็นความดีใจ เห็นความเสียใจ เห็นความหงุดหงิด เห็นความรำคาญ เห็นสิ่งที่มันแสดง คือสิ่งต่างๆ มันแสดงอยู่ทุกเวลาเหมือนกัน เหมือนกับการเคลื่อนไหว

    คือธรรมชาติมันมีสภาวะอาการทุกขณะ เพียงแต่ว่าเราจะมีตัวที่จะไปรู้ไปเห็น มีตัวที่จะไปรู้ตามความเป็นจริง หรือรู้ประจักษ์ หรือรู้ขณะ ทีนี้มันรู้มันแบบกายใจ รู้ไปถึงพวกอาการของใจที่เป็นเวทนา เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่ารู้แบบเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ที่เรารู้อาการ เห็นอาการ คือเห็นธรรม

    เห็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า คือเห็นอาการที่มันเกิดเฉพาะหน้า เช่น เห็นหงุดหงิด เห็นความรำคาญ เห็นความดีใจ เห็นความเสียใจ มันเกิดแล้วเราก็เห็นขณะมันเกิด ท่านเรียกว่า “เห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ อยากแจ่มแจ้งไม่งอนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้”

    เมื่อเราเห็นเราก็พอกพูน คือเห็นต่อไป “เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้” คือเห็นตัวต่อไป เห็นตัวขณะกำลัง กำลังเป็น กำลังมี ท่านเรียกว่าเห็นขณะที่มันเกิด จะเห็นลักษณะที่เห็นอาการ คือเราเน้นไปที่การเห็นภายใน แต่การเห็นภายในจะเกิดขึ้นก็ต้องมาเกี่ยวข้องกับความรู้ตัว

    เพราะฉะนั้นถ้าการปฏิบัติเรารู้ตัว เราสัมผัสความรู้ตัวได้ในแต่ละอิริยาบถ คือไม่ถึงกับรู้ทุกขณะอิริยาบถก็ตาม รู้เป็นครั้ง รู้เป็นระยะ หรือรู้บ้าง ก็ยังถือว่ารู้ เพราะมันก็ไม่ได้ห่างไกลกัน คือไม่ใช่ว่ารู้ตอนเช้าแล้วก็ไปรู้ตอนบ่าย

    มันก็รู้ในลักษณะถี่ๆ กัน ใกล้ๆ กัน อาจจะรู้ตอนเราลุก อาจจะรู้ตอนเรานั่ง อาจจะรู้ตอนเราหยิบจับ อาจจะรู้ตอนอาการที่กำลังเกิด ตาเห็น หูได้ยินพวกนี้ มันก็คือรู้ รู้ เห็น เป็น แล้วก็มี อยู่ในตัวของมัน การที่เรารู้อย่างนั้นท่านเรียกว่า เห็นจากการรู้สึก จากความรู้สึกจะนำไปสู่การรู้ตัวที่เป็นสภาวะอาการ

    เหมือนกับเราเขียนหนังสือ เราเขียนทีละตัวก็เรียกว่าเป็นตัวอักษร ต่อมาก็จะเป็นคำ ต่อมาก็จะเป็นประโยค ต่อมาก็จะเป็นเรื่องเป็นราวเป็นประเด็นที่เราสื่อต่อทอดกันไปเป็นเรื่องราวต่างๆ ได้ว่าความหมายตั้งแต่ต้นจนจบเป็นลักษณะเรื่องอะไร

    มีสาระมีประเด็นอะไรอยู่ในตรงนั้น มันก็เกิดขึ้นจากการทีละคำ ทีละตัวอักษร แม้แต่เราอ่านเราก็อ่านทีละคำ ทีละตัวอักษร ทีละบรรทัด ไปเป็นประโยค ไปเป็นเรื่องเป็นราว ที่เราสื่อได้ว่าเป็นโครงสร้างเป็นเรื่องอะไร

    ฉะนั้นการที่เรารู้สึกตัวทีละขณะ ทีละขณะ ก็จะรวมไปสู่การรู้ถึงความต่อเนื่อง พอเรารู้ถึงความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องก็จะเป็นลักษณะติดต่อกันเป็นเหมือนลูกโซ่ แม้ลูกโซ่มันจะเป็นข้อๆ หรือเป็นวงๆ แต่มันก็คล้องต่อกัน มันเป็นเส้นเป็นยาวออกไปอีก

    เพราะฉะนั้นการเห็นตัวรู้สึก ก็เป็นลักษณะแต่ละข้อ แต่เมื่อไปคล้องต่อกันแล้วมันจะเป็นเส้น เป็นยาวๆ เราจะเอายาวแค่ไหน เราต้องการที่จะไปดึงหรือไปใช้เพื่ออะไร เราก็เอาตามที่เราเป็นลักษณะที่ใช้งานยาวๆ เป็นสิ่งที่เราที่จะทำจะเอาไปใช้ได้

    ฉะนั้นในการรู้สึกตัวก็เหมือนกัน การที่เรารู้แต่ละจังหวะ แต่ละขณะการสัมผัสรู้ ต่อไปมันจะเป็นรู้โดยที่เราเห็นว่ายาวกว่ารู้ขณะ แต่เป็นลักษณะรู้ขณะ แต่มันก็ประมวลติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ มันคล้องต่อกันเป็นเส้นได้ เหมือนเราเขียนหนังสือทีละคำมันก็เป็นประโยคเป็นเรื่องต่างๆ ให้เรารู้

    ในการปฏิบัติธรรมก็เริ่มไปจากที่เรามารู้สึกทีละขณะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสัมผัสความรู้สึก ถ้าเราไม่ได้สัมผัสความรู้สึก แม้เราจะเดินอยู่ แม้เราจะยกมืออยู่ แม้เราจะทำความเพียรอยู่ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ตรง แต่อาศัยการเคลื่อนไหวเป็นตัวดึง หรือเป็นตัวเขย่า

    เราเคลื่อนไหวเพื่อให้มันเขย่า หรือเพื่อให้มันสะเทือนไปถึงการที่จะสัมผัสความรู้ เราจึงใช้การเคลื่อนไหว ถ้าเราไปดูอย่างอื่นที่มันเบาๆ บางทีมันไม่สะเทือน มันไม่ตื่น มันไม่เขย่าธาตุรู้พอที่จะดึงใจ แต่เราเคลื่อนไหวนี้เพื่อให้มันเคลื่อนไหวด้วยความชัดเจน หรือแรง หรือเขย่าธาตุรู้ ให้ธาตุรู้มันตื่น มันตื่นมันจะได้รับรู้ถึงความรู้สึก

    ถ้าเราปฏิบัติแล้วไม่ได้สัมผัสความรู้สึก จะถือว่าทำฟรีๆ เหมือนรถมันฟรีมันไม่ไปไหนมันก็ฟรีอยู่ที่เก่า เหมือนกับว่าไม่ค่อยได้ซึมซับเข้าลึกไปถึงใจ ถ้าไม่รู้สึกตัวจะไม่ซึมเข้าไปสู่ด้านในเลย ทำนานแต่ก็ยังวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่ง เหมือนกับไม่ข้ามฝั่ง

    เหมือนกับไม่ข้ามธรณีประตูเข้าไปดูด้านใน ก็จะอยู่ข้างนอก จะวนเลาะอยู่อย่างนั้น จะอยู่มานานหรือจะปฏิบัติมานาน ถ้าถามหาความรู้สึกตัว ไม่ชัด ไม่รู้จัก อย่างนี้ก็ถือว่าตัวที่จะนำไป ที่จะเป็นญาณส่งไปสู่ความรู้ประจักษ์ หรือที่จะรู้เป็นลักษณะสภาวะอาการที่มันเกิด แต่ละเรื่องแต่ละขณะ มันไม่ชัด

    ทีนี้คำตอบเราก็จะเป็นลักษณะคิดเอามาตอบ จำเอามาตอบ หรือการคาดคะเนหรือการที่เราอนุมานกับความรู้จักรู้จำ มาเป็นเรื่องเป็นประเด็น แล้วก็เป็นลักษณะไม่เกิดจากญาณของปัญญา แต่การปฏิบัตินี้มันเกิดจากด้านใน ที่เขาเรียกญาณ

    ญาณตัวนี้เขาเรียกว่าสัมผัสรู้ หรือหยั่งเข้าไปรู้ หรือผุดจากด้านในออกมาสู่การรู้สัมผัส ท่านจึงเรียกว่าเป็นการรู้ประจักษ์ หรือเป็นการรู้จักปัญญาญาณ จากความรู้สึกตัวก็จะนำไปสู่ความรู้ประจักษ์ หรือรู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดจากจิต จนเกิดความชำนาญ

    หรือจนว่าตัวปัญญาญาณเกิด มันจะเกิดเหมือนว่าเรามีโปรแกรม การปฏิบัติธรรมมันต้องเกิดมีโปรแกรมมันถึงจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ คือมันต้องเกิดตรงนั้น เกิดเป็นศีล เกิดเป็นสมาธิ เกิดเป็นปัญญา พวกนี้เหมือนเกิดแล้วการกระทำก็จะเหมือนกับว่า สิ่งที่ยากก็จะง่ายขึ้น สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็จะเห็นขึ้น

    หรือสิ่งที่มันติดยึดในใจของเรามานาน แล้วมันเกาะ เกาะแน่นแบบฝังเข้าไปในใจเลย อุปทานความยึดมั่นฝังเข้าไปตั้งแต่เราเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว เขาเรียกสัญชาตญาณ มันก็จะฝังอยู่อย่างนั้นแหละ เขาเรียกครุ่นคิดบ้าง เขาเรียกว่าอยู่กับกระแสบ้าง อยู่กับอารมณ์ความคิด มันก็จะโน้มนำไปสู่การเกิดต่างๆ เกิดสภาวะ เกิดอาการ

    เพราะฉะนั้นเราก็เลยมาสร้างเพื่อให้เกิดตัวช่วย เขาเรียกสร้างโปรแกรม สร้างสิ่งที่จะเป็นลักษณะหัวข้อธรรมหรือเป็นธรรมนั่นแหละ อย่างเกิดศีลเกิดสมาธิเป็นหัวข้อ แต่ตัวมันจริงๆ มันต้องเป็นลักษณะตามชื่อ มันมีชื่อแต่มันมีอาการจริงที่สมมุติขึ้นมาเป็นชื่อ แต่ว่าอาการจริงนั้นมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การสัมผัสรู้ ท่านจึงเรียกว่ารู้แจ้งประจักษ์.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service