แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
เหมือนนาฬิกาอัตโนมัติ
เช้าวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2568 ช่วงเช้าฝนตกก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ทีนี้เราก็เกี่ยวข้องกับการอยู่กับตัวเอง การปฏิบัติธรรมเป็นการอยู่กับตัวเรา อยู่กับตัวเอง อยู่กับการรับรู้ หรือการให้ข้อมูลกับการเป็นปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติธรรมก็คือมาฝึกสติ หรือมาอยู่กับตัวเรา มาอยู่กับความรู้สึกตัว เป็นความชัดเจนของการปฏิบัติธรรม เพราะว่าเรามีความรู้สึกตัวเป็นเครื่องหมาย หรือเป็นตัวชี้นำ หรือเป็นตัวนำทาง หรือเป็นตัวหลักของการปฏิบัติของการเจริญสติ
เหมือนกับว่า สัมผัสกับความรู้สึกตัว อยู่กับความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใด ฉะนั้นความรู้สึกตัวนี้จึงเป็นการอยู่ตั้งแต่การเริ่มต้น ไปสู่ท่ามกลาง ไปสู่ที่สุด ก็คือความรู้สึกตัวนี่แหละ
เพียงแต่ว่า ความรู้สึกตัวจะเป็นการพัฒนาให้เราได้เกี่ยวข้อง หรือได้อยู่กับความรู้สึกตัวได้แบบไปตามขั้นตอน หรือไปตามรายละเอียด ความรู้สึกตัวก็จากการที่เราหา จากการที่เราค้นหรือแสวงหา เราได้พบได้เห็นประสบหรือได้เจอแล้ว ก็เป็นการสร้างความต่อเนื่อง
หรือสร้างความถี่ให้เกิดขึ้น เหมือนกับว่าสร้างให้เป็นลักษณะที่ความชำนาญ หรือความสัมผัสรู้อยู่กับการที่จะให้ความรู้สึกตัวเป็นส่วนกลาง หรือเป็นส่วนที่จะเป็นตัวเชื่อมสำหรับตัวอื่นๆ เขาเรียกว่าเรื่องของกายเรื่องของใจเรามันมีตัวอื่นๆ
ตัวอื่นๆ ก็มีพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวอื่นๆ ก็มีมากเขาเรียกว่าเจตสิก หรือว่าตัวที่เป็นร่างกาย ตัวที่เป็นจิตใจ มีรายละเอียดแล้วก็มีข้อปลีกย่อยอีกมากมาย
ทีนี้เราอาศัยความรู้สึกตัวนี้เป็นตัวเชื่อม หรือเป็นตัวที่จะดึงให้ตัวอื่นๆ มาจัดระบบระเบียบ หรือจัดสรรให้อยู่ด้วยกันให้เป็นธรรม ให้เป็นความพอดีกับธรรมชาติ พอดีกับชีวิตจิตใจเรา
ฉะนั้นความรู้สึกตัวจึงเป็นเหมือนตัวหลัก เป็นเหมือนเครื่องมือ เป็นเหมือนอุปกรณ์ เป็นเหมือนตัวที่จะเป็นเครื่องนำทาง หรือเป็นเหมือนว่าทำให้เราได้เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นกลาง เกี่ยวข้องกับกาย เกี่ยวข้องกับใจ
เหมือนกับว่าผสมผสาน ระหว่างกายระหว่างใจให้ลงตัวกัน กายก็ไม่เบียดเบียนใจ ใจก็ไม่เบียดเบียนกาย เหมือนกับว่าอะไรที่ไม่พอดีหรือไม่สมดุล ตัวความรู้สึกตัวก็จะเป็นเหมือนกับตัวปรับตัวแก้
อะไรที่มากไปอะไรที่น้อยไป อะไรที่ไม่เป็นธรรม หรืออะไรที่ทำให้ไปสุดโต่ง หรือไปติดซ้ายติดขวา ความรู้สึกตัวก็จะปรับหมด เขาเรียกว่าเป็นธรรม เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
ฉะนั้นตัวความรู้สึกตัวที่เราปฏิบัติ เราก็ทำไปทีละนิดทีละหน่อย ทีละสัมผัสรู้ รู้บ้างไม่รู้บ้างก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเราปฏิบัติเราก็กลับมา เหมือนกับว่าตัวปฏิบัติก็เป็นตัวดึงให้มีเหมือนกับว่าให้เกิดให้มี “ภาวิตา พหุลีกตา สังวัตตะติ”
ท่านเรียกว่า ภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา สังวัตตะติ แปลว่าทำให้เกิด ทำให้มี ทำให้เป็น ลักษณะนั้น ฉะนั้นตัวความรู้สึกตัวนี้จึงเป็นเครื่องหมาย หรือเป็นนิมิต หรือเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นมาก เขาเรียกว่าเป็นเหมือน “ฟ้ากรวมดิน”
หลวงปู่เทียนท่านว่า ความรู้สึกตัวหรือสติ เหมือนฟ้ากรวมดิน เหมือนว่าเรามองไปทางไหนเหมือนฟ้าจรดดิน มองไปเหมือนฟ้ามันครอบดินเอาไว้ทุกด้าน ฉะนั้นความรู้สึกตัวก็เหมือนกับ แค่เราสร้าง แค่เรากำหนดรู้
แล้วความรู้สึกตัวมันจะไปจัดสรรทุกๆ ด้าน ทุกส่วน ทุกๆ แผนก ให้มาพบกันครึ่งทาง เหมือนกับว่ามาจัดความเป็นระบบระเบียบ ความจัดเป็นการที่จะให้เป็นธรรม ให้เกิดความยุติธรรม หรือให้เกิดเป็นสติปัญญา เป็นสติ เป็นสมาธิ ปัญญา อย่างนี้ก็เกี่ยวข้องกับความรู้สึกตัว
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เราทำเบื้องต้น ไปสู่ท่ามกลาง หรือไปสู่ที่สุด ก็คือความรู้สึกตัวนั่นแหละ ทีนี้ความรู้สึกตัวเราก็หาได้จาก “กายเคลื่อนไหว ใจรู้” เพราะการที่เราอาศัยการเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เราอาศัยการไหว
การไหวการเคลื่อนของร่างกาย มันจะมีวิญญาณ คือมีตัวรับรู้ หรือมีตัวรู้สึกติดอยู่ด้วย คือเราเคลื่อนไหวแต่ละครั้งมันจะมีความรู้สึกตัว เพราะเราเป็นธรรมชาติที่มีชีวิตจิตใจ คือมีทั้งรูปมีทั้งนาม มันก็ต้องมีความรู้สึกตัวติดอยู่ด้วยทุกๆ การเคลื่อน
เพียงแต่ว่าเราจะเอาใจมาดูตรงนี้ หรือจะเอาใจไปดูอะไร ถ้าเราไม่สนใจมากำหนดรู้ ใจเราก็จะไม่ได้มาดูใกล้ๆ มันก็จะไปดูไกลๆ ไปกับความคิด ไปกับอารมณ์ ไปกับอดีต ไปกับอนาคต ไปกับการปรุงแต่ง
คือทั้งวันทั้งคืนมันก็ไปกับความคิดอย่างนั้น เขาเรียกว่า กลางวันก็เป็นคิดกลางคืนก็เป็นฝัน หรือเราได้ยินว่า กลางคืนก็เป็นควันกลางวันก็เป็นไฟ ลักษณะนี้ก็จะคิดทั้งวัน คือความคิดเราจะห้ามไม่ให้มันคิดมันก็ไม่ได้ คือจิตใจเราเขาเรียกว่าขันธ์ 5 ขันธ์ ขันธ์ 4 ขันธ์ ขันธ์ขันธ์เดียว
ขันธ์ 5 ขันธ์ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นตัวที่ 5 ขันธ์ 4 ขั้นธ์คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ขันธ์เดียวกำลังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
ตัวความคิดตัววิญญาณตัวใจพวกนี้ จะให้ตัวเป็นขันธ์ขันธ์เดียว เหมือนกับเป็นตัวก็ท่องเที่ยว ตัวความคิดก็คิดทั้งวัน คิดทั้งวันกลางคืนยังฝัน ทั้งคิดทั้งฝัน เหมือนกับเป็นการให้สัญญาณเกี่ยวข้องกับกาย เพราะฉะนั้นเราก็เลยว่าทุกอย่างมันทำงาน
มันทำงานเหมือนกับเครื่องจักรกล เหมือนกับนาฬิกามีลานไข เขาเรียกไขลานนาฬิกา รุ่นไขลานรุ่นอัตโนมัตินาฬิกาเข็มที่เราใช้ แต่เดี๋ยวนี้นาฬิกาก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาใช้ตัวเลข เป็นระบบถ่านเป็นระบบแบตเตอรี่เป็นระบบไฟ เป็นตัวที่จะไปทำให้เกิดการหมุนไปตามเวลาเป็นตัวเลข
แต่ก่อนนี้เป็นเฟืองหรือเป็นลาน เขาเรียกไขลานก็เพื่อให้ลานไปเกี่ยวข้องกับเฟือง เฟืองก็ไปเกี่ยวข้องกับเข็มที่เป็นตัวบอกว่ากี่โมงกี่เวลา นาฬิกานี้ต้องเดินตลอด ถ้าไม่เดินเขาเรียกนาฬิกาตาย ก็ต้องมีลาน ถ้ารุ่นไขลานก็จะเป็นลักษณะใช้มือหมุน หมุนลานที่อยู่ข้างๆ ตัวเรือนนาฬิกา มันก็จะใช้ได้ 2-3 วันก็หมุนอีก เขาเรียกนาฬิกาไขลาน
แต่มีนาฬิกาอัตโนมัติ คือเวลาเราเคลื่อนไหวมันจะไปทำให้ลานมันรับการเคลื่อนไหว หรือหมุนไปเป็นเหมือนตัวทำให้มีลานไขอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเคลื่อนไหวมันก็จะเดิน เขาเรียกเดินทั้งวัน เดินเป็นเดือนเป็นปีมันก็ไม่หมด
เพราะเราเคลื่อนไหว แล้วมันก็จะบอกเวลาเราได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าเราใช้แล้วเราไม่ได้ใช้เมื่อไหร่ มันก็จะหมดลาน มันก็จะตายคือไม่เดิน เราต้องเอามาใส่แขน เอามาเคลื่อนไหว ให้มันทำงาน มันก็จะเหมือนว่าเป็นอัตโนมัติ เขาเรียกว่านาฬิกาอัตโนมัติ
ฉะนั้นตัวสติก็เหมือนกัน ถ้าเราจับได้แล้วมันอัตโนมัติแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนไขลานในตัว เราเคลื่อนไหวอะไรมันก็จะได้ตัวไขลาน หรือทำให้เข้าไปถึงจิต เข้าไปทำให้มันมีชีวิต มีการเดิน มีความรู้สึกต่อเนื่องได้
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม แรกๆ เราก็เหมือนเป็นนาฬิกาไขลาน ก็ต้องหมุน 2 วัน 3 วันหมุน มันมีปุ่มให้หมุนอยู่ข้างๆ อยู่แล้ว เราก็หมุน หมุนหาหมุนให้ลานมันเต็ม พอลานเต็มแล้วเราก็ใช้ไปสัก 2-3 วันก็หมุน มาตั้งหมุนลานอยู่เสมอ
เหมือนเราปฏิบัติ ถ้าเราไม่เดิน ถ้าเราไม่เคลื่อนไหว หรือถ้าเราไม่กำหนดรู้ มันก็จะหยุดเดิน คือสติมันก็จะหยุด ทีนี้เราก็จะต้องมีการเคลื่อนไหวไขลานอยู่เรื่อย พอเราใช้ไปๆ มันก็จะหมุนเป็นระยะ จนกว่ามันจะเป็นอัตโนมัติ
พอมันเป็นอัตโนมัติแล้ว มันก็จะมีลานในตัว เหมือนกับเราเคลื่อนไหวในอิริยาบถ ทั้งในรูปแบบ ทั้งนอกรูปแบบ เราจะเป็นการทำให้สติมันเกี่ยวข้องกับการรู้สึกตัว หรือกับการที่จะเป็นหลักของชีวิต
ท่านจึงพูดว่า จิตเรานี้เหมือนมีกลไก ดุจมีลานไขในตน เราท่านทุกคนควรบังคับจิตกล ให้หมุนมาแต่ในทางข้างดี ถ้าหมุนไปในทางข้างกลี ธรรมที่มีก็จัดหนีจัดหน่ายหายสูญ อธรรมเข้าครอบงำ ความระยำสัมบรูณ์ ก็คิดปลิ้นปลอกหลอกตน ก็เป็นลักษณะนั้น
จิตนี้เหมือนมีกลไก มันเดินอยู่ตลอดเวลานะจิตเรา ที่เราเรียกว่ามีชีวิตจิตใจ คือมันรับรู้ทั้งทุกๆ ด้าน เขาเรียกว่า ทางเวทนาก็ต้องทำงาน
สัญญาคือความจำ เป็นเหมือนหน่วยความจำนะสัญญา ทำอะไรเมื่อไหร่จำ เราจำได้ถึงแม้เราไม่ได้ไปจดไปจำไปตั้งใจจำ มันก็ทำได้ อย่างเมื่อวานเราทำอะไรเราก็จำได้หมด เช้าถึงบ่ายถึงเย็นเราทำอะไร มันมีสัญญา คือมีหน่วยความจำอยู่ตัวเรา
แล้วก็มีตัวสังขาร คือตัวคิดตัวนึก ต้องคิดแยกแยะอันนั้นอันนี้ แยกแยะสิ่งนั้นสิ่งนี้หรืออะไรพวกนี้ คิดคำนวณคิดในสิ่งต่างๆ ที่จะทำจะพูดอะไรพวกนี้ มันมาด้วยกัน เขาเรียกเป็นระบบกลไกของขันธ์ 5 ขันธ์
ขันธ์ 4 ขันธ์ 5 ขันธ์ มีวิญญาณ ตัววิญญาณคือตัวรับรู้ ตาเห็นเขาเรียกตามีวิญญาณ หูได้ยินเสียงเขาเรียกหูมีวิญญาณ มันก็เลยเกี่ยวข้อง ทั้งวิญญาณ ทั้งสังขาร ทั้งสัญญาความจำ ทั้งเวทนา
การเสวยหรือการรับอาการต่างๆ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นปวดเป็นเมื่อย เป็นร้อนเป็นหนาว เป็นยินดียินร้าย พอใจไม่พอใจ พวกนี้เขาเรียกเวทนา เพราะฉะนั้นในขันธ์ 4 ขันธ์ มันจะทำงานอยู่ทุกเวลา
ทีนี้เราก็อาศัยสติเป็นตัวเชื่อม ให้มันไปในทางข้างดี เขาเรียกว่าหมุนไปทางข้างดี ถ้าหมุนไปทางข้างดีจะมีธรรมะเกิดขึ้น ถ้าหมุนไปทางข้างกลี ข้างกลีกลียุคนั่นแหละ กลีก็คือฝั่งที่ไม่ดี ธรรมที่มีก็จักหนีจักหน่ายหายสูญ
คราวนี้อธรรม อธรรมคือความไม่เป็นธรรมก็สัมบรูณ์ ก็คือสมบรูณ์นั่นแหละ ถ้าหมุนไปทางข้างกลีมันก็จะทำให้อธรรมสัมบูรณ์ คิดปลิ้นปล้อนหลอกตน หลอกให้เราไปโกรธให้คนนั้นไปว่าคนนี้ ไปทะเลาะกับคนนั้นไปขัดแย้งกับคนนี้ คือมันหลอก
ใจจริงๆ เราไม่เป็นอย่างนั้น ใจจริงๆ มันเป็นสิ่งที่ผ่องใส จิตเดิมแท้ประภัสสร แต่เศร้าหมองแล้วเพราะมีอาคันตุกะเป็นผู้จรเข้ามา เขาก็เลยบอกว่า จิตเดิมแท้เรามันเป็น เหมือนน้ำที่มันใส
หลวงปู่เทียนอุปมา เหมือนเวลาเราไปทุ่งนา น้ำตามรอยวัวรอยควายตามทุ่งนามันใส แต่เวลามีควายวัวเดินผ่านมันจะขุ่น หรือมีตะกอนมาทำให้มันขุ่น ก็เป็นลักษณะนั้นแหละ
ใจเราจริงๆ แล้ว มันผ่องใส เขาเรียกจิตเดิมแท้ พวกลัทธิเซนเขาเรียกว่า ตามหาจิตเติมแท้ คือการปฏิบัตินี่ตามหาจิตเติมแท้ เขาจึงว่าเหมือนขี่โคตามหาโค เรานั่งอยู่บนหลังโคเราขี่บนหลังโค แต่เราตามหาโค
เหมือนเรานั่งอยู่กับใจเรา แต่ว่าเราตามหาใจเรา คือมาปฏิบัตินี้เราตามหาใจ เพราะฉะนั้นเราก็เลยมาปฏิบัติจากความรู้สึกตัว สติมันจะเป็นตัวนำเลย
เพราะฉะนั้นเราจึงสร้างเหตุ คือสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้น ด้วยการกำหนดในอิริยาบถ ในการเคลื่อนไหว เพื่อให้ความรู้สึกตัวพัฒนาไปสู่ความเป็นอัตโนมัติ ต่อไปเราจะทำอะไรก็รู้สึกตัวได้
นั่งเฉยๆ ยืน เดิน นั่ง นอน ไปตลาด หรือไปธุระ หรือพูดคุยอะไร มันจะมีตัวรู้ ทำให้เกิดการที่เราเพิ่มเติมสติในตัว เหมือนนาฬิกาอัตโนมัติมันก็เติมให้มีลานทำงาน เข็มมันก็เดินไปเรื่อยไม่หยุดเดิน ฉะนั้นเราก็เลยมาสร้างสติ ให้เป็นอัตโนมัติ.